หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
บิสกิต (Biscuit) คือขนมอบชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากยุโรป และพัฒนาหลากหลายรูปแบบมาจนถึงปัจจุบัน บิสกิตขึ้นชื่อเรื่องความกรอบและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกันไปตามแต่ละสูตรและวิธีการอบ ส่วนผสมหลักโดยทั่วไป ได้แก่ แป้งสาลี น้ำตาล เนย และผงฟู เพื่อช่วยให้เนื้อขนมฟูและกรอบ บิสกิตเป็นขนมที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ด้วยรสชาติที่อร่อยและรับประทานได้ง่ายในหลายโอกาส
บิสกิตมีรากฐานมาจากยุโรปยุคกลาง โดยคำว่า "บิสกิต" มาจากภาษาฝรั่งเศสโบราณที่แปลว่า "อบสองครั้ง (twice-baked)" เนื่องจากในอดีต ขนมชนิดนี้ถูกนำไปอบซ้ำเพื่อให้กรอบเป็นพิเศษและเก็บรักษาได้นานขึ้น บิสกิตจึงกลายเป็นอาหารหลักสำหรับนักเดินทางและทหาร เพราะไม่เน่าเสียเร็วและพกพาสะดวก
ต่อมา บิสกิตได้พัฒนารูปแบบและสูตรใหม่ๆ ตามแต่ละภูมิภาค เช่น บิสกิตสไตล์อังกฤษ ที่มีลักษณะกรอบเบาและหวาน กับ บิสกิตสไตล์อเมริกัน ที่มีเนื้อฟูหนากว่า ซึ่งทั้งสองแบบมีลักษณะและวิธีการทำที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
บิสกิตสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับวิธีการอบ ส่วนผสม และสูตรที่ใช้:
บิสกิตสไตล์อังกฤษ (English Biscuits): มีลักษณะเป็นขนมอบที่กรอบและหวาน มักมีเนื้อบางเบา บางครั้งมีการเติมช็อกโกแลต ชิ้นผลไม้ หรือแยมลงในเนื้อขนมด้วย
บิสกิตสไตล์อเมริกัน (American Biscuits): เป็นบิสกิตที่มีเนื้อฟูหนา นุ่มกว่า มักเสิร์ฟพร้อมกับซอส (Gravy) หรือเนย เหมาะกับการรับประทานคู่กับมื้ออาหารหลัก เช่น มื้อเช้า
บิสกิตเพื่อสุขภาพ (Healthy Biscuits): เป็นบิสกิตที่ปรับสูตรโดยการลดปริมาณน้ำตาลและไขมัน หรือใช้แป้งที่มีใยอาหารสูงขึ้น เช่น บิสกิตโฮลวีต หรือบิสกิตที่ใช้แป้งข้าวโอ๊ต เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก น้ำตาล หรือไขมัน
บิสกิตไส้ผลไม้หรือครีม: เป็นบิสกิตที่มีไส้เพิ่มรสชาติและความหวานพิเศษ เช่น แยมผลไม้ ครีมช็อกโกแลต หรือครีมวนิลา
บิสกิตส่วนใหญ่มีส่วนผสมหลักคือแป้งสาลี น้ำตาล และเนย ทำให้มีแคลอรี่สูงจากคาร์โบไฮเดรตและไขมันเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม บางสูตรอาจมีการเพิ่มส่วนผสม เช่น ผลไม้แห้งหรือธัญพืช ซึ่งช่วยเพิ่มใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์
ในทางกลับกัน บิสกิตที่มีน้ำตาลและไขมันสูงอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากอาจทำให้ได้รับพลังงานเกินความจำเป็นและสะสมเป็นไขมันได้
การบริโภคบิสกิตมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่คุณควรพิจารณา:
ให้พลังงานรวดเร็ว: บิสกิตมีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล ทำให้เป็นแหล่งพลังงานที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับการเติมพลังในช่วงระหว่างวันหรือเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย
รับประทานสะดวก: บิสกิตมีขนาดเล็ก พกพาง่าย และเก็บรักษาได้นาน จึงเหมาะสำหรับการพกพาเพื่อรับประทานระหว่างวัน หรือเป็นของว่างยามเดินทาง
รสชาติหลากหลาย: มีบิสกิตหลายรูปแบบ รสชาติ และส่วนผสมให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลต วานิลลา ผลไม้ หรือธัญพืช ทำให้สามารถเลือกทานได้ตามรสนิยมและความชอบ
มีแคลอรี่สูง: การบริโภคบิสกิตในปริมาณมาก โดยเฉพาะชนิดที่มีน้ำตาลและไขมันสูง อาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานเกินความจำเป็นและสะสมเป็นไขมัน นำไปสู่ปัญหาน้ำหนักเกิน
น้ำตาลและไขมันสูง: บิสกิตทั่วไปมักมีน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวในปริมาณมาก ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้
อาจมีสารกันเสีย/สารเติมแต่ง: บิสกิตที่วางขายบางชนิดอาจมีสารกันเสียเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ควรพยายามเลือกบริโภคแบบที่ไม่มีสารกันเสียหรือมีสารเติมแต่งน้อยที่สุด
เพื่อให้คุณยังคงเพลิดเพลินกับบิสกิตได้โดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากนัก ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้:
เลือกบิสกิตที่มีใยอาหารสูง: มองหาบิสกิตที่ใช้แป้งโฮลวีต หรือมีส่วนผสมของธัญพืชที่ไม่ขัดสี
เลือกบิสกิตที่มีน้ำตาลต่ำ: ตรวจสอบฉลากโภชนาการ และเลือกชนิดที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยที่สุดหรือไม่เติมน้ำตาลเลย
เลือกบิสกิตจากส่วนผสมธรรมชาติ: พยายามเลือกบิสกิตที่ทำจากส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงชนิดที่มีสารกันเสียหรือสารเติมแต่งมากเกินไป
ควบคุมปริมาณ: รับประทานบิสกิตในปริมาณที่เหมาะสม ไม่บ่อยเกินไป และให้สมดุลกับแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
สังเกตฉลากโภชนาการ: อ่านฉลากเพื่อเปรียบเทียบปริมาณไขมัน โซเดียม และน้ำตาล ก่อนตัดสินใจซื้อ
บิสกิตเป็นขนมที่อร่อยและสะดวกในการรับประทาน มีหลากหลายรูปแบบที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ ทั้งบิสกิตแบบหวาน บิสกิตแบบกรอบ หรือบิสกิตเพื่อสุขภาพ การบริโภคบิสกิตควรทำอย่างมีความระมัดระวังในปริมาณที่พอดี เพื่อให้ได้รับความอร่อยโดยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ และควบคุมแคลอรี่ให้สมดุลกับความต้องการของร่างกายของคุณ
ทบทวนวันที่ 1/11/2567
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว