การระบาดของไข้หวัดนก

จากการระบาดของไข้หวัดนกที่ ผ่านมานักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจะมีการระบาดของไข้หวัดนกทั่วโลก และจากบทเรียนของการระบาดในอดีตที่ผ่านมา ทำให้นักวิทยาศาสตร์หาหนทางป้องกัน การระบาด

เมื่อปี2005 นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาการระบาดโดยจำลองแบบการระบาดทางคณิตศสาสตร์ พบว่าก่อนที่จะมีการระบาดจะมีหลายปัจจัยหลายอย่างที่จะหยุดการระบาดของไข้ หวัดนก ปัจจัยดังกล่าวได้แก่

  • การ ให้ยาต้านไวรัสในแหล่งที่พบการระบาดครั้งแรก ซึ่งเป็นวิธีการที่สำคัญในการหยุดการระบาด องค์การอนามัยโลกได้มีการสำรองยาต้านไวรัสไว้สำหรับรักษาคน 3 ล้านคน(ข้อมูลเดือน พค 2549) ยานี้สำหรับใช้ในกรณีที่เริ่มมีการระบาดเท่านั้น
  • การกักกันผู้ที่สัมผัสหรือผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นไข้หวัดนก
  • การลดการติดต่อและการสัมผัสโรค เช่นการงดงานมโหรสพ หยุดโรงเรียน เป็นต้น

ตั้งแต่ เดือนธันวาคม 2548 จนกระทั่งปัจจุบันได้มีการประชุมผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติหลายครั้งโดยมีจุด ประสงค์การสะสมยาต้านไวรัส การกักกัน การป้องกันการระบาดทั่วโลก

เนื้อหาจะแบ่งออกเป็นสามส่วนได้แก่

  1. การค้นพบการเริ่มการระบาด
  2. การตอบสนองต่อการเริ่มการระบาด
  3. มาตราการควบคุมการระบาด

1.การค้นพบการเริ่มการระบาด

ความสำคัญของการควบคุมการระบาดของไข้หวัดนกขึ้นกับระยะเวลาที่ตรวจจับว่าเริ่มมี การระบาดจากคนสู่คนหรือยัง เพราะจากการศึกษาทางคณิตศาสตร์พบว่าหากมีการให้ยาต้านไวรัสภายใน 21 วันหลังการค้นพบผู้ป่วยรายแรกที่ระบาดจากคนสู่คนจะสามารถหยุดการระบาดของโรคได้ แต่การค้นหาการระบาดในระยะเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็วนั้นต้องประกอบไปด้วย

  1. การระบาดนั้นจะต้องรุนแรงทำให้สามารถตรวจจับว่าเกิดการระบาดของโรค
  2. การค้นพบการระบาดเป็นกลุ่มๆจะทำให้มีการศึกษา กลุ่มอาการของโรค การระบาดของโรค และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  3. มีระบบแจ้งเตือนถึงการระบาดจากชุมชนไปยังท้องถิ่นไปยังระดับชาติ
  4. เมื่อองค์การอนามัยโลกและนานาชาติได้รับทราบจะได้เตรียมความพร้อมและช่วยเหลือ
  5. ความช่วยเหลือจากภายนอกจะถูกส่งเข้าไปเมื่อถูกร้องขอ

สัญญาณว่ามีการระบาด

สัญญาณที่สำคัญและเร็วที่สุดว่ามีการระบาดของไข้หวัดนกคือ มีกลุ่มผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อและมีอาการคล้ายกันในบริเวณใกล้เคียงกัน แต่ในระยเริ่มต้นของการระบาดนั้นเป็นเรื่องยากที่จะวินิจฉัย ให้ยึดหลักที่ว่าหากมีกลุ่มคนที่มีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่แตกต่าง จากเดิมให้สงสัยว่าจะมีการระบาด เท่าที่มีรายงานพบว่ามีกลุ่มที่สงสัยว่าจะมีการระบาดจากคนสู่คนอยู่ 5 กลุ่ม แต่จากการศึกษาทางระบาดบอกไม่ได้ว่าเกิดจากคนสู่คนหรือเกิดจากการติด จากสัตว์

องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการค้นหาการระบาดตั้งแต่แรกเริ่มดังนี้

หากว่าพบผู้ป่วยตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปมีอาการติดเชื้อทางเดินหายใจระดับปานกลางจนหนักหรือเสียชีวิตในระยะเวลา 7-10 วันร่วมกับข้อต่อไปนี้ข้อใดข้อหนึ่

ได้แก่

  1. ไปท่องเที่ยวหรืออยู่บริเวณที่มีการระบาดของไข้หวัดนก
  2. มีการสัมผัสกับนก ไก่ หรือสัตว์ที่เสียชีวิต
  3. ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดนกหรือผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจรุนแรง
  4. อาชีพเสี่ยงเช่นเกษตรกร ปศุสัตว์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข

หากมีเกณฑ์ดังกล่าวให้รีบค้นหาการระบาดโดยด่วน

(อาการติดเชื้อทางเดินหายใจระดับปานกลางจนหนัก=ไข้มากกว่า 38 องศา ไอ หายใจหอบ หรือหายใจลำบากโดยที่ไม่พบปอดบวม)

การศึกษาไวรัส

การ ค้นพบกลุ่มที่มีอาการติดเชื้อเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการค้นหาการระบาดใน ระยะเริ่มแรก การตรวจเชื้อไวรัสก็มีส่วนช่วยในการวินิจฉัยว่าจะเกิดการระบาด การตรวจทางพันธุกรรมที่บ่งว่าเชื้อจะมีการระบาดได้แก่

  • การตรวจทางพันธุกรรมพบว่ามีการกลายพันธ์พบทั้งยีนไวรัสที่ติดเชื้อในคนและไก่
  • การตรวจเชื้อไวรัสที่แยกจากคนป่วยพบว่ามีพันธุกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปและไม่พบในสัตว์

เมื่อ ท้องถิ่นสามารถค้นพบกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อโรคทางเดินหายใจหัก ปานกลางถึงหนักมาก ต้องรีบแจ้งให้ระดับชาติทราบทันทีโดยไม่ต้องรอผลการตรวจอย่างอื่น เมื่อระดับชาติได้ทราบต้องรีบส่งทีมช่วยเหลือทันที

ขันตอนในการสืบค้นการระบาด

  1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ต้องตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุด้วยการตรวจที่ทันสมัยเพื่อให้ทราบผลใน 48 ชั่วโมงอาจจะใช้ PCR
  2. การสอบสวนทางระบาดซึ่งต้องสอบว่า ใคร ที่ไหนและเวลาใดโดยการสอบผู้ป่วย ญาติ เจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุข
  • การสอบสวนทางระบาดต้องสอบสวนถึงอาชีพ ประวัติการสัมผัสคนป่วย สัตว์ป่วย นก ไก่ สิ่งแวดล้อที่สงสัยว่าจะปนเปื้อน นักระบาดจะศึกษาระยะฟักตัวของโรค ลักษณะการติดต่อว่าเกิดจากคนสู่คนหรือไม่
  • ศึกษาอาการของผู้ป่วย ความรุนแรงของโรค ประมาณจำนวนผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่คาดว่าจะดีขึ้น อัตราการเสียชีวิต
  • ติดตามผู้ที่สัมผัสโรคทั้งหมด เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน ญาติ การเดินทางของผู้ป่วยและผู้สัมผัสโรค
  • การ สืบค้นอย่างเข้มข้นเพื่อค้นหาผู้ป่วยทางระบบหายใจระดับความรุนแรงปานกลางถึง หนัก โดยเฉพาะผู้ทสงสัยว่าจะี่สัมผัสกับผู้ป่วย สิ่งทำสำคัญคือต้องค้นหากลุ่มคนที่มีอาการแบบเดียวกัน และมีอัตราการเพิ่มของผู้ป่วยอย่างผิดสังเกตเพื่อจะได้เข้าควบคุมและกักกัน
  1. การ สืบค้นแหล่งแพร่ระบาด เมื่อมีการเสียชีวิตของสัตว์หรือคนที่สงสัยว่าจะเป็นโรคติดต่อ จะต้องเก็บตัวอย่างจากคนหรือสัตว์ของที่เสียชีวิตหรือที่กำลังป่วย และคนที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจหาแหล่งแพร่ระบาด เพื่อการควบคุมโรค

การสืบค้นการระบาดโดยการศึกษาตัวเชื้อ

เมื่อ ได้ตัวเชื้อที่สงสัยว่าจะเป็นสาเหตของการระบาด จะต้องนำตัวอย่างเชื้อจากที่ต่างๆ และจากกลุ่มคนที่เป็นโรคหลายๆกลุ่ม นำมาศึกษาทางพันธุกรรมและโครงสร้างเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของตัวเชื้อ หากมีการระบาดร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของตัวเชื้อ ทำให้เชื่อได้ว่าเชื้อนั้นจะสามารถติดต่อจากคนสู่คน

2.การประเมินสถานการณ์และมาตราการในการควบคุมโรค

การประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น

เมื่อWHO ได้รับรายงานของการระบาด องค์การอนามัยโลกจะต้องเริ่มประเมินสถานการณ์อย่างเร่งด่วน

  1. ตัวอย่างเชื้อโรคจะต้องนำส่งWHO เพื่อตรวจยืนยันหาเชื้อที่เป็นสาเหตุของการระบาด
  2. ประเมิน ว่าประเทศที่มีการระบาดว่าจะต้องให้ความช่วยเหลืออะไรบ้าง เช่น ผู้เชี่ยวชาญการระบาด ผู้เชี่ยวชาญด้านห้องปฏิบัติการ การควบคุมฝูงชน การเคลื่อนย้ายคน วัสดุทางการแพทย์ เช่นหน้ากากอนามัย ถุงมือ ยาเป็นต้น
  3. องค์การอนามัยโลกและประเทศที่มีการระบาดจะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลของการระบาดและการควบคุมให้มากที่สุด
  4. จะต้องมีมาตราการควบคุมทันทีโดยเฉพาะชุมชนที่มีการระบาด

มาตราการเร่งด่วนเบื้องต้นในการควบคุมการระบาด

เมื่อมีกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายกันและสงสัยว่าจะเกิดโรคระบาดโดยเฉพาะไข้หวัด นก ราชการส่วนท้องถิ่นจะต้องเริ่มดำเนินการควบคุมโรคโดยทันทีโดยไม่ต้องรอการ ตรวจทางห้องปฏิบัติการ มาตราการควบคุมโรคระบาดมีดังต่อไปนี้

  1. จะต้องแยกผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบหายใจที่มีอาการปานกลางถึงหนักไม่ให้รวมกับผู้ป่วยอื่นอาจจะไปอยู่ห้องแยกเดี่ยวหรือห้องป้องกันการติดเชื้อ
  2. ค้นหาผู้ที่สัมผัสโรคหรือผู้ที่สงสัยว่าอาจจะสัมผัสกับผู้ป่วยให้คนเหล่านี้แยกตัวเองจากครอบครัว หรือสังคมให้วัดไข้และติดตามว่าจะเกิดอาการของโรคเมื่อใด
  3. ให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ที่สัมผัสโรค หรือกลุ่มเป้าหมายที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย
  4. เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะต้องเข้มงวดเกี่ยวกับการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ และสวมเครื่องป้องกันส่วนบุคคล
  5. ส่งเสริมให้มีการล้างมือและการใช้ผ้าปิดปากเมื่อมีการไอหรือจาม
  6. ทำความสะอาดบ้านโดยใช้สบู่หรือฝงซักฟอกเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อทางเสมหะที่อยู่บนพื้น

หน่วยเคลื่อนที่เร็วขององค์การอนามัยโลก

องค์การอนามัยโลกได้จัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วซึ่งสามารถจะไปยังพื้นที่เป้าหมายใน 24-48 ชั่วโมงหลังจากร้องขอ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ระบาดวิทยา เจ้าหน้าที่ควบคุมโรคติดต่อ ผู้เชี่ยงชาญเรื่องการสื่อสาร เจ้าหน้าที่ข้อมูล พร้อมทั้งห้องปฏิบัติการสนาม ยาต้านไวรัส เครื่องป้องกันตัวเอง

3.การควบคุมการระบาด Containing the event The rapid response and containment operation

การตัดสินใจใช้มาตราการควบคุมโรค (Containing the event) จะต้องมีข้อบ่งชี้ชัดเจนเพราะมาตราการนี้จะเปลืองทรัพยากรค่อนข้างมาก เช่นยา การใช้มาตราการนี้จะใช้ในกรณีที่คิดว่า เริ่มจะมีการระบาดจากคนสู่คน และเชื่อว่าหากใช้มาตราการนี้จะควบคุมการระบาดได้ ข้อบ่งชี้ในการใช้มาตราการนี้ได้แก่

  1. เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ป่วยด้วยเรื่องโรคติดเชื้อทางเดินหายใจหนักปานกลางถึง หนักมากตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปโดยที่ไม่ได้ไปติดเชื้อจากแหล่งอื่น
  2. มีผู้ติดเชื้อหรือเสียชีวิตด้วโรคติดเชื้อทางเดินหายใจหนักปานกลางถึงหนักมาก 5-10 คนโดยมีหลักฐานการติดต่อจากคนสู่คน และผลตรวจเชื้อ H5N1อย่างน้อย2คน
  3. มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการระบาดจากคนสู่คน 2 กลุ่มขึ้นไป
  4. มีการค้นพบเชื้อไข้หวัดนกที่มีพันธุกรรมของเชื้อไวรัสที่ติดในคน หรือเชื้อไข้หวัดนกที่พบมีการกลายพันธุ์มาก

มาตราการควบคุมจะไม่ได้ผลและไม่ควรทำในกรณีดังต่อไปนี้

  1. ไม่สามารถยืนยันว่าเป็นเชื้อไข้หวัดนก H5N1
  2. จำนวนผู้ป่วยหรือพื้นที่มีการระบาดมีขนาดใหญ่มาก ทำให้ไม่สามารถควบคุมการระบาดด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
  • จำนวนผู้ที่ต้องได้รับยาต้านไวรัสมีปริมาณมากกว่ายาที่มีอยู่
  • ชุมชนที่ระบาดมีขนาดใหญ่มากทำให้ไม่มีพื้นที่ที่จะควบคุมผู้ป่วย รวมทั้งอาหาร ยา การรักษาทางการแพทย์
  1. การควบคุมจะไม่ได้ผลหลังจากพบผู้ป่วยรายแรกหรือกลุ่มแรก 4-6 สัปดาห์

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการที่จะประสบผลสำเร็จในการควบคุมโรคระบาดขึ้นอยู่กับ จำนวนผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วย และความสามรถของราชการส่วนท้องถิ่น รัฐบาลและองค์การอนามัยโลกในการที่จะจัดการกับผู้ที่ติดเชื้อเหล่านี้ เช่น ที่พักสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ น้ำ อาหาร ระบบสุขอนามัย อาหาร ระบบความปลอดภัย การสื่อสารในกลุ่ม และการสื่อสารกับข้างนอก

ส่วนมาตราการในการควบคุมการระบาดแบ่งออกเป็นสองมาตราการได้แก่

  1. มาตราการในระยะเร่งด่วนเป็นมาตราการมาตราฐานเพื่อลดการระบาด ได้แก่ การค้นหาผู้ป่วยและผู้สัมผัส การให้ยาต้านไวรัสแก่กลุ่มเป้าหมาย
  2. มาตราการเสริม เป็นมาตราการเพิ่มเติมเพื่อควบคมการระบาดได้แก่ การให้ยาต้านไวรัสแก่คน การกักกัน และการลดการรวมกลุ่มของคน เช่นหยุดโรงเรียน เป็นต้น

มาตราการในระยะเร่งด่วนเป็นมาตราการมาตราฐาน standard measures

มาตรา การนี้มีสมมติฐานว่าเพิ่งจะเกิดโรคระบาด จำนวนผู้ที่ติดเชื้อยังไม่มากดังนั้กิจกรรมในมาตราการนี้จะค้นหาผู้ป่วย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การราบงานผู้ป่วย จากศึกษาทางคณิตศาสตร์พบว่าหากเราควบคุมและให้ยาต้านไวรัสภายใน 21 วันหลังจากเกิดโรคระบาดจากคนสู่คนใน 21วันจะสามารถควบคุมโรคได้ มาตราการที่นำมาใช้ได้แก่

  1. การเฝ้าระวัง Active surveillance

การ เฝ้าระวังจะกระทำทั้งบริเวณที่คิดว่ามีการระบาด และทั่วประเทศ การเฝ้าระวังจะต้องสอบถามถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ผ่านมา การสัมผัสกับคนในช่วงที่ป่วย สำหรับในเขตที่มีการระบาดจะต้องรายงานผู้ป่วยทุกรายรวมทั้งกลุ่มคนที่สงสัย ว่าจะเป็นโรคเดียวกัน การเฝ้าระวังจะมีประโยชน์ในการควบคุมโรคดังนี้

  • สามารถจัดการกับการระบาดได้อย่างถูกต้อง และเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลง
  • ติดตามว่าโรคมีการระบาดไปยังแหล่งอื่นหรือไม่
  • เพื่อใช้ในการประเมินว่าการควบคุมโรคได้ผลหรือไม่ เพื่อปรับแผนการควบคุม
  1. การติดตามผู้สัมผัสโรค Contact tracing

เมื่อเริ่มมีการระบาดจะต้องติดตามผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือผู้ที่สัมผัสไก่ตาย ซึ่งต้องสอบถามผู้ที่ผู้ป่วยสัมผัสหรือท่องเที่ยวใน 14 วันก่อนป่วย ผู้ที่มีประวัติสัมผัสผู้ป่วย หรือไก่ตายจะต้องสังเกตว่ามีไข้หรือไม่เป็นเวลา 7 วัน หากมีผู้ทีสัมผัสมากจะต้องตรวจหรือคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงสูงก่อน เกณฑ์ที่ใช้พิจารณาได้แก่

  • ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เช่นผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีผลการตรวจยืนยันว่าป่วยเป็นไข้หวัดนก
  • ระยะเวลาที่สัมผัสและความใกล้ชิด
  • การสัมผัสนั้นมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เช่นการดูแลผู้ป่วยโดยที่ไม่ได้สวมเครื่องป้องกัน
  • การสัมผัสซึ่งอาจจะทำให้มีการระบาดกระจาย เช่นผู้ป่วยที่ผลการตรวจยืนยันว่าเป็นไข้หวัดนกสัมผัสกับกลุ่มนักเรียน

ผู้ ป่วยทุกคนควรจะรับตัวไว้ในโรงพยาบาลเพื่อควบคุมการติดต่อ สำหรับผู้ที่สัมผัสควรจะอยู่ในบ้านเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วันหลังการสัมผัสครั้งสุดท้าย

กลุ่มเป้าหมายที่ต้องให้ยาต้านไวรัส

ควร ให้้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ป่วยทุกรายที่ติดเชื้อทางเดินหายใจปานกลางถึงหนัก เพื่อลดอัตราการตาย และให้ยาแก่ผู้ที่สัมผัสโรคทุกราย ทางราชการโดยความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกกำนดกลุ่มคนที่ควรจะได้รับยา ต้านไวรัส รวมทั้งกำหนดจุดที่จะให้อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ

การติดตามผู้ที่สัมผัสโรค

ประชาชนส่วนใหญ่และผู้ที่สัมผัสโลกจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับโรคไข้หวัดนกดังนี้

  1. ประชาชน และผู้สัมผัสโรคจะต้องรู้ว่าอาการเบื้องต้นของไข้หวัดนก เช่นไข้ ไอ และรู้วิธีวัดไข้ การวัดไข้จะต้องวัดต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วัน หากมีไข้ต้องรายงานเจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุข
  2. เมื่อมีไข้จะต้องรายงานอาการไข้ให้เจ้าหน้าที่ทราบทันที และยังอยู่ในบ้าน เจ้าหน้าที่จะต้องรีบตรวจหาสาเหตุของไข้
  3. เจ้าหน้าที่จะเยี่ยมหรือโทรศัพท์ถามอาการทุกวัน
  4. เจ้าหน้าที่จะตรวจวินิจฉัยโรคหากผู้สัมผัสโรคเกิดอาการดังกล่าวข้างต้น

การจัดการกับผู้ป่วย Case management

ในช่วงเริ่มต้นระบาดผู้ป่วยยังไม่มากผู้ป่วยทุกรายควรจะต้องนอนในโรงพยาบาลและนอนในห้องแยกติดเชื้อ หากผู้ป่วยมีมากอาจจะต้องนอนรวมกันในห้องเดียว

กรณีที่ผู้ป่วยมีมากเกินความสามารถของโรงพยาบาล ผู้ป่วยอาจจะนอนที่บ้าน โรงพยาบาลสนาม หรือสถานที่ที่จัดขึ้น การจะให้ผู้ป่วยอยู่ที่ใดขึ้นกับความรุนแรงของผู้ป่วย รัฐบาลควรจะปรึกษากับองค์การอนามัยโลกถึงแผนการเพื่อรับมือกับการระบาด การขนส่งจะกระทำโดยผู้ที่ได้ผ่านการอบรม

เพื่อเป็นการลดการระบาดผู้ที่มีอาการไข้ และมีอาการไข้หวัดควรจะได้รับการดูแล

  • แยกห้องตรวจจากผู้ป่วยที่ไม่มีไข้หรือ
  • จัดห้องตรวจสำหรับผู้ที่มีไข้หรือ
  • อยู่ที่บ้านและมีเจ้าหน้าที่ไปตรวจเยี่ยมหรือ
  • ขับรถมาเพื่อปรึกษาและตรวจแล้วกลับ
  • หรือบริการอื่นที่สามารถลดการติดต่อ

การควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล

หลักการป้องกันโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลจะต้องได้รับการปฏิบัติโดยเคร่งครัด

  • การแยกผู้ป่วยไว่ในห้องแยกโรคติดเชื้อ
  • การปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคติดต่อ ได้แก่ standard precaution,contact precaution,droplet precaution,airborn precaution
  • หากผู้ป่วยออกนอกห้องต้องสวมหน้ากาก
  • เจ้าหน้าที่ต้องสวมเครื่องป้องกันตัวเอง
  • การล้างมือ
  • การจามหรือไอ

มาตราการเสริม เป็นมาตราการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมการระบาด

มาตราการต่างๆที่จะกล่าวจะทำให้การควบคุมมีประสิทธิภาพดีขึ้น มาตราการต่างๆได้แก่

การกักกันอย่างสมัครใจ Voluntary quarantine

ประสบการณืจากไข้หวัดมรณะ SARS พบว่าการกักกันตัวเองโดยสมัครใจได้ประสบผลสำเร็จระดับหนึ่ง ซึ่งการกักกันตัวเองโดยสมัครใจจะเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมการระบาด ในขณะเดียวกัน ราชการส่วนท้องถิ่น และส่วนกลางจะต้องเตรียมมาตราการบังคับการกักกันทั้ง บุคคลหรือกลุ่มบุคคล การเตรียมการจะต้องพิจารณาในแง่กฎหมาย จริยธรรม สถานที่ที่ใช้กักกัน น้ำ อาหาร สิ่งอำนวยความสะดวก นักจิตวิทยา ยาสำหรับผู้ที่ป่วยเรื้อรัง การกักกันในเบื้องต้นให้ใช้มาตราการที่ไม่เข้มงวดเกินไป หากมีความจำเป็นจึงใช้มาตราการที่เข้มงวด

สำหรับราชการส่วนท้องถิ่นให้เริ่มกักกันในกรณีต่อไปนี้

  • การสัมผัสโรคเกิดในกลุ่มคน เช่น ครอบครัว โรงเรียน ที่ทำงาน
  • การสัมผัสโรคเกิดภายในอาคาร เช่น โรงแรม โรงพยาบาล คอนโดมิเนียม

โดยอาจจะให้กักกันที่บ้านหรือสถานที่ที่ราชการส่วนท้องถิ่นกำหนด

การลดการชุมนุมของคน Social distancing

มาตราการนี้จะช่วยลดการระบาดได้เป็นอย่างดี เป็นการแยกคนที่ไม่มีอาการของโรคจากชุมชนเพื่อลดโอกาศการติดโรค มาตราการนี้ได้แก่

  • การปิดโรงเรียน
  • ลดการชุมชุนเช่น ปิดโรงภาพยนต์ ปิดห้างสรรพสินค้า
  • ปิดชายแดน

การให้ยาต้านไวรัส

องค์การ อนามัยโลกได้เตรียมยาต้านไวรัสไว้ที่อเมริกาและสวิสเซอร์แลนด์แห่งละ1.5 ล้านการรักษา โดยคลังยานี้มีไว้เพื่อหยุดการระบาดโดยเฉพาะใช้ในกรณีที่เริ่มมีการระบาด และประเทศนั้นไม่มียาสำรอง WHO จะนำยามาให้ใช้ โดยกะว่าจะให้ยาในระยะ 2 สัปดาห์แล้วดูผล หากไม่มีการระบาดก็จะให้ยาเพิ่มเติม

เนื่อง จากการให้ยาต้านไวรัสอาจจะจำเป็นต้องให้อย่างมากและเจ้าหน้าที่มีไม่พอให้ ข้อมูลเรื่องการแพ้ยา และยายังไม่ได้รับรองความปลอดภัยหากใช้ในคนท้องหรือเด็ก ข้อมูลเหล่านี้จะต้องแจ้งให้ประชาชนทราบและเว็นต์ใบยินยอม นอกจากนี้จะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่หากพบว่าเกิดอาการข้างเคียงจากการแพ้ยา

การสวมหน้ากาก| การสวมหน้ากาก| n95 ทดสอบความพอดี |การล้างมือ |ไข้หวัดนก |ไข้หวัดนกในไก|การป้องกัน| ความปลอดภัยสำหรับคนเลี้ยงไก่ |ข่าวจากฮงค์การอนามัยโลก| การเตรียมตัวรับการระบาด| การระบาด |การป้องกัน เชื้อไข้หวัดใหญ |การเตรียมตัวป้องกันการระบาดทั่วโลก

เอกสารอ้างอิง WHO pandemic influenza draft protocol for rapid response and containment

Updated draft 17 March 2006