วิธีการให้อาหารทางสายยาง
ความหมายและวัตถุประสงค์ของการให้อาหารทางสายยาง
ความหมายของการให้อาหารทางสายยาง
เป็นวิธีการให้อาหารแก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการกลืน หรือมีโรคในปากและคอแต่ระบบทางเดินอาหารยังดีอยู่ หมายถึงการย่อยและการดูดซึมของอาหารยังดีอยู่ ตัวอย่างปัญหาที่ต้องให้อาหารทางสายยาง เช่น โรคทางระบบประสาทที่มีปัญหาเกี่ยวกับการกลืน หรือการกลืนมีปัญหาทำให้เกิดสำลักอาหาร ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยเกิดสภาพการขาดอาหาร
เมื่อไรแพทย์จึงจะใส่สายเพื่อให้อาหาร
วิธีการให้อาหารทางสายยาง
1. Nasogastric tubes (NG tubes)
นิยม feed อาหารผ่านสายยางชนิดนี้ สารอาหารมักเป็นชนิด hypertonic feeds และให้ด้วยอัตราเร็วและต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ใส่สาย NG tubes ควรมีการ comfirm ตำแหน่งทุกครั้งด้วยการดูด content ในกรณีที่ไม่มี content ให้เช็คตำแหน่งสายด้วยการใส่ลมและฟังเสียงลมด้วย stethoscope ตรงตำแหน่งของกระเพาะอาหาร
2. Nasojejunal tubes (NJ tubes)
การใส่ NJ tube อาจพิจารณาจากผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวและมีปัญหาเรื่อง gastric reflux หรือ delayed gastric emptying ขนาดของ NJ tube คือสายเล็ก ขนาด 6-10 French
3. Percutaneous gastrostomy tubes (PEG)
ผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้อง feed อาหารมากกว่า 4-6 สัปดาห์ อาจพิจารณาให้มีการใส่ gastrostomy จากผนังหน้าท้องไปยังกระเพาะอาหารโดยอาจใช้วิธี endoscopic หรือ radiological procedures ทั้งนี้พยาบาลต้องระวังว่าการมี Gastrostomy อาจทำให้ผู้ป่วยไม่สุขสบาย และเกิดความอายได้
วัตถุประสงค์ของการใส่สายยาง NG Tube insertion
- เพื่อให้อาหารและยาแก่ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานได้ทางปาก
- เพื่อดูดน้ำย่อย และก๊าซออกจากกระเพาะอาหารลดอาการแน่นท้อง (gastric suction)
- เพื่อดูดน้ำย่อยในกระเพาะอาหารออกมาตรวจ (gastric analysis)
- เพื่อใส่สารละลายในอาหาร
- ล้างกระเพาะอาหารในผู้ป่วยที่รับประทานสารพิษหรือยาเกินขนาด
(Gastric lavage/ Irrigation)
- เพื่อหยุดการออกของเลือดในหลอดอาหาร (Decompress) ด้วยสารที่มีลูกโปร่งที่ปลาย
ขั้นตอนการใส่สาย NG Tube( nasogastric tube)
- ญาติหรือผู้ป่วยจะต้องได้รับคำอธิบายถึงความจำเป็นในการใส่สาย วิธีการใส่สาย และข้อดีข้อเสีย รวมทั้งภาวะแทรกซ้อน
- จะใส่สายลึกแค่ไหนโดยการวัดระยะทางจากติ่งหูไปที่รูจมูกและวัดต่อลงมายังลิ่มปี่(ประมาณ50-60 ซม)
- ทางเจลตลอดสายNG
- ตรวจสอบรูจมูกโดยการบีบรูจมูกทีละข้างเลือกข้างที่ดี และพ่นยาชาเพื่อลดการระคายเคือง
- ให้ผู้ป่วยนั่ง ใส่สายชิดผนังรูจมูกด้านหลังจนเข้าบริเวณคอ
- เมื่อเห็นสายที่คอให้ผู้ป่วยกลืนหรือดื่มน้ำ และให้ขยับสายเข้าไปครั้งละ5-10 ซมในขณะกลืน
- ใส่จนกระทั่งถึงจุดที่วัดไว้
- ให้ถอยสายหากผู้ป่วยเกิดอาการไอ หน้าเขียว หรืออึกอัด
- ตรวจสอบว่าสายอยู่ในกระเพาะหรือไม่โดยการดูดพบว่าได้น้ำย่อยแสดงว่าถึงบริเวณกระเพาะอาหาร (วัดความเป็นกรดได้ pH <5.)
- ใช้พลาสเตอร์พันสายติดกับจมูก
- สายชนิด Polyurethaneและ silicone tubesสามารถใช้ได้ประมาณ 1 เดือน
วิธีการให้อาหารทาง Nasogastric tube
- ผู้ที่จะให้อาหารต้องล้างมือให้สะอาดตามวิธีการล้างมือที่ถูกวิธี การล้างมือ
- เตรียมอุปกรณ์ในการให้อาหารเหลว และ อาหารเหลวตามแผนการรักษาเตรียมของเครื่องใช้ในการให้อาหารทางสายยาง อาหารเหลวที่เตรียมให้ผู้ป่วย รวมทั้งยาของผู้ป่วยที่มีให้หลังอาหารให้พร้อม
- บอกให้ผู้ป่วยทราบและกลั้นม่าน
- จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายศีรษะสูงหรือท่านั่ง ถ้าผู้ป่วยนอนหงายไม่ได้ให้นอนตะแคงขวาศีรษะสูงอย่างน้อง 30 องศาและสูงได้ถึง 45 หรือ 60 องศา ในรายที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวควรให้หนุนหมอน ตั้งแต่หลังจนถึงศีรษะโดยใช้หมอน 2 ใบใหญ่หรือจัดให้ผู้ป่วยนั่งพิงพนักเตียงหรือให้นั่งเก้าอี้
- ในผู้ป่วยที่เจาะคอมีท่อหายใจ ให้ดูดเสมหะในหลอดลมคอก่อนเพื่อป้องกันผู้ป่วยไอ จากการมีเสมหะมาก ขณะให้อาหารทางสายยาง ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ปอดอักเสบจากการสำลักอาหาร
- เปิกจุกที่ปิดรูเปิดสายให้อาหารและเช็ดรูเปิดด้านนอกของสายให้อาหารด้วยสำลีชุบน้ำต้มสุก
- สวมปลาย Syringe Feed เข้ากับรูเปิดของสายให้อาหารแน่น แล้วดูดว่ามีอาหารเหลวมื้อก่อนเหลือค้างอยู่ในกระเพาะอาหารหรือไม่
- เอากระบอกให้อาหาร พร้อมลูกสูบต่อกับหัวต่อและปล่อยนิ้วที่คีบสายออก ทำการทดสอบดูว่า ปลายสายยางให้อาหาร ยังอยู่ในกระเพาะอาหารหรือไม่โดย
- ใช้กระบอกให้อาหารดูดอาหารหรือน้ำออกจากพระเพาะ ถ้ามีมากเกิด 50 ซีซี
ให้ดันอาหาร น้ำกลับคืนไปอย่างช้าๆ และเลื่อนเวลาออกไปครั้งละ 1 ชั่วโมง
แล้วมาทดสอบดูใหม่ ถ้ามีไม่เกิน 50 ซีซี ให้ดันอาหารน้ำกลับคืนไปอย่างช้าๆ และให้อาหารได้ และถ้าหลังจาก 1 ชม.ไปแล้ว gastric content ยังไม่ลดลงให้รายงานแพทย์ทราบเพื่อวางแผนการรักษาต่อ
- ถ้าดูดออกมาแล้ว ไม่มีอาหารตามขึ้นมาเลย ให้ดูดลมเข้ามาในกระบอกอาหาร ประมาณ 20 ซีซี
แล้วต่อเข้ากับสายให้อาหาร พร้อมกับเอาฝ่ามืออีกด้านหนึ่ง หรือหูแนบเข้ากับใต้ชายโครงด้านซ้าย
ดันลมในกระบอกให้เข้าไปในกระเพาะอาหารอย่างช้า ถ้าสายอยู่ในกระเพาะอาหาร จะรู้สึก
หรือได้ยินเสียงลมเข้าไปในกระเพาะอาหาร จากนั้นให้ดูดลมออกด้วย อาจจะประมาณ 20 ซีซี ก็ไม่เป็นไร
- ถ้าดูดออกมาแล้วได้ของเหลวสีน้ำตาลเข้ม ๆ ควรปรึกษาพยาบาลเยี่ยมบ้าน
เพราะผู้ป่วยอาจมีปัญหาแผลในกระเพาะอาหารได้
- เทอาหารใส่กระบอกครั้งละประมาณ 50 ซีซี ยกกระบอกให้สูงกว่าผู้ป่วยประมาณ 1 ฟุต ปล่อยให้อาหารไหลตามสายช้าๆ อย่าให้อาหารไหลเร็ว
ถ้าเร็วมากต้องลดกระบอกให้ต่ำลง เพราะการให้อาหารเร็วมากเกินไป จะทำให้ผู้ป่วยคลื่นไส้ อาเจียน
ปวดท้อง หรือท้องเดิน
- เติมอาหารใส่กระบอกเพิ่มอย่าให้อาหารในกระบอกลดระดับลงจนมีอากาศในสาย เพราะอากาศจะทำให้ผู้ป่วยท้องอืดได้
- เมื่ออาหารกระบอกสุดท้ายเกือบหมดให้เติมน้ำและยาหลังอาหารที่เตรียมไว้ เติมน้ำ ตามอีกครั้ง จนยาไม่ติดอยู่ในสายยาง และไม่ควรมีน้ำเหลือค้างอยู่ในสาย
- เมื่ออาหารเหลวปริมาตรสุดท้ายไหลออกเกือบหมด syringe ค่อยๆรินน้ำ 30 ml. ลงใน syringe และเมื่อน้ำไหลออกเกือบหมด syringe ให้ปฏิบัติดังนี้
- ถ้าไม่ต้องการให้ยาพร้อมอาหาร รินน้ำอีก 30 ml แล้วยก syringe ให้สูงให้น้ำไหลลงจนหมด syringe เพื่อล้างสายอาหาร
- ถ้าต้องการให้ยาพร้อมอาหารรินน้ำลงใน syringe ประมาณ 10 ml เทยาที่บดละเอียดแล้วลงใน syringe เขย่าเบาๆพร้อมยกขึ้นให้ยากับน้ำไหลลง ค่อยๆรินน้ำทีละน้อยลงใน syringe เพื่อล้าง syringe กับสายอาหารหลายๆครั้งจนไม่มียาเกาะติดข้าง syringe และไม่ควรใช้น้ำเกิน 50-60 ml.
- ถ้าเป็นยาหลังอาหาร ควรให้หลังอาหาร 1 ชม .
- ถ้ายาติดที่ปลาย syringe ไหลไม่ลงสวมจุกลูกสูบลงใน syringe พับสายอาหารไว้ ขณะเดียวกันเอียง syringe ไปมาเขย่าให้ยาหลุดออกจากปลาย syringe จากนั้นตั้ง syringe ตรงให้ยาไหลพร้อมกับเขย่า syringe ไปด้วย ไม่ควรใช้ลูกสูบดันเพราะจะทำให้จุกยางแน่นมากขึ้นหรือแรงดันอาจทำให้สายให้อาหารหลุดออกจากปลาย syringe
- พับสายให้อาหาร ปลด syringe ออกจากสายให้อาหาร
- เช็ดรูเปิดและด้านนอกของสายให้อาหารอีกครั้งด้วยสำลีชุบน้ำต้มสุก หรือ สำลีแอลกอฮอล์ Alcohal 70%
- ใช้จุกปิดรูเปิดสายให้อาหาร
- ให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูงหรือนั่งพักหลังให้อาหารต่อไปอีกประมาณ 1ชั่วโมง หรือจัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าตะแคงขวาศีรษะสูง 45 องศา หรือท่านอนหงายอีก 30 min -1 hr.
- บันทึกปริมาณอาหารเหลวและน้ำที่ผู้ป่วยได้รับปริมารอาหารที่เหลือค้าง(ถ้ามี)พร้อมกับสภาวะแทรกซ้อน
เปลี่ยนสายเมื่อสกปรกหรือทุก 7 วัน
ข้อควรปฏิบัติในการให้อาหารทางสาย
- การให้อาหารควรจะให้เมื่อสายอยู่ในกระเพาะอาหารซึ่งจะทราบโดยการวัดน้ำที่ดูดได้ต้องม่ค่าความเป็นกรด ได้ pH <5
- หากไม่มีข้อห้ามหรือคำแนะนำจากนักโภชนาก็แนะนำให้อาหารที่มีปริมาณ 30 ml/kg/day และปริมาณพลังงานเท่ากับ 1 kcal/ml
- การให้อาหารทั้งมากไป และน้อยเกินไปจะเกิดผลเสียต่อผู้ป่วย
การเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการให้อาหารทางสาย
(complication)
ภาวะแทรกซ้อนจากการให้อาหารทางสายให้อาหาร ที่พบมีดังนี้
- ปลายสายให้อาหารเลื่อนออก ( tube displacement ) มาอยู่ในหลอดอาหาร( esophagus )
หรือเข้าไปในหลอดลม
( respiratory tract )
ถ้าพยาบาลที่จะให้อาหารทางสายไม่ได้ ทดสอบปลายสายก่อนให้อาหารจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการที่
อาหารเหลวเข้าไปในหลอดลม หรือถ้าปลายสายอยู่ในหลอดอาหารจะทำให้ผู้ป่วยอาเจียนและสำลักอาหารได้
- อาเจียน ( vomiting ) เนื่องจาก
- ปลายสายเลื่อนมาอยู่ในหลอดอาหาร
- การให้อาหารทางสายเร็วเกินไป เกิดการหดเกร็ง ( spasm ) ของกระเพาะอาหาร
- มีลมเข้าไปขณะให้อาหารทำให้ผู้ป่วยท้องอืด เป็นสาเหตูให้เกิดการอาเจียนได้
- การจัดท่าไม่เหมาะสม ท่าทีเหมาะสมในการให้อาหารทางสายคือ ผู้ป่วยอยู่ในท่าศีรษะสูง
- ท้องเสีย ( diarrhea )
ผู้ป่วยที่ได้รับอาหารทางสายและเกิดอาการท้องเสีย มีสาเหตุการเกิดได้หลายสาเหตุ คือ
- ผู้ป่วยที่ไม่มีน้ำย่อยสำหรับย่อยนม ( lactose interance ) ถ้าสูตรอาหารเหลวมีนมผสมจะทำให้ผู้ป่วยท้องเสีย
- สูตรอาหารที่มีความเข้มข้นมาก ( high osmolarity formula ) เป็นสาเหตุให้มีการดึงน้ำออกมาอยู่ในลำไส้มาก
และเกิดอาการท้องเสียได้
- อาหารเหลวที่ให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย หรือเกิดจากการเก็บอาหารเหลวไม่ถูกต้องทำให้อาหารเหลวบูด
จึงเป็นสาเหตูให้เกิดท้องเสีย
- การให้อาการเหลวในอัตราการไหลที่เร็วเกินไป และผู้ป่วยมีปัญหาในการย่อยและดูดซึมได้ดี
- ท้องผูก ( Constipation )
ปัญหาท้องผูกในผู้ป่วยที่ได้รับอาหารทางสายเกิดขึ้นเนื่องจาสาเหตุดังต่อไปนี้
- ขาดใยอาหาร
- ผู้ป่วยได้รับน้ำไม่เพียงพอ
- ขาดน้ำ ( Dehydration )
ผู้ป่วยที่ได้รับอาหารทางสาย มักจะมีปัญหาขาดน้ำ dehydration เนื่องจากผุ้ป่วยเองไม่สามรถบอกได้
ทำให้ร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ( fluid intake < output )
ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของพยาบาลที่จะต้องประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วย ว่ามีปัญหาการขาดน้ำหรือไม่
ซึ่งจะประเมินจากจำนวนน้ำและของเหลวที่ผู้ป่วยได้รับ เทียบกับปริมาณน้ำที่ถูกขับออกจากร่างกาย
และสภาพทางผิวหนัง( Skin moisture & turgor )
- ภาวะไม่สมดุลของสารน้ำ ( Electrolyte imbalance )
ปัญหาความไม่สมดุลของสารน้ำในร่างกายจากสูตรอาหารที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดภาวะ
- Hyponatremia ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำกว่าปกติ
- Hypernatremia ภาวะโซเดียมในเลือดสูงกว่าปกติ
- Hypokalemia ภาวะโปแตสเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ
- Hyperkalemia ภาวะโปแตสเซียมในเลือดสูงกว่าปกติ
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการให้อาหารทางสายยาง
- ล้างมือให้สะอาดก่อนเตรียมอาหารทุกครั้ง
- ปริมาณอาหารที่ให้แต่ละมื้อประมาณ 200-400 ซีซี ไม่เกิน 500 ซีซี
- แต่ละมื้อห่างกัน 4-6 ชั่วโมง
- ควรอุ่นอาหารก่อนให้ทุกครั้ง และอาหารที่ให้ควรอุ่นพอดี ไม่ร้อนหรือเย็น
- ควรดูแลความสะอาดปากและฟันและช่องจมูกและบ้วนปากบ่อยๆ
- ทดสอบตำแหน่งสายยางให้อาหารจนมั่นใจว่าอยู่ในกระเพาะอาหารทุกครั้ง
- อย่าให้อาหารทางสายยางลงเร็วเกินไป
- ผู้ป่วยที่ได้รับอาหารทางสายยางนานๆ อาจขาดสารอาหารบางประเภทเช่น วิตามิน เกลือแร่
จึงควรไปพบแพทย์เป็นระยะๆ เพื่อประเมินภาวะโภชนาการบกพร่องและได้รับการรักษานี้ถูกต้อง
- ท่านจะต้องตรวงปริมาณอาหารที่เข้าไป และเจาะเลือดตรวจ น้ำตาล glucose, sodium, potassium, magnesium, calcium, and phosphate statusหลังจากเริ่มให้อาหารไปหลายวัน
- การป้องกันปอดบวมต้องให้อาหารขณะที่ผู้ป่วยนั่งหรือยกเตียงขึ้นไม่น้อยกว่า 30 องศา และให้อยู่ในท่านั่งไม่น้อยกว่า 30 นาทีหลังให้อาหาร
- ไม่ควรจะให้อาหารตอนกลางคืนโดยเฉพาะไม่มีคนดูแล
- การให้ยา ควรจะบดยาและละลายในน้ำ ให้ก่อนหรือหลังอาหาร ไม่ควรจะผสมในอาหาร
- หากมีความสงสัยว่าการดูดซึม หรือความเคลื่อนไหวของลำไส้ทำงานผิดปกติ ให้ดูดน้ำย่อยหรือมีอาหารเกิน 200 ซีซี ก็ต้องทบทวนวิธีการหรือปริมาณอาหารที่ให้
- การให้อาหารใช้วิธีการให้ทุก4-6 ชั่วโมง
- การให้ยาปฏิชีวนะมักจะทำให้เกิดอาการท้องร่วง
- ควรจะเพิ่มใยอาหารในอาหาร เพื่อลดการเกิดอาการท้องร่วง
- การปรุงอาหารต้องให้สะอาด
การดูแลรักษา
- เปลี่ยนพลาสเตอร์ที่ติดสายยางกับจมูกทุก 2 – 3 วัน หรือเมื่อหลุด
- ทำความสะอาดรูจมูก และรอบจมูกด้วยไม้พันสำลี หรือผ้าชุบน้ำ
- ระวังสายยางเลื่อนหลุด ควรทำเครื่องหมายไว้เป็นจุดสังเกตด้วย
- ถ้าสายยางเลื่อนหลุดไม่ควรใส่เอง เพราะอาจใส่ผิดไปเข้าหลอดลม ให้มาพบแพทย์
- ควรนำมาพบแพทย์เพื่อเปลี่ยนสายให้อาหารเมื่อสกปรก หรือทุก 1 เดือน
อาการผิดปกติที่ต้องปรึกษาแพทย์
- มีไข้สูง
- น้ำหนักลด
- เกิดอาการสำลักบ่อยๆ
- ท้องเดิน และท้องอืดบ่อย โดยไม่ทราบสาเหตุ
ข้อห้ามในการให้อาหารทางสายยาง
- มีภาวะอุดตันของ
- ระบบทางเดินอาหาร
- มีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง
อาหารเหลวที่ให้ทางสาย ( Enteral formulas )
การให้อาหารเหลวสามารถให้ได้สามวิธีกล่าวคือ
- Bolus หมายถึงการให้อาหารปริมาณ 200-400 ซีซีโดยการใช้ syringe ในการดูดอาหารและฉีดเข้าในสายโดยใช้เวลา 15-60 นาที โดยให้อาหารทุก 4-6 ชั่วโมง วิธีนี้จะทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องร่วง
- Continuous infusion เป็นการให้อาหารทางสายยางอย่างต่อเนื่องวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยหนัก และมีอาการอาเจียน เมื่ออาการดีขึ้นก็เปลี่ยนมาเป็นแบบให้เป็นช่วงเวลา
- Intermittent infusion เป็นการให้อาหารทางสายในเวลาที่กำหนดเช่นให้อาหารให้หมดใน 6 ชั่วโมงเป็นต้น
อาหารที่ให้ทางสายจะต้องเป็นอาหารครบส่วน คือมีอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย มีความหนืดพอเหมาะ
ไม่เข้มข้นเกินไป โดยทั่วไปจะให้พลังงาน 1-1.5แคลอรี/1 มิลลิลิตร ประกอบด้วยสารอาหารหลัก ได้แก่ โปรตีน
คาร์โบไฮเดรต และไขมันอย่างเหมาะสม
สูตรอาหารเหลวทางสายให้อาหารโรงพยาบาล
ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ไข่ ไขมันสัตว์ น้ำมันพืช น้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ปั่นเข้าผสมกันด้วย
- สูตรน้ำนมผสม ( milk-based formulas ) มีน้ำนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นส่วนประกอบหลัก
- สูตรอาหารปั่นผสม ( blenderized diet ) เตรียมโดยแผนกอาหารของโรงพยาบาล โดยโภชนากรของอาหารที่ให้ทางสายยาง
- สูตรอาหารสำเร็จรูป ( commercial formulas ) ผลิตขายโดยบริษัทผลิตนมและอาหารสำเร็จรูป
มีทั้งชนิดที่เป็นผงและของเหลว
การเตรียมอุปกรณ์ในการให้อาหารทางสายยาง
ถาดปูผ้าสะอาด , ไม้พันสำลี , แก้วน้ำ , ชามรูปไต , พลาสเตอร์ , หูฟังอาหารเหลว ,ผ้าสี่เหลี่ยมสะอาด 1 ผืน , ผ้าก๊อส 2 ผืน , Asepto syring , สารหล่อลื่น K-Y gel
