
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
ถั่วดำ (Black bean) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Phaseolus vulgaris เป็นหนึ่งในพืชตระกูลถั่วที่ได้รับความนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะในอาหารละตินอเมริกา เอเชีย และแอฟริกา ถั่วดำไม่เพียงแต่มีโปรตีนสูง แต่ยังอุดมด้วยใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ และมีคุณสมบัติทางยาในการช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และสนับสนุนสุขภาพทางเดินอาหาร
พลังงาน: 132 กิโลแคลอรี
โปรตีน: 8.9 กรัม
ไขมัน: 0.5 กรัม
คาร์โบไฮเดรต: 23.7 กรัม
ใยอาหาร: 8.7 กรัม
แคลเซียม: 27 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม: 355 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม: 70 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก: 2.1 มิลลิกรัม
โฟเลต: 149 ไมโครกรัม
สารต้านอนุมูลอิสระ: Anthocyanins, Kaempferol
ถั่วดำมีดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index) ต่ำ และมีใยอาหารชนิดละลายน้ำสูง ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด งานวิจัยแสดงว่าการบริโภคถั่วดำร่วมกับมื้ออาหารสามารถลด postprandial glucose spike ได้ (Rangwala SM et al., Nutrients, 2017)
สารฟลาโวนอยด์ในถั่วดำ เช่น kaempferol และ anthocyanins มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและลดระดับไขมัน LDL ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ขณะเดียวกัน โพแทสเซียมและแมกนีเซียมในถั่วดำช่วยควบคุมความดันโลหิต
ใยอาหารสูงในถั่วดำช่วยเพิ่มมวลอุจจาระ กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ และช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ (gut microbiota) ซึ่งมีผลต่อภูมิคุ้มกันและการอักเสบ
สารต้านอนุมูลอิสระในถั่วดำ เช่น anthocyanins ซึ่งให้สีดำเข้ม มีศักยภาพในการป้องกันความเสียหายของ DNA และอาจลดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Journal of Agricultural and Food Chemistry, 2011)
ถั่วดำสามารถบริโภคในรูปแบบต้มสุก ใส่ในซุป สลัด เต้าหู้ หรือบดเป็นแป้งถั่วดำในเบเกอรี่ ควรแช่ถั่วดำก่อนต้มอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง เพื่อลดสารต้านโภชนาการ เช่น phytate และ oligosaccharides ที่ทำให้เกิดแก๊ส
ผู้ที่มีภาวะ gout ควรบริโภคถั่วดำในปริมาณจำกัด เนื่องจากมี purine ซึ่งอาจเพิ่มกรดยูริกในเลือด
ควรปรุงให้สุกเสมอ หลีกเลี่ยงการกินถั่วดิบ เพราะอาจมีสาร lectin ที่เป็นพิษต่อเซลล์เยื่อบุลำไส้
ถั่วดำ เป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่ดีต่อสุขภาพ เป็นมิตรกับผู้ป่วยเบาหวาน โรคหัวใจ และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก พร้อมทั้งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สนับสนุนสุขภาพในระยะยาว การรับประทานเป็นประจำ (สัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง) ร่วมกับอาหารหลากหลายชนิด จะให้ผลดีต่อร่างกายอย่างยั่งยืน