หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
Phenytoin (เฟนิโทอิน) เป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อรักษาโรคลมชัก ยานี้ออกฤทธิ์โดยการควบคุมการทำงานของเซลล์สมองและระบบประสาท เพื่อป้องกันและควบคุมอาการชัก นอกจากนี้ยังอาจถูกใช้เพื่อรักษาภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติในบางกรณี อย่างไรก็ตาม การใช้ยานี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากมีผลข้างเคียงและปฏิกิริยาระหว่างยาที่สำคัญหลายประการ
Phenytoin เป็นยาในกลุ่ม Hydantoin ซึ่งเป็นยากันชัก (Anticonvulsant) ที่มีประสิทธิภาพสูง ออกฤทธิ์โดยการปรับสมดุลของสัญญาณประสาทในสมอง ทำให้การชักหยุดลงหรือลดความถี่ลงได้ ยานี้มีจำหน่ายในรูปแบบยาเม็ด, แคปซูล และยาฉีด โดยแพทย์จะเป็นผู้กำหนดรูปแบบและขนาดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
การชักเกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์ประสาทในสมองที่ส่งสัญญาณไฟฟ้ามากเกินไป Phenytoin ออกฤทธิ์โดย:
ยับยั้งการเข้าออกของโซเดียมไอออน: ยาจะไปจับกับช่องโซเดียมในเซลล์ประสาท ทำให้โซเดียมไอออนไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ตามปกติ
ทำให้เซลล์ประสาทไม่ถูกกระตุ้นง่าย: การยับยั้งโซเดียมไอออนนี้จะช่วยลดความสามารถของเซลล์ประสาทในการส่งสัญญาณไฟฟ้าที่ผิดปกติ จึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการชัก
Phenytoin ใช้รักษา:
โรคลมชักชนิดต่าง ๆ: เช่น Partial Seizures และ Tonic-Clonic Seizures (Grand Mal)
ภาวะชักต่อเนื่อง (Status Epilepticus): ใช้ในรูปแบบยาฉีดเพื่อควบคุมอาการชักที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ: ใช้เพื่อควบคุมภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติที่เกิดจากสาเหตุบางประการ
ขนาดของยา: ขนาดของยาจะแตกต่างกันไปตามข้อบ่งใช้, อายุ, และน้ำหนักของผู้ป่วย
ขนาดยาฉีดสำหรับภาวะชักต่อเนื่อง: โดยทั่วไปให้ขนาด 10-15 มก./กก. ทางหลอดเลือดดำ ด้วยอัตราไม่เกิน 50 มก./นาที
ขนาดยารับประทานทั่วไป: 100 มก. วันละ 2-3 ครั้งหลังอาหาร หรือตามคำแนะนำของแพทย์
วิธีการใช้ยา:
รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ: ควรรับประทานยาในเวลาเดิมทุกวัน และห้ามหยุดยาเองเด็ดขาด เพราะการหยุดยาอย่างกะทันหันอาจทำให้อาการชักกำเริบอย่างรุนแรงได้
การเปลี่ยนยี่ห้อ: หากเริ่มใช้ยาชื่อการค้าใด ควรใช้ยี่ห้อนั้นอย่างต่อเนื่อง เพราะฤทธิ์ของยาแต่ละยี่ห้ออาจแตกต่างกันได้
เนื่องจาก Phenytoin เป็นยาที่มีความซับซ้อนและมีผลข้างเคียงที่สำคัญ การแจ้งข้อมูลต่อไปนี้ให้แพทย์ทราบจึงเป็นสิ่งจำเป็น:
สิ่งที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกร:
ประวัติการแพ้ยา: เคยแพ้ยา Phenytoin หรือยากันชักอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกันหรือไม่
โรคประจำตัว: เช่น โรคเบาหวาน, โรคตับ, โรคไต, โรค Systemic Lupus Erythematosus (SLE) หรือมีภาวะขาดวิตามิน B12 และกรดโฟลิก
การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: ยา Phenytoin จัดอยู่ใน Pregnancy Category D ซึ่งมีหลักฐานว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
พฤติกรรมการดื่มสุรา: การดื่มสุราอาจส่งผลต่อระดับยาในเลือด
รายการยาอื่น ๆ ที่กำลังใช้: ยานี้มีปฏิกิริยากับยาหลายชนิดมาก ควรแจ้งรายการยาทั้งหมดให้แพทย์ทราบ
ข้อควรระวังพิเศษ:
การขับขี่และทำงานกับเครื่องจักร: ยานี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม มึนงง หรือเดินเซ
ปฏิกิริยาระหว่างยา: Phenytoin มีปฏิกิริยากับยาหลายชนิดทั้งที่ทำให้ระดับยา Phenytoin สูงขึ้น (เช่น Omeprazole, Cimetidine, Fluconazole) และลดลง (เช่น St. John's Wort) รวมถึงยาบางชนิดที่ Phenytoin มีผลต่อระดับยาของมัน (เช่น Warfarin, Clopidogrel, ยาคุมกำเนิด)
ยาต่อไปนี้จะมีผลต่อระดับยาของ Phenytoin
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย (ขึ้นอยู่กับปริมาณยา)
ระบบประสาท: เดินเซ, ตากระตุก, พูดไม่ชัด, เวียนศีรษะ, ง่วงซึม
ระบบทางเดินอาหาร: คลื่นไส้, อาเจียน, ท้องผูก, เหงือกบวม
อื่น ๆ: ขนขึ้นตามตัว, ผื่นผิวหนัง
อาการอันตรายที่ต้องหยุดยาและรีบพบแพทย์ทันที
อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: ผื่นลมพิษ, หายใจลำบาก, บวมที่ใบหน้า ลิ้น หรือคอ
อาการทางผิวหนังที่รุนแรง: เช่น Stevens-Johnson syndrome (SJS) หรือ Toxic Epidermal Necrolysis (TEN) ซึ่งเป็นผื่นผิวหนังที่มีลักษณะคล้ายน้ำร้อนลวกและหลุดลอก
ความผิดปกติของระบบเลือด: มีจ้ำเลือด, เลือดออกง่าย, ซีดผิดปกติ, มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการทางอารมณ์และพฤติกรรม: มีความคิดจะทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย, สับสน, ซึมเศร้า, ก้าวร้าว
ภาวะ Drug Reaction with Eosinophilia and Systemic Symptoms (DRESS): มีไข้, ผื่น, ต่อมน้ำเหลืองโต, ตับหรือไตอักเสบ
เก็บยาในภาชนะบรรจุเดิมที่ปิดสนิท
เก็บที่อุณหภูมิห้อง พ้นจากความร้อนและแสงแดด
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้เสมอ
สรุป
Phenytoin เป็นยาที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอาการชัก แต่ก็เป็นยาที่มีความเสี่ยงสูงจากผลข้างเคียงที่อาจรุนแรงและปฏิกิริยาระหว่างยามากมาย การใช้ยานี้ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์เท่านั้น ผู้ป่วยและผู้ดูแลควรทำความเข้าใจถึงวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง, ไม่ควรหยุดยาเอง, และรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น