ข้อระวังการรับประทานถั่วเขียวที่คุณควรรู้
ถึงแม้ถั่วเขียวจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังในการรับประทานเช่นกัน เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์จากถั่วเขียวได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง
1. การย่อยอาหารและแก๊สในระบบทางเดินอาหาร
- ถั่วเขียวมีใยอาหารสูง อาจทำให้เกิดแก๊สหรือท้องอืดในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการบริโภคอาหารที่มีใยอาหารสูง การรับประทานมากเกินไป อาจทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสียได้
- ควรเริ่มรับประทานในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณ เพื่อให้ร่างกายปรับตัว
- วิธีลดปัญหา: แช่ถั่วเขียวในน้ำก่อนปรุงอาหารเพื่อลดสารที่อาจทำให้เกิดแก๊ส หรือเริ่มรับประทานในปริมาณน้อยแล้วค่อยๆ เพิ่ม
2. ภูมิแพ้
- แม้จะพบได้น้อย แต่บางคนอาจมีอาการแพ้ถั่วเขียว เช่น ผื่นแดง คัน หรือหายใจติดขัด หากพบอาการควรหยุดบริโภคและปรึกษาแพทย์
- ถึงแม้จะพบได้น้อย แต่บางคนอาจมีอาการแพ้ถั่วเขียว หรือแพ้พืชตระกูลถั่ว
3. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยโปรตีนบางชนิด
- ถั่วเขียวมีสารเลคติน (Lectins) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยยากในบางกรณี และอาจทำให้เกิดปัญหาในระบบย่อยอาหาร หากบริโภคในปริมาณมากหรือไม่ได้ปรุงให้สุกดี
4. สารต้านสารอาหาร (Antinutrients)
- ถั่วเขียวมีกรดไฟติก (Phytic Acid) ซึ่งอาจขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุ เช่น เหล็ก สังกะสี และแคลเซียม
- วิธีลดปัญหา: แช่ถั่วในน้ำหรือปล่อยให้งอก (Sprouting) เพื่อลดกรดไฟติกก่อนการปรุง
5. ผู้ที่มีปัญหาโรคไตหรือโรคเก๊าท์
- ถั่วเขียวมีโปรตีนและโพแทสเซียมสูง ซึ่งอาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ป่วยโรคไตระยะท้ายที่ต้องควบคุมโพแทสเซียมหรือโปรตีน
- มีสารพิวรีน (Purines) ที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นกรดยูริก ผู้ป่วยโรคเกาต์ ควรรับประทานในปริมาณจำกัด เพราะอาจกระตุ้นให้อาการกำเริบ
6. การปรุงถั่วเขียวที่ไม่สุก
- การรับประทานถั่วเขียวดิบหรือต้มไม่สุก อาจทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหาร เช่น อาการคลื่นไส้ หรือท้องเสีย เนื่องจากมีสารที่ย่อยยาก
7. การใช้ในผู้ป่วยบางกลุ่ม
- ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาควบคุมน้ำตาลในเลือดควรระวังการบริโภคถั่วเขียว เนื่องจากอาจทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไป
8. การแข็งตัวของเลือด
- ถั่วเขียวมีวิตามินเคสูง ซึ่งมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนรับประทานถั่วเขียว
9.โรค G6PD
- ผู้ที่ขาดเอนไซม์ G6PD ควรระมัดระวังในการบริโภคถั่วเขียว แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วถั่วเขียวจะมีสารประกอบที่เป็นอันตรายต่อผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD ในระดับต่ำกว่าถั่วปากอ้า แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะกระตุ้นให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกได
11. การรับประทานร่วมกับยา
- ถั่วเขียวอาจมีผลต่อการดูดซึมยาบางชนิด ควรรับประทานห่างจากยา อย่างน้อย 2 ชั่วโมง
12. ปริมาณที่เหมาะสม
- ควรรับประทานถั่วเขียวในปริมาณที่พอเหมาะ ประมาณ ½ - 1 ถ้วยตวงต่อวัน
13. การเลือกซื้อ
- เลือกซื้อถั่วเขียวที่เมล็ดเต็ม ไม่มีมอด ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน และไม่มีสิ่งเจือปน
14. การเก็บรักษา
- ควรเก็บถั่วเขียวในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท ในที่แห้ง และเย็น เพื่อป้องกันเชื้อรา และแมลง
คำแนะนำในการบริโภคถั่วเขียวอย่างปลอดภัย
- แช่ถั่วเขียวในน้ำก่อนปรุงอาหารอย่างน้อย 4–8 ชั่วโมง
- ปรุงสุกก่อนบริโภคเสมอ
- เริ่มรับประทานในปริมาณน้อยเพื่อตรวจสอบว่าร่างกายตอบสนองอย่างไร
การรับประทานถั่วเขียวอย่างถูกวิธี และในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุด และปลอดภัยจากผลข้างเคียง หากมีข้อสงสัย หรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ก่อนรับประทานถั่วเขียว
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
