โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Arterial Disease)หรือโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ

 

ท่านเคยปวดขาหรือขาไม่มีแรงเมื่อเดินบ้างหรือไม่

เวลาที่ท่านเดินเร็วๆ เดินขึ้นบันได หรือแม้ขณะเดินเล่น แล้วเกิดอาการปวดเมื่อยที่น่อง และสะโพก เมื่อพักสักครู่แล้วหายปวด อาการอย่างนี้เป็นตลอด และจะปวดเมื่อเดินด้วยระยะทางเท่าๆเดิม อาการเช่นนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าท่านอาจจะมีอาการของเส้นเลือดแดงที่ขาตีบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงที่ขาน้อยลง จึงเกิดตะคริวหรือปวดเมื่อยเวลาเดิน ไม่มีการรักษาใดที่จะทำให้โรคนี้หายเป็นปลิดทิ้งทันที

โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง และทำให้หลอดเลือดแดงที่ขาตีบหรือตัน ในคนที่อายุน้อยกว่า 60 ปี พบโรคนี้น้อยกว่า 3% แต่ในคนที่อายุมากกว่า 70 ปี พบถึง มากกว่า 20% พบทั้งในเพศชายและเพศหญิงไม่ต่างกัน ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงที่ขาตีบ แม้จะไม่มีอาการใดๆ ปรากฎก็มีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองสูง และในความเป็นจริงผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงที่ขาตีบก็เสียชีวิตจากโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง

อาการแสดงของโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ

หากเส้นเลือดตีบไม่มาก หรือ อาจจะมีการไหลเวียนของเลือดจากเส้นเลือดใกล้เคียง ทำให้ไม่มีอาการอะไรเลย ต่อเมื่อเส้นเลือดตีบมากขึ้น เลือดไปเลี้ยวอวัยวะส่วนนั้นไม่พอผู้ป่วยจะมีอาการ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบที่ตรวจพบด้วยเครื่องตรวจสมรรถภาพหลอดเลือดแดง ABI (Ankle-brachial index) ไม่แสดงอาการใดๆ ต่อเมื่อเส้นเลือดตีบมากขึ้น เลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนนั้นไม่พอผู้ป่วยจะมีอาการ

  • ปวดน่อง
  • ตะคริว
  • ชาเท้า
  • อ่อนแรง

โดยเฉพาะเมื่อเวลาเดิน และจะเริ่มมีอาการปวดเมื่อเดินได้ระยะทางใกล้เคียงกัน อาการจะเป็นๆ หายๆ ทางการแพทย์เรียก Intermittent Claudicatioin เมื่อเส้นเลือดตีบมากขึ้น จะเกิดอาการปวดแม้ขณะพัก

หากท่านมีอาการดังกล่าว ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด เมื่อแพทย์สงสัยแพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม

 

 

ตั้งแต่วันนี้ ด้วยเครื่องตรวจโรคหลอดเลือดส่วนปลาย หรือ ABI ได้ที่โรงพยาบาลสุขุมวิท

 

สัญญาณเตือน

หลอดเลือด

  • ปวดน่อง
  • ตะคริว
  • ชาเท้า
  • อ่อนแรง

โดยเฉพาะ เมื่อเวลาเดิน และจะเริ่มมีอาการปวดเมื่อเดินได้ระยะทางใกล้เคียงกัน อาการจะเป็นๆหายๆทางการแพทย์เรียก Intermittent Claudication เมื่อเส้นเลือดตีบมากขึ้นจะเกิดอาการปวดแม้ขณะพัก

การไหลเวียนของเลือด

เลือดจะเริ่มตนจากหัวใจสูบฉีดเลือดไปตามหลอดเลือดแดงใหญ่ เพื่อไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกาย เลือดดำหรือเลือดที่ได้ไปเลี้ยงร่างกายจะกลับไปทางหลอดเลือดดำ และกลับเข้าสู่หัวใจ



ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ

มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงตีบ ปัจจัยต่างๆได้แก่

เมื่อไปพบแพทย์

หากท่านมีอาการดังกล่าวต้องแจ้งให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด เมื่อแพทย์สงสัยแพทย์จะซักประวัติเพิ่มเติม ครวจร่างกายเพิ่มเติม และส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม

ประวัติและการตรวจร่างกาย

  • แพทย์จะถามถึงโรคประจำประวัติครอบครัว
  • โรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่
  • ยาที่ผู้ป่วยรับประทาน
  • การออกกำลังกาย
  • การสูบบุหรี่
  • อาการทั่วๆไป
  • อาการของการเจ็บขา

สิ่งที่สังเกตเห็นเมื่อเส้นเลือดแดงตีบ

  • ขนที่เท้าหรือขาจะน้อย
  • สีผิวของขาจะคล้ำขึ้น บางรายอาจจะซีด
  • คลำชีพขจรที่หลังเท้าไม่ได้
  • เท้าจะเย็นอุณหภูมิเท้าสองข้างไม่เท่ากัน
  • เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในชายที่เป็นความดันโลหิตสูง
  • แผลเรื้อรังที่เท้า
  • เล็บหนาตัว
  • หากเป็นมากจะมีการเน่าของนิ้ว

การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ

  • การตรวจด้วยวิธี ankle-brachial index (ABI) คือการวัดความดันโลหิตที่แขนทั้งสองข้างและขาทั้งสองข้าง และนำเปรียบเทียบกัน ปกติความดันที่ขาจะสูงกว่าที่แขน ดูรูปที่นี่
  • การใช้หูฟังเสียงที่หลอดเลือดแดงที่ขา หากได้ยินเสียง แสดงว่ามีการตีบของหลอดเลือด
  • การตรวจด้วยเครื่องดอปเปลอร์

หากการตรวจเบื้องต้นพบว่า หลอดเลือดแดงตีบค่อนข้างมาก และจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข ท่านอาจจะต้องได้รับการฉีดสีเพื่อตรวจหลอดเลือดเพิ่มเติม โดยอาศัยพิธีพิเศษร่วมกับการถ่ายภาพรังสีต่อเนื่อง จะช่วยให้ตรวจการไหลเวียนของโลหิตและตำแหน่งของการตีบแคบหรืออุกตันได้

  • การฉีดสี Arteriogram โดยการฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือด เพื่อดูตำแหน่งเส้นเลือดที่ตีบ
  • Magnetic resonance angiography (MRA). โดยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
  • CT Angiography (CTA). การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ร่วมกับการฉีดสี จะทำให้การวินิจฉัยแม่นยำมากขึ้น

นอกจากนั้นจะต้องตรวจหาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดแดงตีบ เช่น

  • ระดับน้ำตาลในเลือด
  • ระดับไขมันในเลือด
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

การรักษาหลอดเลือดแดงขาตีบ

การที่เกิดหลอดเลือดแดงตีบไม่ใช่เกิดจากการเสื่อมจากอายุ แต่เป็นการเกิดหลอดเลือดตีบจากโรค atherosclerosis หากเกิดหลอดเลือดแดงที่ขาตีบจะต้องคำนึงถึงว่าอาจจะมีหลอดเลือดที่อื่นตีบ เช่นหลอดเลือดหัวใจเป็นต้น

การรักษาทั่วๆไป

  • การเดินเป็นวิธีการที่ดีที่สุด กระตุ้นให้เดินจนกระทั่งเริ่มปวด แล้วหยุด เมื่อหายปวดเริ่มเดินใหม่ การเดินจะทำให้หลอดเลือดที่ขามีการสร้างขึ้นใหม่ ช่วยทำให้เดินได้นานขึ้น ปวดน้อยลง อ่านที่นี่
  • หลีกเลี่ยงการประคบน้ำแข็งหรือน้ำร้อน
  • สวมรองเท้าที่คับพอดี
  • หลีกเลีบงอาหารที่ให้พลังงานมากเกินไป หรืออาหารมันมากเกินไป
  • หยุดสูบบุหรี่
  • รับประทานอาหารที่มีวิตามินบีมาก
  • การดูแลเท้า
  • การออกกำลังกาย

การรักษาด้วยยา

  • การใช้ยา
    1. ยาต้านเกล็ดเลือด Anti-Platelet Agents – ยาในกลุ่มนี้จะลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ทำให้เดินได้ไกลขึ้น ยาที่สำคัญได้แก่
      • Aspirin - ขนาด (81-325 mg) เปแ็นยาหลักที่ใช้รักษา
      • Clopidogrel bisulfate (Plavix?) – เป็นยาต้านเกล็ดเลือดใหม่ที่ใช้รักษาโรคหัวใจ
    2. Anticoagulation Agents – ยาละลายลิ่มเลือด ยาที่ใช้ได้แก่
      • Warfarin (Coumadin?) – การปรับยาต้องเจาะเลือดตรวจ เพราะหากให้มากไปอาจจะเกิดเลือดออกในช่องท้องหรือสมอง
      • Enoxapari,flaxiparine? –เป็นยาฉีดที่ใช้ในช่วงแรกก่อนที่ยากินจะออกฤทธิ์.
    3. ยาอื่นๆ – ได้แก่ยาที่ขยายหลอดเลือดได้แก่
      • Trental?
      • Pletal?
  • การควบคุมระดับไขมันในเลือด
  • การให้ยาขยายหลอดเลือด
  • การควบคุมความดันโลหิต
  • การควบคุมโรคเบาหวาน

การให้ยา Beta-block ,estrogen อาจจะทำให้อาการเส้นเลือดแดงตีบเป็นมากขึ้น

หากการรักษาด้วยยาแล้วยังมีอาการปวดต้องรักษาด้วยวิธีอื่น

  • การทำ Balloon angioplasty แพทย์จะสอดสายเข้าไปหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบ แล้วเอาบอลลูนดันส่วนที่ตีบให้ขยายพร้อมทั้งใส่ขดลวด
  • การผ่าตัด Bypass โดยการใช้เส้นเลือดเทียมต่อข้ามส่วนที่ตัน

การป้องกันหลอดเลือดแดงขาตีบ

  • ป้องกันและรักษาโรคหัวใจ
  • รักษาระดับไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • หยุดสูบบุหรี่
  • รักษาน้ำหนัก อย่าให้อ้วน
  • ควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติ

ติดต่อกับแพทย์ประจำตัวของท่านหากมีอาการดังต่อไปนี้

  • วิงเวียนศรีษะ หน้ามือจะเป็นลม หรือเกิดอาการอ่อนแรง
  • หายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นไม่เป็นจังหวะ แน่นหน้าอก
  • มีไข้