กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ( Overactive Bladder)
หลายท่านโดยเฉพาะผู้ที่สูงอายุ และเป็นผู้หญิงมีอาการปวดปัสสาวะมากจนกระทั่งกลั้นปัสสาวะแทบจะไม่อยู่ จนไปห้องน้ำไม่ทัน บางท่านมีอาการปัสสาวะราดก็มี เมื่อไปตรวจกับแพทย์ แพทย์บอกตรวจไม่พบความผิดปกติและให้ยาแก้อักเสบ สักพักอาการก็กลับเป็นใหม่ เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นมาเป็นเดือน อาการเหล่านี้เรียก กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ( Overactive Bladder)
คำนิยามของโรค
กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ( Overactive Bladder) เป็นกลุ่มอาการที่ประกอบไปด้วยอาการอยากปวดปัสสาวะ อาจจะมีกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ด้วยก็ได้ มีอาการปัสสาวะบ่อย(มากกว่าวันละ 8 ครั้ง/วัน) ปัสสาวะกลางคืน(มากกว่า 2 ครั้ง/คืน) โดยที่ตรวจไม่พบสาเหตุสรุปอาการที่สำคัญคือ
- ปัสสาวะบ่อย
- ปวดมากจนต้องรีบไปปัสสาวะ
- ปัสสาวะเร็ด
โรคหรือภาวะที่ทำให้เกิดอาการเหมือนกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ ตามตารางที่นี่
ทางเดินปัสสาวะ |
||
|
การอักเสบทำให้กระตุ้นปลายประสาท เกิดอาการ อยากปัสสาวะ | ให้รักษาการติดเชื้อก่อน |
|
การอุดกลั้นทำให้กล้ามเนื้อไวต่อการบีบตัว | การผ่าตัด |
กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ บีบตัวอ่อนแรง | การที่มีปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะมีความจุลดลง |
|
มีความผิดปกติในกระเพาะปัสสาวะ (เช่นเนื้องอก นิ่ว) | ความผิดปกติทำให้กระเพาะปัสสาวะ ไวต่อการกระตุ้น | ตรวจหาสาเ้หตุและรักษา |
ผู้หญิง |
||
|
มีการอักเสบของช่องคลอดและท่อปัสสาวะ | ใช่ยา estrogen ทาช่องคลอด |
|
|
|
ผู้ชาย |
||
|
ต่อมลูกหมากโต กระตุ้นให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัว |
|
โรคระบบประสาท | รายละเอียดอ่านที่นี่ |
กลไกการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ( Overactive Bladder)
กระเพาะปัสสาวะของคนเรามีหน้าที่เก็บปัสสาวะ โดยการควบคุมของระบบประสาทส่วนกลางซึ่งได้แก่ สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาท และประสาทอัตโนมัติ โรคที่เกิดกับอวัยวะเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกต
โดยปกติเมื่อมีปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะประมาณ 1/3 ของความจุจะเริ่มรู้สึกว่ามีน้ำในกระเพาะปัสสาวะ เพียงรู้สึกหน่วงๆระยะนี้จะไม่มีการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะเลย ความรู้สึกปวดจะเริ่มเมื่อมีปัสสาวะเต็มกระเพาะปัสสาวะซึ่งโดยประมาณ 300-400 ซม มล. หากมีการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะตั้งแต่ปัสสวะเริ่มสะสมถือว่าผิดปกติ
การบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ เริ่มเมื่อมีสัญญาณส่งความรู้สึกจากกระเพาะปัสสาวะเป็นความรู้สึกตึงตัวของกระเพาะปัสสาวะผ่านไขสันหลังจนถึงสมอง เมื่อสมองแปลความหมายและเห็นสมควรว่าถ่ายปัสสาวะได้ จึงส่งกระแสประสาทลงมาไขสันหลัง ไปยังกระเพาะปัสสาวะให้บีบตัว ในขณะเดียวกันหากต้องการปัสสาวะโดยที่กระเพาะปัสสาวะไม่เต็มก็สามารถทำได้โดยการสั่งจากสมองโดยตรง นอกจากนั้นกรณีที่กระเพาะปัสสาวะระคายเคืองจากการอักเสบ ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดรู้สึกปวดปัสสาวะ
การบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาทอัตโนมัติ Parasympathetic ซึ่งมีสารนำประสาท neurotransmitter ที่สำคัญคือ Acetylcholine ในขณะเดียวกันที่ระบบประสาทอัตโนมัติ Sympathetic ก็ทำหน้าที่ของมันคือเก็บกักปัสสาวะโดยทำให้กระเพาะปัสสาวะคลายตัว รายละเอียดอ่านที่นี่
สาเหตุของกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินปกติ
การตรวจวินิจฉัย
ในการตรวจวินิจฉัยโรคแพทย์จะซักประวัติ การตรวจร่างกายและการตรวจทางห้องปฏิบัติการพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยและนำไปสู่การรักษาได้ จุดประสงค์หลักของการวินิจฉัยคือการคัดกรองเอาโรคอื่นๆที่อาจจะมีอาการคล้ายคลึงกันออก เช่น นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในท่อไต กระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือแม้กระทั่งมะเร็งกระเพาะปัสสาวะก็อาจจะทำให้มีอาการคล้ายกัน โรคที่ทำให้เกิดอาการคล้ายๆกันอ่านที่นี่
การตรวจร่างกาย เริ่มจากการตรวจร่างกายทั่วไปและการตรวจระบบประสาทเพื่อค้นหาความผิดปกติที่อาจจะเป็นสาเหตุหรือเกิดร่วมด้วย
การรักษา
การรักษา OAB
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
- การรักษาเชิงพฤติกรรม (Behavioral therapy) เช่น การกำหนดเวลาถ่ายปัสสาวะ ปรับปริมาณและเวลาในการดื่มน้ำ การให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ การดื่มน้ำต้องให้มีปริมาณมากพอ และต้องเลือกเวลาที่ดื่มด้วย
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ทำให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวเช่น กาแฟ สุรา
- การบริหารกล้ามเนื้อุ้งเชิงกรานอ่านที่นี่ การบริหารแบ่งเป็นสองแบบคือแบบที่หนึ่งให้ขมิบสั้นถี่ อีกแบบหนึ่งคือขมิบแต่ละครั้งให้นับ 1-20 ระหว่างที่ขมิบอย่ากลั้นหายใจ ทำวันละ 30-80 ครั้งเป็นเวลา 8 สัปดาห์ทำแบบนี้บ่อยๆจะทำให้ลดอาการของปัสสาวะบ่อย
- Vaginal weight training โดยการใส่วัสดุเข้าในช่องคลอดและขมิบ ทำวันละ15 นาที วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 4-6 สัปดาห์
การใช้ยา
- anticholinergic drugs ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่สำคัญคือ ท้องผูก ภาวะกรดไหลย้อน ตามัว ปัสสาวะคั่ง ยาที่ใช้บ่อยในกลุ่มนี้ได้แก่
- oxybutynin มีทั้งที่ออกฤทธิ์ปานกลางและระยะยาวขนาดที่ให้ 5 mg วันละ 3 ครั้งซึ่งสามารถลดอาการปวดปัสสาวะและปัสสาวะเร็ด สำหรับยาที่ออกฤทธิ์ยาวคือรับประทานยาวันละครั้งจะให้ผลการรักษาดีเหมือนกัน
- propiverine
- tolterodine มีทั้งออกฤทธิ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ใช้ได้ผลดีทั้งอายุมากและอายุน้อย
- and trospium
- Estrogen สำหรับผู้หญิงวัยทองจะใช้ทั้งยาทาหรือยารับประทานก็ได้ผล
- การรักษาด้วยยา
- การรักษาโดยปรับสมดุล
- การฉีด botulinum toxin
- การผ่าตัดขยายกระเพาะปัสสาวะ(Augmentation cystoplasty)
ทบทวนวันที่ 15/2/2566
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
เอกสารอ้างอิง
- New England Journal of Medicine Volume 350:786-799 February 19, 2004 Number 8 Joseph G. Ouslander, M.D.