วิธีการควบคุมโรค
ก. มาตรการป้องกัน
- ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการล้างมือ ส่งเสริมให้มีเครื่องอำนวยความสะดวกในการล้างมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ปรุงอาหาร และผู้ที่ดูแลผู้ป่วยและเด็ก
- กำจัดอุจจาระให้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล และมีห้องส้วมที่ป้องกันแมลงวัน ได้เน้นเรื่องการใช้กระดาษชำระให้เพียงพอ เพื่อป้องกันมือไม่ให้สัมผัสอุจจาระ ในกรณีที่จำเป็นต้องถ่ายอุจจาระนอกส้วม ให้ขุดหลุมฝังอุจจาระในที่ที่ห่างไกลจากแหล่งน้ำดื่ม
- แหล่งน้ำสาธารณะควรมีการป้องกันให้สะอาดและฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน ควรจัดหาแหล่งน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงไม่ให้มีการปนเปื้อนระหว่างท่อน้ำเสียกับท่อน้ำดี สำหรับบุคคลหรือกลุ่มคนจำนวนไม่มาก หรือขณะกำลังเดินทาง หรือขณะทำงานในพื้นที่ควรดื่มน้ำต้มหรือน้ำที่ฆ่าเชื้อแล้ว
- ควบคุมแมลงวันโดยใช้มุ้งลวดหรือยาฆ่าแมลง หรือใช้เหยื่อหรือกับดักควบคุมการแพร่พันธุ์แมลงวันโดยการจัดเก็บ และการกำจัดขยะอย่างสม่ำเสมอบ่อย ๆและในการก่อสร้างส้วม ให้คำนึงถึงวิธีการควบคุมแมลงวัน ตลอดถึงการดูแลรักษาด้วย
- ให้ความพิถีพิถันกับความสะอาดในการจัดเตรียมอาหารการจับต้องอาหาร การเก็บอาหารในตู้เย็นให้เหมาะสมควรดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษเกี่ยวกับคุณภาพของสลัด และอาหารอื่น ๆ ที่รับประทานขณะที่เย็น ให้มีการปฏิบัติเช่นนี้ทั้งที่บ้าน และที่ร้านอาหารนอกบ้าน ถ้าผู้บริโภคมีความไม่มั่นใจในเรื่องของการปฏิบัติตามหลักสุขาภิบาลอาหาร ก็ให้เลือกรับประทานอาหารในขณะที่ร้อน และปรุงสุกแล้วเท่านั้นและควรปอกเปลือกผลไม้ด้วยตัวเองก่อนที่จะรับประทาน
- ทำการพาสเจอร์ไรส์หรือต้มนมและผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด ให้คำแนะนำด้านสุขาภิบาลแก่แหล่งผลิตนมการขนส่งผลิตภัณฑ์นม
- เร่งรัดให้มีการควบคุมคุณภาพของขบวนการเตรียมอาหาร และเครื่องดื่มเพื่อการบริโภค ใช้น้ำที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้วโดยคลอรีนในการผลิตอาหารกระป๋องในขณะที่ทำให้เย็น(cooling)
- ส่งเสริมให้มีการเลี้ยงทารกด้วยน้ำนมแม่ ต้มน้ำและนมที่ใช้เลี้ยงทารก
- อนุญาตให้มีการจับและจำหน่ายอาหารทะเล จากแหล่งที่มีการตรวจสอบแล้วเท่านั้นให้ต้มอบ หรือนึ่งอาหารก่อนรับประทานอย่างน้อย 10 นาที
- แนะนำผู้ป่วยผู้พักฟื้นคนที่เป็นพาหะ ให้รู้จักสุขวิทยาส่วนบุคคลเน้นการล้างมือให้เป็นกิจวัตรประจำหลังเข้าส้วม และก่อนเสริฟอาหาร
- ห้ามคนที่เป็นพาหะปรุงอาหาร และห้ามไม่ให้เป็นผู้ดูแลคนไข้ค้นหา และแนะนำผู้ที่เป็นไข้ทัยฟอยด์แยกเพาะเชื้อจากท่อระบาย อาจช่วยในการค้นหาคนที่เป็นพาหะได้
ในคนที่เป็นพาหะเรื้อรังควรได้รับการดูแล และจำกัดหน้าที่การงานจนกว่าจะปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบกฎเกณฑ์ของท้องถิ่น หรือของรัฐนั้นซึ่งตามปกติต้องไม่พบเชื้อจากการแยกเพาะเชื้อ จากอุจจาระติดต่อกัน 3 ครั้ง (และจากปัสสาวะด้วยในกรณีของพื้นที่ที่มีพยาธิใบไม้เลือดเป็นโรคประจำถิ่น) ตัวอย่างที่ส่งตรวจต้องเก็บห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน และเก็บครั้งที่สามหลังจากหยุดยาต้านจุลชีพแล้วอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ตัวอย่างอุจจาระสดที่ตรวจ มักได้จากการทำ rectal swabอย่างน้อย 1 ใน 3 ของตัวอย่างที่ให้ผลเป็นลบนั้นต้องได้จากการถ่ายอุจจาระของคนไข้เอง มักจะพบมีก้อนนิ่วหรือความผิดปกติของท่อน้ำดีจากผลฟิล์มเอ็กเรย์
การให้ยา ampicillin หรือ amoxicillin ร่วมกับprobenecid หรือco-trimoxazole พร้อม ๆ กันให้ผลดีต่อการรักษาในคนที่เป็นพาหะ แม้ว่าจะเกิดความผิดปกติของท่อน้ำดีแล้วก็ตาม ผลจากการศึกษาเบื้องต้นของการใช้quinolonesพบว่าก็ให้ผลการรักษาที่ดีมาก
- การฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทัยฟอยด์ ไม่แนะนำให้ฉีดในสหรัฐอเมริกาหรือในคนที่จะเดินทางไปในประเทศที่พัฒนาแล้ว การฉีดวัคซีนในปัจจุบันนี้ใช้กับคนที่เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ อันเกิดจากการประกอบอาชีพ หรือคนเดินทางไปในพื้นที่เกิดโรคเป็นประจำรวมถึงคนที่อาศัยในพื้นที่ที่มีการเกิดโรคมาก ตลอดจนสมาชิกในครอบครัวของคนที่เป็นพาหะ วัคซีนไข้ทัยฟอยด์ชนิดเชื้อตาย ฉีดห่างกันหลายสัปดาห์ ในกลุ่มที่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ ควรฉีดกระตุ้นอีก 1 เข็มทุกๆ 3 ปี วัคซีนเชื้อเป็นชนิดกินใช้ S. typhi สายพันธุส์ Ty21a ต้องกินอย่างน้อย 3 โด๊สนอกจากนี้ยังมีวัคซีนชนิดฉีดที่มีส่วนประกอบของpolysaccharide Vi antigenซึ่งให้ 1 โด๊ส ก็ยังใช้อยู่โดยที่วัคซีนพวกนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันน้อยกว่าวัคซีนชนิดเชื้อตายอย่างไรก็ตาม การใช้วัคซีนอาจไม่ป้องกันไข้ทัยฟอยด์ได้ถ้าได้รับวัคซีนหลังจากได้รับเชื้อเป็นจำนวนมาก
- ไข้พาราทัยฟอยด์ไม่มีวัคซีนที่ป้องกันโรคได้วัคซีนชนิดเชื้อตายทั้งเซลล์ (killed whole cell vaccine)ใช้ไม่ได้ผล และมีการรายงานว่ามีผลข้างเคียงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดTAB vaccine ที่มีเชื้อพาราทัยฟอยด์ชนิด A และ B ที่ถูกทำให้ตายแล้ว ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคไข้พาราทัยฟอยด์ได้แต่มีการกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองได้ดีกว่าวัคซีนชนิดเชื้อตาย
ข. การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม
- รายงานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำท้องถิ่น
- การแยกผู้ป่วย :การป้องกันการแพร่เชื้อผ่านระบบทางเดินอาหาร ในขณะที่ป่วยผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลเมื่อมีอาการเฉียบพลัน การควบคุมดูแลผู้ป่วยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำถิ่นจะยกเลิกก็ต่อเมื่อการเพาะเชื้อในอุจจาระผู้ป่วยติดต่อกันทั้ง 3 ครั้งนั้นมีผลเป็นลบ (และตรวจปัสสาวะด้วยถ้าพบว่าคนไข้เป็นโรคพยาธิใบไม้ในเลือด)
การเก็บตัวอย่างให้เก็บติดต่อกัน 3 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรกห่างกันอย่างน้อย 24 ชั่วโมงและหลังจากหยุดยาปฏิชีวนะอย่างน้อย48ชั่วโมงและการติดตามดูแลผู้ป่วยต้องทำให้ได้อย่างน้อย 1 เดือนภายหลังจากที่มีอาการถ้าผลการตรวจยังพบเชื้ออยู่ในครั้งใดใน 3 ครั้งให้มีการตรวจหาเชื้อทุกเดือนตลอด 1 ปี หลังจากแสดงอาการจนกว่าอย่างน้อยไม่พบเชื้อติดต่อกัน 3 ครั้ง
- การทำลายเชื้อในอุจจาระปัสสาวะ และสิ่งปนเปื้อน : ให้ทำลายพร้อมๆ กัน ในชุมชนที่มีระบบการกำจัดที่ทันสมัยและเพียงพอ ให้ทิ้งโดยตรงลงท่อไม่ต้องทำลายเชื้อก่อน
- การกักกัน : ไม่มี
- การให้ภูมิคุ้มกันแก่ผู้สัมผัส:เนื่องจากการฉีดวัคซีนทัยฟอยด์ไม่มีประสิทธิผลจึงไม่แนะนำให้ใช้กับผู้สัมผัสผู้ป่วย เช่นผู้สัมผัสร่วมบ้าน ผู้อยู่ในครอบครัวและบุคลากรทางสาธารสุขที่อาจได้รับเชื้อจากคนป่วย แต่อาจพิจารณาให้กับผู้สัมผัสกับผู้เป็นพาหะ
- การสอบสวนผู้สัมผัสและแหล่งโรค:ควรดำเนินการค้นหาผู้ป่วยที่ไม่รายงาน คนที่เป็นพาหะหรือค้นหาแหล่งอาหารน้ำนมและอาหารทะเลในกลุ่มนักเดินทางท่องเที่ยว ที่พบผู้ป่วย ควรได้ติดตามเฝ้าระวังคนอื่น ๆ ด้วย
การที่มีระดับของภูมิคุ้มกันต่อVi polysaccarideที่สูงขึ้น มักจะบ่งชี้ว่าคนนั้นเป็นพาหะของไข้ทัยฟอยด์การแยกเชื้อเพื่อให้ทราบ phage type ในผู้ป่วยและผู้ที่เป็นพาหะนั้น ก็เพื่อจะค้นหาวงจรของการแพร่เชื้อ
ผู้สัมผัสร่วมบ้าน หรือผู้สัมผัสใกล้ชิดไม่ควรจะประกอบอาชีพที่มีโอกาสแพร่เชื้อ เช่นประกอบอาหาร/ปรุงอาหารจนกว่าจะไม่พบเชื้อในอุจจาระและปัสสาวะอย่างน้อย 2 ครั้งห่างกัน24 ชั่วโมง
- การรักษาเฉพาะ:ใช้ยา chloramphenicol, amoxicillin หรือ co-trimoxazole ในการรักษาการติดเชื้อแบบเฉียบพลันซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีกลุ่มยา quinoloneและcephalosporins ก็ให้ผลการรักษาที่ดีเช่นกันเชื้อที่ทำการแยกได้แล้วสมควรจะทำการทดสอบหาการดื้อยาด้วย บางสายพันธุ์พบว่าดื้อต่อยา chloramphenicol, ampicillin และ amoxicillin แต่มีความไวต่อยา co-trimoxazoleสำหรับยาพวก steroidพบว่าให้ผลกับคนไข้ที่มีอาการหนัก
ค. มาตรการเมื่อเกิดการระบาด
- ค้นหาผู้ป่วยหรือพาหะซึ่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อและอาหารหรือน้ำที่อาจเป็นสาเหตุของการระบาด
- เรียกเก็บอาหารที่สงสัยว่าเป็นสาเหตุ หรือห้ามบริโภค
- พาสเจอร์ไรส์หรือต้มนมและหยุดการบริโภคผลิตภัณฑ์นมหรืออาหาที่สงสัย จนกว่าจะมีการตรวจที่แน่ชัดว่าปลอดภัย
- ใส่คลอรีนในแหล่งน้ำที่สงสัยให้เพียงพอภายใต้การแนะนำที่เหมาะสม หรือหยุดการใช้น้ำฆ่าเชื้อน้ำดื่มด้วยคลอรีนไอโอดีนหรือต้มสุก
- ไม่แนะนำให้ใช้วัคซีนแก่คนทั่วไป อาจพิจารณาใช้ในบางกรณี
ง. สัญญาณภัยที่ควรระวัง : การแพร่เชื้อไข้ทัยฟอยด์อาจเกิดขึ้นในที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการจัดหาน้ำการกำจัดสิ่งปฏิกูล และการสุขาภิบาลอาหารและน้ำซึ่งอาจเนื่องมาจาก มีผู้ป่วยหรือพาหะในกลุ่มคนที่มีการอพยพเคลื่อนย้ายการใช้ความพยายามในการปรับปรุงแหล่งน้ำดื่ม และการกำจัดสิ่งปฏิกูลให้ปลอดภัยจะมีประโยชน์มากกว่าการให้วัคซีนทัยฟอยด์แก่ชุมชน
จ. มาตรการควบคุมโรคระหว่างประเทศ
- นักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปยังพื้นที่ที่มีมีโรคประจำถิ่น ควรได้รับวัคซีนไข้ทัยฟอยด์โดยเฉพาะถ้าการเดินทางนั้นมีโอกาสได้บริโภคอาหาร และน้ำที่ไม่ปลอดภัยหรือต้องไปสัมผัสใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะชนบทไม่มีกฎหมายบังคับการให้ฉีดวัคซีนก่อนเข้าประเทศ
- ให้ความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกเรื่องไข้ทัยฟอยด์และไข้พาราทัยฟอยด์