อาการของโรคไข้กาฬหลังแอ่น 
	  
  
  
  
	 
 ผู้ที่ติดเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น ประมาณ 1 ใน 3 จะเกิดเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยไม่มีอาการของการติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้ป่วยบางส่วนจะเกิดอาการของการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดอย่างเดียว หรืออาจเกิดทั้ง 2 อย่างร่วมกัน และมีผู้ป่วยประมาณ 15% จะเกิดอาการของการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดชนิดที่มีอาการรุนแรง 
              - ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Meningococcemia) ในช่วงแรก ผู้ป่วยจะแสดงอาการของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนซึ่งไม่จำเพาะ ได้แก่ ไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ต่อมาจึงจะมีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย โดยอาการจะเป็นอยู่ 1-2 วัน แล้วตามด้วยการเกิดผื่นที่ผิวหนัง ซึ่งเป็นลักษณะที่ค่อนข้างจำเพาะของโรคนี้ คือเริ่มต้นจะเป็นผื่นแบบแบนราบสีแดงจางๆ ต่อมาจะเกิดจุดเลือดออกเล็กๆ สีแดงเข้ม ขนาด 1-2 มิลลิเมตร ในบริเวณผื่นเหล่านี้ ซึ่งเรียกว่า Petechiae โดยมักพบตามลำตัว ขา และบริเวณที่มีแรงกดบ่อยๆ เช่น ขอบกางเกง ขอบถุงเท้า บริเวณอื่นๆที่จะพบได้คือ ใบหน้า มือ แขน เยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก จุดเลือดออกเหล่านี้บางครั้งอาจกลายเป็นตุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่มีเลือดออกเรียกว่า Hemorrhagic bullae ซึ่งอาจเกิดการเน่าและกลายเป็นเนื้อตายได้ หากผู้ป่วยเกิดเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมด้วย ก็จะมีอาการปวดต้นคอ คอแข็ง หลังแข็ง และซึมร่วมด้วย 
 
              - ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดชนิดที่มีอาการรุนแรง (Fulminant meningococce mia) อาการจะคล้ายกับผู้ป่วยกลุ่มข้างต้น แต่จะรุนแรงกว่า คือจะมีไข้สูง อ่อนเพลียมาก จุดเลือดออกจะขยายเป็นจ้ำเลือดขนาดใหญ่มีสีแดง หรือม่วงคล้ำ เรียกว่า Purpura และจะเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำจนช็อกได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เกิดการล้มเหลวของการทำงานของอวัยวะต่างๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที ก็จะเสียชีวิตได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง 
 
      
            
              
                   
                   ผื่นเป็นจุดแดงเหมือนไข้เลือดออก มักพบมากตามแขนขา ทดสอบเอาแก้วกดบนผื่น ผื่นจะไม่จางหาย	ฒฝ 
                    
                  ผื่นโรคไข้กาฬหลังแอ่นแดงเป็นปลื้น กดไม่จางผื่นจะมีขนาดใหญ่กว่าผื่นของไข้เลือดออก  
                    
                  ในรายที่รุนแรงผื่นจะรวมตัวกันเป็นปลื้นดังรูป รูปทั้งสองได้จากThe South Australian Department of Health   | 
              
          
	
           
อาการที่พบในเด็ก
              - ไข้สูง
 
              - ไม่ดูดนม
 
              - อาเจียน
 
              - เด็กจะซึม ปลุกไม่ตื่น
 
              - ผื่นตามตัวและแขนขา
 
              - ผิวซีด เป็นรอยจ้ำๆ
 
            
            อาการที่พบในเด็กวัยรุ่น
              - ไข้สูง
 
              - ปวดศรีษะ
 
              - อาเจียน
 
              - คอแข็ง
 
              - ซึมลง
 
              - ผื่นตามแขนขา
 
              - ทนแสงจ้าๆไม่ได้
 
            
            โดยสรุปอาการที่สำคัญประกอบด้วย ไข้สูง ปวดศีรษะ คอแข็ง ผื่นตามตัว คลื่นไส้อาเจียน ซึมลง ผื่นจะมีลักษณะจุดแดง หรือดำคล้ำ บางทีมีตุ่มน้ำซึ่งมีเชื้ออยู่ภายใน เนื่องจากการดำเนินโรคเร็วมากจะต้องรีบพาไปพบแพทย์หากมีอาการตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป
            การตรวจร่างกาย
              - ไข้สูงโดยเฉลี่ย 39.5 องศา
 
              - ผื่นตามลำตัวแขน ขา
 
              - ในรายที่มีอาการรุนแรงผื่นอาจจะรวมตัวเป็นปลื้น
 
              - ความดำโลหิตต่ำในรายที่เป็นรุนแรง
 
              - ตรวจพบคอแข็ง 
 
            
            การวินิจฉัย
              - การตรวจเลือด
                CBC
                จะพบจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง
 
              - การตรวจน้ำไขสันหลังจะพบเซลล์ในน้ำไขสันหลังสูง
 
              - การตรวจหาเชื้อจากเลือด เช่นการเพาะเชื้อจากเลือด การย้อมเชื้อจากเลือด            
 
            
            แนวทางการรักษาโรคไข้กาฬหลังแอ่น            
            
การให้ยาปฏิชีวนะ 
              -  ผู้ป่วยจะถูกรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และแยกห้องเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น 
 
              - การรักษาหลักคือการให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โดยในเบื้องต้น 
 
              - หากยังไม่ได้รับการพิสูจน์ที่แน่นอนจากทางห้องปฏิบัติการว่าเกิดจากเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น แพทย์จะให้ยาปฏิ ชีวนะชนิดที่ครอบคลุมการฆ่าเชื้อได้หลายชนิด เนื่องจากการเป็นโรคติดเชื้อชนิดอื่นๆบางโรค ผู้ป่วยจะมีไข้และผื่นที่เป็นจุดเลือดออกคล้ายกับผู้ป่วยไข้กาฬหลังแอ่นได้ ยาที่ใช้ เช่น ยาในกลุ่ม Cephalosporin รุ่นที่ 3 หรือใช้ยา Meropenem เป็นต้น
 
              -  ในกรณีที่ทราบผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการว่าเกิดจากเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น แพทย์จะเลือก ใช้ยาปฏิชีวนะที่ตรงกับเชื้อ เช่น ยา Penicillin G หรือยา Chloramphenicol เป็นต้น 
 
            
            การรักษาประคับประคอง 
              -   ได้แก่ การให้ยาลดไข้ การให้สารน้ำ 
 
              - ในผู้ป่วยที่อาการรุนแรงจนเกิดภาวะช็อก ต้องให้สารน้ำปริมาณมาก 
 
              - ให้ยากระตุ้นหลอดเลือดและการบีบตัวของหัวใจหากผู้ป่วยมีเลือดออกที่ต่อมหมวกไต ซึ่งจะทราบได้จากการมีภาวะช็อกยาวนาน และแก้ไขด้วยวิธีต่างๆดังข้างต้นไม่ได้ผล รวมทั้งตรวจเลือดพบปริมาณฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมหมวกไตลดลง ซึ่งการรักษาก็จะต้องให้ฮอร์โมนดังกล่าว คือฮอร์โมน Glucocorticoid 
 
              - สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดไม่แข็งตัว เกิดเลือดออก ก็ต้องให้สารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด 
 
    
	
	ภาวะแทรกซ้อน
               -   ผู้ป่วยที่มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อในกระแสเลือด มีอัตราตายประมาณ 2-10% 
 
               - ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดชนิดรุนแรงมีอัตราตายสูงถึง 70-80% แต่หากการรักษาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อัตราตายจะอยู่ที่ประมาณ 40%
 
               -  ผู้ป่วยที่เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หากรอดชีวิตอาจเกิดอัมพาตของเส้นประ สาทจากสมอง (Cranial nerve) หรือเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตครึ่งซีกของร่างกายได้ 
 
               - อาจเกิดสมองเสื่อม ปัญญาอ่อน หรือหูหนวกได้ 
 
               - ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดชนิดรุนแรง ตามปลายนิ้วมือ ปลายนิ้ว เท้าอาจเกิดการเน่าตายเนื่องจากภาวะช็อกทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายไม่พอ หรือเกิดจากลิ่มเลือดไปอุดตัน
             
 
    
             การดูแลตนเองและการป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น
              วัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น
             เรื่องเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น คือ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อและเป็นโรคไข้กาฬหลังแอ่นมีใช้เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2517 แต่เป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันได้เพียงชนิดย่อยเดียว ต่อมาจึงได้คิดค้นวัคซีนที่ป้องกันได้ถึง 4 ชนิดย่อยใน 1 เข็มคือ ชนิดย่อย A, C, Y, และ W135 ยกเว้นแต่ชนิดย่อย B ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถคิดค้นวัคซีนที่ป้องกันได้ บุคคลที่แนะนำให้ฉีดวัคซีน ได้แก่ 
              - ผู้ที่ถูกตัดม้าม หรือ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่องชนิดที่เรียกว่า Complement component deficiency เพราะคนเหล่านี้เมื่อติดเชื้อไข้กาฬหลังแอ่นจะมีโอกาสเป็นแบบติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดชนิดที่รุนแรงได้มากกว่าคนปกติทั่ว ไป 
 
              - สำหรับกรณีอื่นๆได้แก่ ผู้ที่ทำงานในห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น 
 
              - ผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศในทวีปแอฟริกา บริเวณที่มีการระบาดของเชื้อไข้กาฬหลังแอ่นเป็นประ จำ ซึ่งคือประเทศในแถบที่เรียกว่า Sub-Saharan Africa ดังได้กล่าวแล้ว 
 
              - หรือเมื่อจะต้องเดิน ทางไปทำพิธีฮัจจ์ ที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย 
 
              - สำหรับในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แนะนำให้ฉีดในวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 11-18 ปี และในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 19-21 ปีที่จะต้องเข้าเรียนในวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย โดยการฉีดวัคซีนกระตุ้นจะทำทุกๆ 5 ปี 
 
              - ส่วนบุคคลในวัยอื่นๆ ตั้งแต่อายุ 2 ปี ถึง 55 ปี สามารถที่จะฉีดวัค ซีนได้ถ้าต้องการ 
 
              - ส่วนการฉีดในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคจะเกิดขึ้นเป็นระยะสั้นๆเท่านั้น จึงไม่แนะนำให้ฉีดถ้าไม่มีการระบาดของโรค 
 
              - สำหรับในประเทศไทยไม่ได้แนะนำให้บุคคลทั่วไปฉีดวัคซีน เนื่องจากพบผู้ป่วยเพียงประปราย และไม่ได้มีการระบาดเกิดขึ้นเป็นช่วงๆเหมือนในประเทศอื่นๆ ควรพบแพทย์เมื่อไหร่? เมื่อมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์เสมอ คือ เมื่อมีไข้ และมีผื่นที่เป็นจุดเลือดออกที่ผิวหนัง เมื่อมีคนในบ้าน ป่วยเป็นโรคไข้กาฬหลังแอ่น หรือมีผู้ป่วยเกิดขึ้นในสถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียน มหาวิทยาลัย หอพัก ค่ายต่างๆ ชุมชนแออัด เป็นต้น 
 
            
            การป้องกัน
            สำหรับบุคคลทั่วไปในสถานการณ์ปกติ การป้องกันการติดเชื้อและเป็นโรค อาศัยหลักทั่วๆไปในการป้องกันการติดเชื้อโรคที่มากับทางเดินหายใจ ได้แก่ หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในที่แออัด ผู้คนหนาแน่น อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หากจำเป็นต้องเข้าไป ควรสวมหน้ากากอนามัย ป้องกันตนเองจากการสัมผัสกับละอองน้ำมูก น้ำลาย จากผู้อื่นล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หรือปรุงอาหาร รักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกายสม่ำ เสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น
            การให้ยาป้องกันการติดเชื้อควรจะให้กับคนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากผู้ป่วยเท่านั้น
            หากมีบุคคลได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้กาฬหลังแอ่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียว กัน รวมทั้งผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย เช่น ผู้ที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรกินยาปฏิชีวนะสำหรับป้องกันการติดเชื้อ ไม่ควรซื้อยากินเอง หากในพื้นที่ไหนมีรายงานพบผู้ป่วยไข้กาฬหลังแอ่นมากกว่า 3 คนขึ้นไปในช่วง เวลาไม่เกิน 3 เดือนและมีอัตราผู้ป่วยมากกว่า 10 คนต่อประชากร 100,000 คน จะถือว่าเกิดการระบาดของโรคขึ้น ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นควรได้รับวัคซีนหรือยาปฏิชีวนะสำหรับป้องกัน ตามคำแนะนำของแพทย์  ยาที่ใช้ในการป้องกันได้แก่ 
              - Sulfonamides
 
              -  rifampin 2 วันในผู้ใหญ่ให้ Rifampicin ขนาด 600 มก. ทุก 12 ชั่วโมง รับประทานติดต่อกัน 2 วัน ในเด็กอายุ >1 เดือนให้ Rifampicin ขนาด 10 มก. ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 2 วัน
 
              -  minocycline,
 
              -  Ofloxacin, Ciprofloxacin, Azithromycin 1 ครั้ง
 
              - ใช้การฉีดยา Ceftriaxone 1 ครั้ง 
 
            
            การให้ยาป้องกันการติดต่อควรจะให้ในกลุ่มบุคคลใด
              - สมาชิกในครอบครัวของผู้ที่ติดเชื้อในช่วง 7 วันก่อนเกิดอาการของโรค เพราะอัตราการติดเชื้อของสมาชิกเพิ่มขึ้น มากกว่า100 เท่า 
 
              - day care
 
              - nursing home
 
              - เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ต้องสัมผัสกับเสมหะผู้ป่วย เช่น การใส่ท่อช่วยหายใจ การดูดเสมหะ 
 
              - วัคซีนป้องกันโรค และยาปฏิชีวนะสำหรับผู้สัมผัสโรค อ่านวัคซีนป้องกันโรคที่นี่
 
            
             ใครเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
            ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเหล่านี้จะมีโอกาศเสี่ยงต่อการเกิดโรคกาฬหลังแอ่น คือ
              - ผู้ที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ
 
              - ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
 
              - ผู้ที่สัมผัสกับโรค
 
              - ผู้ที่ไปท่องเที่ยงแหล่งระบาด
 
            
            พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคคือ การสูบบุหรี่มวนเดียวกัน การดื่มน้ำแก้วเเดียวกัน หรือการจูบปากกัน