Azithromycin: ข้อมูลยาและการใช้งานที่ครอบคลุม
ยานี้คืออะไร
Azithromycin เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มแมโครไลด์ (Macrolides) ที่ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียหลากหลายชนิด เช่น ปอดบวมที่ได้มาจากชุมชน (Community-Acquired Pneumonia), การติดเชื้อทางเดินหายใจ, การติดเชื้อทางผิวหนัง, และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน (Gonorrhea) ยานี้มีชื่อทางการค้าว่า Zithromax หรือ Z-Pak และมีทั้งรูปแบบเม็ด, น้ำเชื่อม, และยาฉีด
กลไกการออกฤทธิ์
Azithromycin ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนของแบคทีเรีย โดยจับกับหน่วยย่อย 50S ของไรโบโซมแบคทีเรีย ซึ่งป้องกันการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการแพร่พันธุ์ของแบคทีเรีย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถกำจัดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อบ่งชี้ในการใช้ยา
Azithromycin ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในสภาวะต่อไปนี้:
- ปอดบวมที่ได้มาจากชุมชน (Community-Acquired Pneumonia)ปอดอักเสบที่ได้มาในชุมชน ( Chlamydophila pneumoniae , Haemophilus influenzae, Mycoplasma pneumoniae, Streptococcus pneumoniae ,Legionella pneumophila) และการกำเริบเฉียบพลันของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ที่เกิดจากH. influenzae , Moraxella catarrhalisหรือS. pneumoniae
- การติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน (Acute Bacterial Exacerbations of Chronic Bronchitis)
- การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) และคออักเสบ (Pharyngitis)
- การติดเชื้อทางผิวหนังและโครงสร้างผิวหนัง (Skin and Skin Structure Infections)
- โรคหนองใน (Gonorrhea) และการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Uncomplicated Urethritis and Cervicitis) หนองในเทียม ( Chlamydia trachomatis ), โรคท่อปัสสาวะอักเสบที่ไม่ใช่หนองใน, หนองในแท้ ( Neisseria gonorrhoeae ) และแผลริมอ่อน
- การติดเชื้อ Helicobacter pylori (ในสูตรการรักษาร่วม)
- โรค Legionnaires’ Disease, ไข้อีดำอีแดง (Pertussis), และโรค Lyme ในระยะเริ่มต้น
- ป้องกันการติดเชื้อในหัวใจก่อนการทำฟันหรือหัตถการในผู้ที่มีความเสี่ยง
ขนาดยาและวิธีใช้
ขนาดยาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของการติดเชื้อ อายุของผู้ป่วย และน้ำหนัก คำแนะนำที่สำคัญ ได้แก่:
- ผู้ใหญ่ :
- การติดเชื้อเล็กน้อยถึงปานกลาง (เช่น ปอดบวม คออักเสบ การติดเชื้อที่ผิวหนัง) รับประทาน 500 มก. ในวันที่ 1 ตามด้วย 250 มก. ต่อวันเป็นเวลา 4 วัน (รวมระยะเวลารับประทาน 5 วัน)
- ไซนัสอักเสบเฉียบพลันจากเชื้อแบคทีเรีย : รับประทาน 500 มก. ต่อวันเป็นเวลา 3 วัน หรือรับประทานยา 2 กรัม ครั้งเดียว (ยาแขวนตะกอนออกฤทธิ์นาน)
- อาการกำเริบของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง : รับประทาน 500 มก. ต่อวันเป็นเวลา 3 วัน หรือ 500 มก. ในวันที่ 1 ตามด้วย 250 มก. ต่อวันเป็นเวลา 4 วัน
- โรคแผลริมอ่อนหรือโรคท่อปัสสาวะอักเสบที่ไม่ใช่หนองใน : 1 กรัม ครั้งเดียว
- หนองใน : 2 กรัม ครั้งเดียว
- ปอดบวม (ยาแขวนตะกอนออกฤทธิ์นาน) : 2 กรัม ขนาดยาเดียว
- เด็ก (≥6 เดือน):
- การติดเชื้อทั่วไป : 10–30 มก./กก. เป็นยาเดี่ยว หรือ 10 มก./กก. ในวันที่ 1 ตามด้วย 5–10 มก./กก. ทุกวันเป็นเวลาหลายวัน ขึ้นอยู่กับการติดเชื้อ
- โรคคอหอยอักเสบ/ต่อมทอนซิลอักเสบ (อายุ >2 ปี): 12 มก./กก. ต่อวันเป็นเวลา 5 วัน
- ปอดบวมหรือไซนัสอักเสบ (น้ำหนัก < 34 กก.): 60 มก./กก. เป็นยาครั้งเดียว; สำหรับน้ำหนัก > 34 กก. 2 ก. เป็นยาครั้งเดียว
- แนวทางการบริหารจัดการ :
- สามารถรับประทานยาพร้อมอาหารหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้ การรับประทานพร้อมอาหารอาจช่วยลดความรู้สึกไม่สบายทางเดินอาหารได้
- ควรรับประทานยาแขวนลอยแบบออกฤทธิ์นาน 2 กรัม ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงหรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง เขย่าให้เข้ากันก่อนใช้และรับประทานให้หมด จากนั้นล้างภาชนะด้วยน้ำเพื่อให้มั่นใจว่ารับประทานได้หมด
- ควรรับประทานให้ครบตามที่กำหนดแม้ว่าอาการจะดีขึ้นก็ตาม เพื่อป้องกันการดื้อยาปฏิชีวนะ
ขนาดยาที่ใช้
Infection* |
Recommended Dose/Duration of Therapy |
ปอดบวมที่อาการไม่มาก คอหรือทอนซิลอักเสบ ผิวหนังอักเสบ |
500 mg วันแรกตามด้วย 250 mg วันละครั้งจนครบ5วัน |
โรคถุงลมโป่งพองที่มีการติดเชื้อ |
500 mg วันละครั้ง 3วันหรือ
500 mg วันแรกตามด้วย 250 mg วันละครั้งจนครบ5วัน |
ไซนัสอักเสบ |
500 mgวันละครั้ง 3 วัน |
แผลริมอ่อน |
1 กรัมครั้งเดียว |
หนองในเทียม |
1 กรัมครั้งเดียว |
หนองในแท้ |
2 กรัมครั้งเดียว |
ปฏิกิริยาระหว่างยา
อะซิโธรมัยซินอาจโต้ตอบกับ:
- ยาที่ยืดระยะ QT : อะมิโอดาโรน, โซทาลอล, ควินิดีน, โพรเคนนาไมด์, โดเฟทิไลด์
- สารป้องกันการแข็งตัวของเลือด : วาร์ฟาริน (เพิ่มความเสี่ยงในการมีเลือดออก)
- สารอนุพันธ์เออร์กอต : เออร์โกตามีน, ไดไฮโดรเออร์โกตามีน (เสี่ยงต่อภาวะเออร์กอตซึม)
- สแตติน : โลวาสแตติน, อะตอร์วาสแตติน, ซิมวาสแตติน (เสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง)
- ยาปฏิชีวนะอื่น ๆ : คลาริโทรไมซิน, เลโวฟลอกซาซิน, โมซิฟลอกซาซิน
- ยาลดกรด : ยาลดกรดที่มีส่วนประกอบของอะลูมิเนียมหรือแมกนีเซียม (รับประทานอะซิโธรมัยซิน 1 ชั่วโมงก่อนหรือ 2 ชั่วโมงหลังรับประทาน)
- อื่นๆ : ดิจอกซิน ไซโคลสปอริน ทาโครลิมัส ธีโอฟิลลิน ยาต้านเชื้อรา (ฟลูโคนาโซล คีโตโคนาโซล) ยาต้านอาการซึมเศร้า (อะมิทริปไทลีน คลอมีพรามีน) ยาแก้โรคจิต (พิมอไซด์ ฮาโลเพอริดอล) และยาต้านมาเลเรีย (คลอโรควิน เมฟโลควิน)
แจ้งให้ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพทราบถึงยา อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรทั้งหมดที่ใช้
ความปลอดภัยในกลุ่มประชากรพิเศษ
- การตั้งครรภ์ : FDA pregnancy category B ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ถึงอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ให้ใช้เฉพาะในกรณีที่ประโยชน์มีมากกว่าความเสี่ยง
- การให้นมบุตร : อะซิโทรไมซินจะผ่านเข้าสู่ในน้ำนมแม่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- กุมารเวชศาสตร์ : ไม่แนะนำสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย (ไม่รุนแรงและมักหายไปเอง)
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องเสียหรือปวดท้อง
- ปวดศีรษะ
- วิงเวียนศีรษะ
- ผื่นผิวหนังเล็กน้อย
- รู้สึกเหนื่อยล้า
ผลข้างเคียงที่รุนแรง (ควรพบแพทย์ทันที)
- อาการแพ้ยา: ผื่นรุนแรง, บวมที่ใบหน้า, ริมฝีปาก, ลิ้น, หายใจลำบาก, หายใจมีเสียงหวีด
- อาการท้องเสียรุนแรงหรือมีเลือดปน (อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อ Clostridium difficile)
- อาการตับอักเสบ: เช่น ตัวเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม, หรือปวดท้องรุนแรง
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ (QT Prolongation): เช่น เจ็บหน้าอก, ใจสั่น, หรือเป็นลม
- ปัสสาวะน้อยหรือไม่มี (บ่งบอกปัญหาไต)
- ปวดศีรษะรุนแรง, สับสน, หรือชัก
ผลข้างเคียง
อะซิโธรมัยซินอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง
ผลข้างเคียงที่มักเกิดขึ้น
อาการเหล่านี้โดยทั่วไปจะไม่รุนแรงและหายได้โดยไม่ต้องมีการแทรกแซง:
- อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือท้องผูก
- อาการไม่สบายหรือปวดท้อง
- อาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หรืออ่อนล้า
- อาการนอนไม่หลับหรือหงุดหงิด
- ตกขาวหรืออาการคัน
- ผื่นผิวหนังเล็กน้อยหรืออาการคัน
- เสียงดังในหู
- รสชาติหรือกลิ่นที่เปลี่ยนไป
- มองเห็นพร่ามัวหรือพูดลำบาก
- โรคเชื้อราในช่องปาก (ปากนกกระจอก) เมื่อใช้ซ้ำหลายครั้ง
อาการที่คงอยู่หรือแย่ลงควรได้รับการรายงานให้ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพทราบ
ผลข้างเคียงร้ายแรง
ไปพบแพทย์ทันทีสำหรับ:
- อาการแพ้ : ผื่นรุนแรง ลมพิษ บวมที่ใบหน้า/ริมฝีปาก/ลิ้น หายใจลำบาก หรือมีเสียงหวีด
- ปัญหาเกี่ยวกับตับ : ตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด หรือปวดท้องด้านขวาบนอย่างรุนแรง
- ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ : ใจสั่น เจ็บหน้าอก หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ (เช่น หัวใจเต้นช่วง QT ยาวขึ้น)
- อาการท้องเสียอย่างรุนแรง : อุจจาระเป็นน้ำหรือเป็นเลือด อาจบ่งบอกถึงอาการท้องเสียที่เกี่ยวข้องกับเชื้อClostridium difficile
- อื่น ๆ : รอยฟกช้ำที่ผิดปกติ, ความเหนื่อยล้าอย่างมาก หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ข้อแนะนำเพื่อลดผลข้างเคียง
- รับประทานยาพร้อมอาหารหรือนมเพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะ
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ โดยเฉพาะหากมีอาการท้องเสีย
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองกระเพาะและตับ
- หากมีอาการปวดศีรษะหรือวิงเวียน ควรพักผ่อนและปรึกษาแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาลดกรดที่มีอะลูมิเนียมหรือแมกนีเซียมพร้อมกัน เพราะอาจลดการดูดซึมของ Azithromycin
เรื่องที่ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา
- ประวัติการแพ้ยา โดยเฉพาะยาในกลุ่มแมโครไลด์ (เช่น Clarithromycin, Erythromycin)
- โรคประจำตัว เช่น โรคตับ, ไต, หัวใจ, หอบหืด, หรือ Long QT Syndrome
- ยาอื่น ๆ ที่กำลังใช้ รวมถึงยาที่ซื้อเอง (OTC), อาหารเสริม, หรือสมุนไพร
- การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ประวัติการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
ระหว่างใช้ยาต้องระวังอะไรบ้าง
- ง่วงซึม: อาจทำให้ง่วง ควรหลีกเลี่ยงการขับรถหรือใช้เครื่องจักรจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีผลกระทบ
- อาการทางเดินอาหาร: สังเกตอาการท้องเสียรุนแรง, อาเจียนเป็นเลือด, หรืออุจจาระสีดำ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อ Clostridium difficile
- หัวใจ: ตรวจวัดความดันโลหิตและจับชีพจรเป็นประจำ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยง QT Prolongation
- อาการบวมน้ำ: หากมีบวมที่มือ, เท้า, หรือข้อเท้า ควรปรึกษาแพทย์
- การติดเชื้อซ้ำ: หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3-5 วัน อาจบ่งบอกถึงการดื้อยา ควรพบแพทย์
อาการที่บ่งบอกว่าไม่ควรใช้ยาต่อ
- ผื่นรุนแรง, บวมที่ใบหน้า, ริมฝีปาก, ลิ้น, หรือหายใจลำบาก
- ท้องเสียรุนแรงหรือมีเลือดปน
- ตัวเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม, หรือปวดท้องรุนแรง
- เจ็บหน้าอก, ใจสั่น, หรือเป็นลม
- ปัสสาวะน้อยหรือไม่มี
- ปวดศีรษะรุนแรง, สับสน, หรือชัก
การติดตามระหว่างการรักษา
- สังเกตอาการแพ้ การทำงานของตับผิดปกติ หรือปัญหาด้านหัวใจ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีปฏิกิริยาร่วมกันร่วมกันโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- อย่าหยุดการรักษาในระยะเริ่มต้นแม้ว่าอาการจะดีขึ้นก็ตาม
- หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ เว้นแต่จะใกล้ถึงปริมาณยาครั้งต่อไป อย่ารับประทานยาเป็นสองเท่า
เมื่อใดจึงควรหยุดใช้
หยุดใช้ Azithromycin และไปพบแพทย์หากพบอาการดังต่อไปนี้:
- อาการแพ้รุนแรง (เช่น ผื่น บวม หายใจลำบาก)
- อาการแสดงภาวะตับเสื่อม เช่น ตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือ เจ็บหน้าอก
- อาการท้องเสียรุนแรงหรือมีเลือดปน
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดปกติหรือเหนื่อยล้าอย่างมาก
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
ข้อห้ามใช้
- ภาวะตับทำงานผิดปกติอย่างรุนแรงซึ่งสัมพันธ์กับการใช้ยาแมโครไลด์ก่อนหน้านี้
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ Azithromycin หรือยาในกลุ่มแมโครไลด์ เช่น Clarithromycin, Erythromycin
- โรคตับหรือไต: Azithromycin ขับออกทางตับเป็นหลัก ควรใช้ด้วยความระวังในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับหรือไตลดลง (GFR <10 มล./นาที)
- โรคหัวใจ: ผู้ที่มีประวัติ QT Prolongation หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ต้องระวังเนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยง
- โรคหอบหืด: อาจกระตุ้นอาการในบางราย
- ผู้สูงอายุ (มากกว่า 65 ปี): มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงในระบบทางเดินอาหารและหัวใจมากขึ้น
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: จัดอยู่ใน Pregnancy Category B (ไม่พบอันตรายในสัตว์ทดลอง แต่ข้อมูลในมนุษย์จำกัด) ควรใช้เมื่อจำเป็นและปรึกษาแพทย์
ข้อควรระวัง
ใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยดังต่อไปนี้:
- โรคตับหรือไต
- ภาวะทางหัวใจ โดยเฉพาะภาวะ QT ยาวขึ้น หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (อาจทำให้มีอาการแย่ลง)
- ความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์ (เช่น โพแทสเซียมหรือแมกนีเซียมต่ำ)
- การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร (อย.หมวด B ควรปรึกษาแพทย์)
ไม่แนะนำให้ใช้อะซิโธรมัยซินในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือนหรือในกรณีที่มีการติดเชื้อรุนแรงที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ห้ามใช้ร่วมกับยา
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด: เช่น Warfarin (อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก)
- ยาที่เพิ่ม QT Interval: เช่น Crizotinib, Lenvatinib, Leuprolide, Lithium
- ยา P-glycoprotein Substrates: เช่น Colchicine (อาจเพิ่มระดับยาในเลือด)
- ยาอื่น ๆ: Cimetidine, Cyclosporine, Digoxin, Ergotamine, Phenytoin, Theophylline
การเก็บรักษายา
- เก็บที่อุณหภูมิห้อง (15-30°C) ในที่แห้งและเย็น
- เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะยาน้ำที่ต้องเก็บในตู้เย็น
- หลีกเลี่ยงการเก็บในที่ชื้นหรือร้อน เช่น ห้องน้ำหรือใกล้เตา
- ทิ้งยาน้ำ Zmax ที่ผสมแล้วหากไม่ได้ใช้ภายใน 12 ชั่วโมง
สรุป
Azithromycin เป็นยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ปอดบวม, หนองใน, และการติดเชื้อทางผิวหนัง การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันการดื้อยาและผลข้างเคียงรุนแรง ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวและยาที่ใช้อยู่ และหยุดใช้ยาทันทีหากมีอาการแพ้รุนแรง การเก็บรักษายาอย่างถูกวิธีและการปฏิบัติตามคำแนะนำจะช่วยให้การรักษาปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
เผยแพร่เมื่อ:
โดย: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว