หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
บทนำ
โพแทสเซียม (Potassium, K+) เป็นแร่ธาตุสำคัญชนิดหนึ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้ มีบทบาทพื้นฐานในการรักษาการทำงานของระบบต่างๆ ทั่วร่างกาย ตั้งแต่ระดับเซลล์ไปจนถึงระบบอวัยวะที่ซับซ้อน แม้โพแทสเซียมจะเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ แต่ก็เป็น "ดาบสองคม" ที่ต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคไตเรื้อรัง บทความนี้จะเจาะลึกถึงหน้าที่สำคัญของโพแทสเซียม แหล่งอาหาร การรักษาสมดุลในร่างกาย ผลกระทบเมื่อร่างกายได้รับมากไปหรือน้อยไป และคำแนะนำในการบริโภคอย่างเหมาะสม โดยเน้นย้ำถึงข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วยโรคไต
โพแทสเซียมเป็นไอออนบวกภายในเซลล์ที่มีมากที่สุดในร่างกาย และจำเป็นสำหรับการทำงานของเซลล์ปกติ มีบทบาทสำคัญหลายประการ ได้แก่:
รักษาสมดุลของเหลวและอิเล็กโทรไลต์: ทำงานร่วมกับโซเดียมเพื่อควบคุมสมดุลน้ำและอิเล็กโทรไลต์ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ รวมถึงรักษาสมดุลกรด-เบสในร่างกาย
การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ: เป็นองค์ประกอบสำคัญในการส่งผ่านกระแสประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อเรียบทั่วไป กล้ามเนื้อหัวใจ และระบบทางเดินอาหาร
ควบคุมความดันโลหิต: มีส่วนช่วยควบคุมความดันโลหิต ช่วยลดความเสี่ยงของความดันโลหิตสูงและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงลดความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้ถึง 30%
การทำงานของหัวใจ: ช่วยให้หัวใจเต้นเป็นปกติและทำงานได้อย่างถูกต้อง
ส่งเสริมสุขภาพเซลล์และการเผาผลาญ: มีบทบาทในการส่งออกซิเจนไปยังสมอง ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ และรักษาเสถียรภาพกระบวนการเผาผลาญอาหาร
การกำจัดของเสีย: มีส่วนช่วยในการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย
ร่างกายจะรักษาสมดุลของโพแทสเซียมอย่างละเอียดอ่อน โดยได้รับจากอาหารและน้ำดื่ม และสูญเสียออกทางปัสสาวะ เหงื่อ และทางเดินอาหาร ไตเป็นอวัยวะหลักในการควบคุมการขับโพแทสเซียมส่วนเกินออก ร่างกายสามารถปรับตัวต่อปริมาณโพแทสเซียมที่บริโภคได้ แต่หากได้รับน้อยกว่า 400-800 มิลลิกรัม/วัน อาจไม่สามารถรักษาสมดุลได้
ความสมดุลของโพแทสเซียมยังสัมพันธ์กับแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น โซเดียมและแมกนีเซียม การบริโภคโซเดียมมากเกินไปอาจทำให้ระดับโพแทสเซียมลดลง นอกจากนี้ การอาเจียน ท้องเสีย เหงื่อออกมาก หรือการขาดสารอาหาร ก็อาจทำให้ระดับโพแทสเซียมต่ำลงได้
ระดับโพแทสเซียมปกติในเลือดอยู่ที่ 3.6 – 5.0 mEq/L (มิลลิโมล/ลิตร)
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ Hypokalemia: < 3.5 mEq/L
สาเหตุ: เสียโพแทสเซียมทางปัสสาวะ (เช่น ยาขับปัสสาวะ) หรือทางเดินอาหาร (อาเจียน, ท้องเสีย), การขาดสารอาหาร, การขาดแมกนีเซียม
อาการ: ซึม, อ่อนเพลีย, คลื่นไส้, เบื่ออาหาร, ตะคริว, กล้ามเนื้ออ่อนแรง, ท้องอืด หากรุนแรงอาจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติหรือหยุดเต้นได้
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia): > 5.0 mEq/L
สาเหตุ: ไตทำงานบกพร่อง (ไม่สามารถขับออกได้), ยาบางชนิด (ACE inhibitors, ARBs, ยาขับปัสสาวะบางประเภท), เบาหวานชนิดที่ 1, หัวใจล้มเหลว, ภาวะต่อมหมวกไตไม่เพียงพอ
อาการ: อาจไม่มีอาการในระยะแรก แต่หากรุนแรงจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง, อัมพาต, ใจสั่น, ชา, หายใจลำบาก, หัวใจเต้นผิดปกติที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ผู้ที่เป็นโรคลำไส้อักเสบ: การหลั่งโพแทสเซียมในลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้นและท้องเสียเรื้อรัง
ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด: ยาขับปัสสาวะบางชนิด (thiazide diuretics) และยาระบายในปริมาณมาก
คนที่มีภาวะ Pica: การกินสารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ดินเหนียว ซึ่งจะจับโพแทสเซียมในทางเดินอาหาร
ความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดสมอง: การบริโภคโพแทสเซียมที่เพียงพอมีความสัมพันธ์กับการลดความดันโลหิตและลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่น ๆ โพแทสเซียมช่วยเพิ่มการขยายตัวของหลอดเลือดและขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ
นิ่วในไต: การบริโภคโพแทสเซียมที่เพียงพอ โดยเฉพาะในรูปของโพแทสเซียมซิเตรต อาจช่วยลดความเสี่ยงของนิ่วในไตได้ โดยการลดการขับแคลเซียมในปัสสาวะและเพิ่มระดับซิเตรตในปัสสาวะ
สุขภาพกระดูก: การบริโภคโพแทสเซียมจากผักและผลไม้ที่เพียงพอสัมพันธ์กับความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูกที่เพิ่มขึ้น อาจช่วยรักษาสมดุลกรด-เบสในร่างกาย ซึ่งส่งผลดีต่อกระดูก
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและโรคเบาหวานประเภท 2: โพแทสเซียมจำเป็นต่อการหลั่งอินซูลินจากเซลล์ตับอ่อน ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำอาจบั่นทอนการหลั่งอินซูลินและนำไปสู่การแพ้กลูโคส การบริโภคโพแทสเซียมที่เพียงพอมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2 ที่ลดลง
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยโพแทสเซียม
โพแทสเซียมพบได้ในอาหารหลากหลายชนิด โดยเฉพาะผัก ผลไม้ และพืชตระกูลถั่ว
ผลไม้: กล้วย, มะม่วง, ส้ม, แคนตาลูป, แตงโม, พรุน, ลูกเกด, แอปริคอตแห้ง, อะโวคาโด, องุ่น, ลูกพรุน
ผัก: มันฝรั่ง, ผักโขม, เห็ด, มะเขือเทศ, สควอชโอ๊กบด, บรอกโคลี, หน่อไม้ฝรั่ง, ผักกาดหอม
ถั่วและธัญพืช: ถั่วเลนทิล, ถั่วไต, ถั่วเหลือง, ถั่วลิสง, เม็ดมะม่วงหิมพานต์, ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีท
เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์: ปลาแซลมอน, ปลาค็อด, ไก่, เนื้อวัว, นม, โยเกิร์ต, ไข่
เครื่องดื่มอื่นๆ: น้ำส้ม, กาแฟ, ชา, นมถั่วเหลือง
ปริมาณโพแทสเซียมที่แนะนำต่อวัน (AI: Adequate Intake) (อัปเดต 2019 โดย NASEM)
อายุ | เพศชาย | เพศหญิง | การตั้งครรภ์ | ให้นมบุตร |
แรกเกิด ถึง 6 เดือน | 400 มก. | 400 มก. | ||
7–12 เดือน | 860 มก. | 860 มก. | ||
1–3 ปี | 2,000 มก. | 2,000 มก. | ||
4–8 ปี | 2,300 มก. | 2,300 มก. | ||
9–13 ปี | 2,500 มก. | 2,300 มก. | ||
14–18 ปี | 3,000 มก. | 2,300 มก. | 2,600 มก. | 2,500 มก. |
19–50 ปี | 3,400 มก. | 2,600 มก. | 2,900 มก. | 2,800 มก. |
51 ปีขึ้นไป | 3,400 มก. | 2,600 มก. |
AIs เหล่านี้ไม่ใช้กับบุคคลที่มีการขับโพแทสเซียมบกพร่องเนื่องจากภาวะทางการแพทย์ (เช่น โรคไต) หรือการใช้ยาที่บั่นทอนการขับโพแทสเซียม
โพแทสเซียมเสริมและสารทดแทนเกลือ
อาหารเสริมโพแทสเซียม: มักอยู่ในรูปโพแทสเซียมคลอไรด์ ซิเตรต ฟอสเฟต หรือกลูโคเนต ส่วนใหญ่จำกัดปริมาณไม่เกิน 99 มก. ต่อเม็ด เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารหรือแผลในลำไส้เล็กหากได้รับในปริมาณมาก
สารทดแทนเกลือ: หลายชนิดใช้โพแทสเซียมคลอไรด์แทนโซเดียมคลอไรด์บางส่วนหรือทั้งหมด มีปริมาณโพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยโรคไตหรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เนื่องจากมีความเสี่ยงภาวะโพแทสเซียมสูง
ข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วยโรคไต
สำหรับผู้ป่วยโรคไต การควบคุมปริมาณโพแทสเซียมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากไตที่ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ จะไม่สามารถขับโพแทสเซียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้ ทำให้เกิด ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
การแบ่งกลุ่มผลไม้ไทยตามปริมาณโพแทสเซียม (ต่อ 100 กรัม) สำหรับผู้ป่วยโรคไต
กลุ่มที่ 1: ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง (High Potassium Fruits)
ปริมาณ: มากกว่า 250 มิลลิกรัม/100 กรัม
ตัวอย่าง: ทุเรียน (436 มก.), ฝรั่ง (417 มก.), กล้วยหอม (358 มก.), ขนุน (303 มก.), ลำไย (266 มก.), แก้วมังกร (เนื้อแดง)
คำแนะนำ: ควรหลีกเลี่ยง หรือปรึกษาแพทย์/นักกำหนดอาหารก่อนรับประทาน
กลุ่มที่ 2: ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมปานกลาง (Medium Potassium Fruits)
ปริมาณ: 150-250 มิลลิกรัม/100 กรัม
ตัวอย่าง: มะละกอสุก (182 มก.), ส้ม (181 มก.), ลิ้นจี่ (171 มก.), มะม่วงสุก (168 มก.)
คำแนะนำ: รับประทานได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณอย่างเคร่งครัด และปรึกษาแพทย์
กลุ่มที่ 3: ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมต่ำ (Low Potassium Fruits)
ปริมาณ: น้อยกว่า 150 มิลลิกรัม/100 กรัม
ตัวอย่าง: มังคุด (48 มก.), เงาะ (42 มก.), สละ, ชมพู่ (123 มก.), แตงโม (112 มก.), สับปะรด (109 มก.)
คำแนะนำ: เป็นกลุ่มที่ แนะนำและปลอดภัยกว่า แต่ยังคงต้อง ควบคุมปริมาณ ในการรับประทานแต่ละครั้ง
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไต:
ปรึกษาแพทย์และนักกำหนดอาหารเสมอ: ปริมาณที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามระยะของโรคและผลเลือด
เน้นผลไม้กลุ่มโพแทสเซียมต่ำ: ให้เป็นตัวเลือกแรกเสมอ
ควบคุมปริมาณ: แม้เป็นผลไม้โพแทสเซียมต่ำ ก็ต้องจำกัดปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยบริโภคมาตรฐานต่อครั้ง เช่น เงาะ 3-4 ผล, ชมพู่ 1-2 ผล, สับปะรด/แตงโม 6-8 ชิ้นพอดีคำ
หลีกเลี่ยงผลไม้แปรรูป: ผลไม้แห้ง ผลไม้กวน หรือน้ำผลไม้ มีความเข้มข้นของโพแทสเซียมสูงกว่าผลไม้สดมาก
โพแทสเซียมกับยา
ยาหลายชนิดมีผลต่อสถานะโพแทสเซียม:
เพิ่มโพแทสเซียม: ACE inhibitors (เช่น benazepril), ARBs (เช่น losartan), ยาขับปัสสาวะที่ลดการขับโพแทสเซียม (เช่น amiloride, spironolactone)
ลดโพแทสเซียม: ยาขับปัสสาวะแบบวนรอบ (loop diuretics เช่น furosemide) และยาขับปัสสาวะไธอะไซด์ (thiazide diuretics เช่น chlorothiazide)
ผู้ที่ใช้ยาเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับผลกระทบต่อระดับโพแทสเซียมและแนวทางการดูแล
บทสรุป
โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายในหลายด้าน การบริโภคที่เพียงพอจากอาหารหลากหลายชนิด โดยเฉพาะผักและผลไม้ มีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดี เช่น ควบคุมความดันโลหิต ป้องกันโรคกระดูกพรุน และรักษาสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ป่วยโรคไต การควบคุมปริมาณโพแทสเซียมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย การทำความเข้าใจแหล่งอาหาร และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอยู่เสมอ จะช่วยให้ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากโพแทสเซียมได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด
ต่อหน้าที่ 2 | การให้โพแทสเซี่ยมในการรักษาความดันโลหิต | ภาวะโพแทสเซี่ยมสูง | โพแทสเซี่ยมในเลือดต่ำ | ปริมาณโพแทสเซี่ยมในอาหาร โปแตสเซี่ยมในผลไม