การวินิจฉัยโรคเกาต์

  • จากประวัตมีการปวดข้อ และการตรวจร่างกายดังกล่าวข้างต้นโรคเกาต์มักจะปวดที่ละข้อแต่ต่างจากโรค SLE หรือ Rheumatoid ที่มักปวดที่ละหลายข้อ
  • เจาะเลือดพบกรด uric>7mg%
  • ตรวจหากรดยูริกในปัสสาวะที่เก็บ 24 ชั่วโมง ถ้าค่าสูงมีโอกาสเป็นนิ่วในไต
  • เจาะข้อนำน้ำในข้อตรวจพบเกลือ uric ดังรูป
  • X-RAY ข้อที่ปวดพบผลึก uric สะสมตามข้อ

การรักษา ช่วงที่มีข้ออักเสบ

  • ในช่วงที่มีอาการปวดอาจจะรับประทานยาแก้ปวด paracetamol หรือยาแก้ปวดอื่น
  • ช่วงที่มีการอักเสบของข้อให้ใช้ยา colchicine 0.5 mg ทุก 2 ชั่วโมงจนอาการปวดดีขึ้นหรือเกิดอาเจียน และถ่ายเหลว และอาจให้ยาแก้ปวดเช่น aspirin,indomethacin,ibuprofen,naproxyn,piroxicam ยากลุ่มนี้มีข้อเสียคือปวดท้องและเลือดออกทางเดินอาหารได้
  • ช่วงที่ปวดให้พักและดื่มน้ำมากๆเพื่อป้องกันการตกตะกอนของกรดยูริก
  • ให้นอนพัก ยกเท้าสูง
  • หลีกเลี่ยงการยืนหรือการเดิน

การป้องกันข้ออักเสบ

  • ให้ colchicine 0.6 mg วันละ 1-4 เม็ด ถ้าเริ่มมีอาการของข้ออักเสบให้เพิ่มได้อีก วันละ 1-2 เม็ด
  • ให้ยาลดกรด uric ในกรณีที่กรด uric >9 mg%และยังมีการอักเสบของข้อหรือไตเริ่มมีอาการเสื่อม เช่น probenecid 500 mg ให้ครึ่งเม็ดวันละ2 ครั้งค่อยๆเพิ่มเนื่องจากยานี้จะเพิ่มการขับกรดยูริกทางปัสสาวะ ดังนั้นไม่ควรให้ในผู้ป่วยที่มีนิ่วในไต และควรแนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ และหรือ allopurinol 200-600 mg/วัน  ยานี้ควรระวังในผู้ป่วยที่ไตเสื่อม เนื่องจากอาจจะเกิดอาการผื่นและแพ้ยาได้ ยากลุ่มนี้ไม่ควรให้ขณะที่มีการอักเสบของข้อเพราะจะทำให้ข้ออักเสบเพิ่มขึ้น
  • ให้ดื่มน้ำมากกว่า 3 ลิตร/วัน

 การควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเกาต์

  • กรรมพันธุ์ ผู้ชายจะเริ่มอายุ 35-40 ปี ส่วนผู้หญิงเริ่ม 45 ปีไปแล้ว
  • อ้วน ถ้าน้ำหนักเกิน จะส่งผลให้กรดยูริกในเลือดสูงขึ้นด้วย
  • อาหารที่มี purine สูง
  • อาหารที่มีไขมันสูง
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • ยาที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูงจะลดการขับกรดยูริก ยา aspirin ยารักษาวัณโรค เช่น pyrazinamide , ethambutol,niacin
  • เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะกระตุ้นให้มีการสร้างกรดยูริกเพิ่ม
  • ไตเสื่อม
  • โรคที่ทำให้กรดยูริกสูงเช่นโรคมะเร็ง โรคเม็ดเลือดแดงแตก
  • ภาวะขาดน้ำ
  • การได้รับอุบัติเหตุที่ข้อ

กลับไปหน้าเดิม การรักษาด้วยยา การรักษาโดยไม่ต้องใช้ยา การลดกรดยูริก