หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
วันที่เผยแพร่: 28 กรกฎาคม 2568, 10:45 น. ผู้เขียน: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่มา: SiamHealth.net
ขนมไทยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินที่มีเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ แต่สำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ภาระน้ำตาล (Glycemic Load: GL) ของขนมไทยแต่ละชนิดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง บทความนี้จะอธิบายหลักการของ GL และนำเสนอค่า GL โดยประมาณของขนมไทยยอดนิยม เพื่อให้คุณสามารถเลือกบริโภคได้อย่างฉลาดและส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อยที่สุด
ภาระน้ำตาล (Glycemic Load: GL) คือค่าที่บ่งบอกว่าอาหารชนิดหนึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดมากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาทั้งคุณภาพ (ดัชนีน้ำตาล: Glycemic Index, GI) และปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานเข้าไป ค่า GL ที่สูงหมายถึงอาหารนั้นมีแนวโน้มที่จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและมาก ในขณะที่ค่า GL ที่ต่ำกว่าจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดอย่างช้าๆ และน้อยกว่า
การคำนวณ GL จะพิจารณาจาก:
การตีความค่า GL:
GL ต่ำ: 10 หรือน้อยกว่า
GL ปานกลาง: 11-19
GL สูง: 20 หรือมากกว่า
ขนมไทยส่วนใหญ่มักทำจากส่วนประกอบที่มีน้ำตาล แป้ง (เช่น แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว) และกะทิ ซึ่งล้วนแต่เป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่อาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้สูง ดังนั้น การรู้ค่า GL ของขนมไทยจะช่วยให้เราตัดสินใจเลือกรับประทานได้อย่างเหมาะสม
ค่า GL ของขนมไทยจะแตกต่างกันไปตามส่วนประกอบ วิธีการปรุง และปริมาณที่รับประทาน โดยส่วนมากขนมไทยที่ทำจากน้ำตาล ข้าวเหนียว แป้ง และกะทิ มักจะมีค่า GL ค่อนข้างสูง
ค่า GL โดยประมาณสำหรับปริมาณ 100 กรัมของขนมไทยแต่ละชนิด:
ขนมไทย | ค่า GL โดยประมาณ (ต่อ 100 กรัม) |
ข้าวเหนียวมะม่วง | 25-30 |
ข้าวเหนียวสังขยา | 25-30 |
ข้าวเหนียวถั่วดำ | 20-25 |
ขนมตาล | 20-25 |
ขนมหม้อแกง | 20-25 |
เต้าส่วน | 18-22 |
บัวลอย | 15-20 |
ลอดช่อง | 15-20 |
กล้วยบวชชี | 12-15 |
ขนมชั้น | 15-18 |
ทองหยิบ ทองหยอด | 10-15 |
ขนมเปียกปูน | 10-15 |
ขนมถ้วย | 8-12 |
ขนมใส่ไส้ | 8-12 |
วุ้นกะทิ | 5-10 |
คำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับขนมบางชนิด:
ข้าวเหนียวมะม่วง / ข้าวเหนียวสังขยา / ข้าวเหนียวถั่วดำ: ข้าวเหนียวมีค่า GI และ GL ที่สูงมากอยู่แล้ว การรวมกับน้ำตาล มะม่วงสุก หรือสังขยา/ถั่วดำที่ปรุงรสหวานจัด ทำให้ขนมเหล่านี้มีค่า GL สูงที่สุด
บัวลอย / ลอดช่อง: มีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลเป็นหลัก การมีน้ำตาลเชื่อมและกะทิยิ่งทำให้ค่า GL สูง
ขนมตาล / ขนมหม้อแกง: แม้จะมีความเข้มข้นของเนื้อสัมผัส แต่ปริมาณน้ำตาลและแป้งที่ใช้ก็ส่งผลให้ค่า GL สูง
เต้าส่วน: ส่วนประกอบหลักคือถั่วเขียวซีก ซึ่งเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อถูกแปรรูปและเติมน้ำตาลจำนวนมาก ก็ทำให้ค่า GL ค่อนข้างสูงได้
กล้วยบวชชี: กล้วยมี GI ปานกลางถึงสูง การเติมน้ำตาลและกะทิในการปรุง ทำให้ GL ปานกลางถึงสูง
ทองหยิบ ทองหยอด / ขนมเปียกปูน / ขนมชั้น: แม้จะมีขนาดเล็กหรือดูเหมือนจะมีคาร์โบไฮเดรตไม่มากนัก แต่ปริมาณน้ำตาลที่เข้มข้นก็ทำให้ค่า GL อยู่ในระดับปานกลางถึงสูงได้
ขนมถ้วย / ขนมใส่ไส้ / วุ้นกะทิ: ขนมเหล่านี้มักมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลน้อยกว่าเมื่อเทียบกับปริมาณ 100 กรัม หรือมีส่วนประกอบของใยอาหาร (เช่น ขนมใส่ไส้) หรือน้ำเป็นหลัก (เช่น วุ้นกะทิ) ทำให้ค่า GL อยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำ
ขนมไทยเป็นส่วนหนึ่งของความสุขในการรับประทาน แต่การบริโภคอย่างฉลาดจะช่วยให้เรายังคงเพลิดเพลินได้โดยไม่กระทบต่อสุขภาพ:
ควบคุมปริมาณ: นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ขนมไทยที่มีค่า GL สูงไม่ได้หมายความว่าห้ามรับประทานโดยเด็ดขาด แต่ควรจำกัดปริมาณให้พอเหมาะ เช่น รับประทานเพียงชิ้นเล็กๆ หรือแบ่งครึ่ง
เลือกชนิดที่มี GL ต่ำหรือปานกลาง: หากมีทางเลือก ควรเลือกขนมที่มีค่า GL ต่ำกว่า เช่น วุ้นกะทิ หรือขนมที่มีส่วนประกอบของธัญพืชไม่ขัดสีและใยอาหารสูง
รับประทานพร้อมอาหารหลัก: การรับประทานขนมไทยเป็นของหวานหลังอาหารหลักที่มีโปรตีนและใยอาหารสูง จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลได้ดีกว่าการรับประทานเป็นของว่างระหว่างมื้อ
ลดปริมาณน้ำตาล: หากทำขนมไทยเอง ลองลดปริมาณน้ำตาลที่ใช้ปรุงลง หรือใช้น้ำตาลจากธรรมชาติในปริมาณน้อย
ใส่ใจส่วนประกอบ: ขนมไทยที่เน้นกะทิและน้ำตาลในปริมาณมากมักมี GL สูงกว่าขนมที่เน้นผลไม้หรือธัญพืช
สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน: ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อวางแผนการบริโภคขนมไทยให้เหมาะสมกับแผนการรักษา และเป้าหมายระดับน้ำตาลของแต่ละบุคคล
ขนมไทยแม้จะมีรสชาติอร่อยและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม แต่หลายชนิดก็มีค่าภาระน้ำตาล (Glycemic Load) ค่อนข้างสูงเนื่องจากส่วนประกอบหลักที่เป็นน้ำตาลและแป้ง การทำความเข้าใจค่า GL ของขนมแต่ละชนิด และการควบคุมปริมาณการบริโภคอย่างเหมาะสม จะช่วยให้เราสามารถเพลิดเพลินกับขนมไทยได้อย่างสบายใจ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดมากเกินไป การเลือกบริโภคอย่างมีสติคือหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือนักโภชนาการได้ หากคุณมีข้อสงสัยหรือข้อจำกัดด้านสุขภาพ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเสมอ
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว