siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

 


🩸 Aplastic Anemia (ภาวะไขกระดูกฝ่อ)

Aplastic anemia หรือ ภาวะไขกระดูกฝ่อ คือโรคทางโลหิตที่ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดใหม่ได้เพียงพอ ทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดลดลงพร้อมกัน ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันต่ำ และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเลือดออกง่าย

ไขกระดูก (Bone marrow) เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในกระดูก ทำหน้าที่สร้างเซลล์ต้นกำเนิด (stem cells) ซึ่งพัฒนาเป็น

เมื่อไขกระดูกไม่ทำงานหรือถูกทำลาย เซลล์เหล่านี้จะลดลงจนเกิดภาวะ Aplastic anemia ซึ่งหากรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้


🔍 สาเหตุของ Aplastic Anemia

สาเหตุหลักคือ การถูกทำลายของเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูก โดยอาจเกิดจากสาเหตุที่ “ได้มา (Acquired)” หรือ “พันธุกรรม (Inherited)”

1. สาเหตุที่ได้มา (Acquired)

พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่

2. สาเหตุทางพันธุกรรม (Inherited)

เป็นสาเหตุที่พบไม่บ่อย เช่น

บางกรณีไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่อาจเกี่ยวข้องกับการที่ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีไขกระดูกของตนเอง


⚠️ กลุ่มเสี่ยง


💢 อาการของ Aplastic Anemia

เกิดจากการมีเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ

ระบบ อาการที่พบบ่อย
เม็ดเลือดแดงต่ำ (โลหิตจาง) เหนื่อยง่าย หน้ามืด หายใจสั้น ผิวซีด มือเท้าเย็น ใจสั่น
เม็ดเลือดขาวต่ำ ติดเชื้อง่าย มีไข้บ่อย หรือติดเชื้อรุนแรง
เกล็ดเลือดต่ำ ช้ำง่าย มีเลือดออกตามไรฟัน จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง เลือดกำเดาไหล ประจำเดือนมามาก
อาการอื่น ๆ คลื่นไส้ ผื่นคัน ตับโต หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ

ในบางรายอาจพบร่วมกับภาวะ Paroxysmal Nocturnal Hemoglobinuria (PNH) ซึ่งมีเลือดออกในปัสสาวะหรือมีลิ่มเลือดอุดตัน


🧬 การวินิจฉัยโรค

แพทย์จะตรวจประวัติ อาการ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่

  1. Complete Blood Count (CBC): ตรวจจำนวนเม็ดเลือดทั้งหมด

  2. Reticulocyte count: ตรวจอัตราการสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่

  3. Bone marrow biopsy: ตรวจไขกระดูกเพื่อดูจำนวนเซลล์และการทำงาน

  4. ตรวจอื่น ๆ: เช่น เอกซเรย์ การตรวจไวรัส หรือทดสอบภูมิคุ้มกัน


💊 การรักษา Aplastic Anemia

เป้าหมายคือกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และรักษาสาเหตุ

1. การให้เลือด (Blood transfusion)

ช่วยบรรเทาอาการชั่วคราวโดยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือด แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

2. การปลูกถ่ายไขกระดูก (Stem cell transplant)

เป็นทางรักษาที่อาจ “หายขาด” โดยเฉพาะในผู้ป่วยอายุน้อยที่มีผู้บริจาคที่เข้ากันได้

3. ยากระตุ้นไขกระดูก

เช่น erythropoietin หรือ colony-stimulating factors เพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด

4. ยากดภูมิคุ้มกัน

เช่น antithymocyte globulin (ATG), cyclosporine, methylprednisolone ใช้ในกรณีที่ภูมิคุ้มกันทำลายไขกระดูก

5. ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัส

ป้องกันการติดเชื้อในผู้ที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำ


🩺 การดูแลตนเองและการติดตามรักษา


💬 พยากรณ์โรค

Aplastic anemia เป็นโรคที่พบไม่บ่อยแต่มีความรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้ แต่ด้วยการรักษาที่เหมาะสม เช่น การปลูกถ่ายไขกระดูกหรือยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมามีชีวิตปกติได้


🔎 สรุป

Aplastic anemia คือภาวะที่ไขกระดูกหยุดทำงานหรือสร้างเม็ดเลือดได้น้อยลง ส่งผลต่อระบบเลือดทั้งหมด หากพบอาการเหนื่อยง่าย ซีด ติดเชื้อง่าย หรือเลือดออกง่าย ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว


คำหลัก (SEO Keywords)