มะเร็งกระเพาะอาหารคืออะไร และทำไมต้องตรวจคัดกรอง?
มะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach Cancer หรือ Gastric Cancer) เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ในเยื่อบุกระเพาะอาหารเติบโตผิดปกติ โดยมักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ การติดเชื้อ Helicobacter pylori (H. pylori), การกินอาหารเค็มหรือแปรรูป, การสูบบุหรี่, และประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
ทำไมการคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหารจึงสำคัญ?
เพราะมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะแรกมักไม่มีอาการชัดเจน ผู้ป่วยอาจรู้สึกเพียงแค่ท้องอืด ปวดท้องเล็กน้อย หรือเบื่ออาหาร ซึ่งอาการเหล่านี้มักถูกมองข้าม เมื่อพบอาการรุนแรง เช่น น้ำหนักลดมาก อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ มะเร็งมักลุกลามไปมากแล้ว การตรวจคัดกรองจึงช่วยให้เราพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะเพิ่มโอกาสรักษาหายได้ถึง 90% ในระยะเริ่มต้นการตรวจคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหารมีประโยชน์หลายประการ:
- ตรวจพบโรคตั้งแต่เนิ่นๆ: การตรวจคัดกรองช่วยในการตรวจพบมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะเริ่มต้น ก่อนที่จะมีอาการหรือแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
- เพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด: มะเร็งกระเพาะอาหารที่ตรวจพบในระยะแรกมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูงกว่ามะเร็งที่ตรวจพบในระยะหลัง
- ลดความเสี่ยงของการเสียชีวิต: การตรวจคัดกรองและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหารได้อย่างมาก
ใครควรตรวจคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหาร?
ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องตรวจคัดกรอง เพราะการตรวจบางวิธี เช่น การส่องกล้องกระเพาะอาหาร อาจมีค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงเล็กน้อย ดังนั้น ผมแนะนำให้กลุ่มต่อไปนี้พิจารณาตรวจคัดกรอง:
- ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป: ความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นตามอายุ
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร: หากพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร คุณมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
- ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอุบัติการณ์ของมะเร็งกระเพาะอาหารสูง: บางประเทศหรือบางภูมิภาคมีอัตราการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารสูงกว่าที่อื่น
- ผู้ที่มีอาการผิดปกติเรื้อรัง:
- ปวดท้องส่วนบนบ่อย ๆ หรือรู้สึกแน่นท้องหลังกินอาหาร
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เบื่ออาหารหรือรู้สึกอิ่มเร็วผิดปกติ
- อาเจียนบ่อย หรือมีเลือดปนในอาเจียน
- ถ่ายอุจจาระสีดำ (อาจเป็นสัญญาณเลือดออกในกระเพาะ)
- ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง:
- ติดเชื้อ H. pylori (สามารถตรวจได้ด้วยการตรวจลมหายใจหรือตรวจเลือด)
- สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- กินอาหารเค็ม อาหารดอง หรืออาหารแปรรูปบ่อย ๆ
- ผู้ที่เคยมีโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร:
- แผลในกระเพาะอาหารเรื้อรัง (Chronic atrophic gastritis)
- กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (Chronic Gastritis)
- ติ่งเนื้อในกระเพาะอาหาร (Polyps)
- ผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหารบางชนิด: ในบางกรณี อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในระยะยาว
หากคุณอยู่ในกลุ่มนี้ ผมแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนการตรวจคัดกรอง
ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหารมีอะไรบ้าง?
วิธีการคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหารที่ใช้กันโดยทั่วไป ได้แก่
- การส่องกล้องกระเพาะอาหาร (Gastroscopy หรือ Endoscopy): เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงที่สุด โดยแพทย์จะสอดท่อขนาดเล็กที่มีกล้องติดอยู่ส่วนปลาย ผ่านทางปากลงไปในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อดูความผิดปกติของเยื่อบุกระเพาะอาหาร หากพบความผิดปกติ แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) ไปตรวจทางพยาธิวิทยา
- การตรวจภาพถ่ายรังสี (Imaging studies): เช่น การเอกซเรย์กระเพาะอาหารด้วยการกลืนแป้ง (Barium swallow) หรือการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) อาจใช้ในบางกรณี แต่โดยทั่วไปแล้วไม่ใช่วิธีหลักในการคัดกรองในระยะเริ่มต้น
มีหลายวิธีที่แพทย์ใช้ในการตรวจคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหาร ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและอาการของแต่ละคน ผมจะอธิบายวิธีที่พบบ่อยและข้อดี-ข้อจำกัดของแต่ละวิธี:
1. การส่องกล้องกระเพาะอาหาร (Gastroscopy หรือ Upper Endoscopy)
- คืออะไร?: เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด แพทย์จะใช้ท่อขนาดเล็กที่มีกล้อง (endoscope) สอดผ่านปากเข้าไปในกระเพาะอาหาร เพื่อดูความผิดปกติของเยื่อบุกระเพาะ
- เหมาะกับใคร?: ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีอาการปวดท้องเรื้อรัง หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง
- ข้อดี:
- เห็นภาพชัดเจน สามารถตรวจพบรอยโรคเล็ก ๆ ได้
- สามารถตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) ไปตรวจเพิ่มเติมได้ทันทีหากพบสิ่งผิดปกติ
- ข้อจำกัด:
- อาจรู้สึกไม่สบายตัวขณะส่องกล้อง (แต่สามารถใช้ยานอนหลับช่วยได้)
- มีค่าใช้จ่าย (ประมาณ 5,000-15,000 บาท ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาล)
- การเตรียมตัว:
- งดน้ำและอาหาร 6-8 ชั่วโมงก่อนส่องกล้อง
- แจ้งแพทย์หากใช้ยา เช่น ยาละลายลิ่มเลือด
2. การตรวจลมหายใจเพื่อหาเชื้อ H. pylori (Urea Breath Test)
- คืออะไร?: วิธีนี้ใช้ตรวจการติดเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยจะดื่มสารละลายยูเรีย แล้วเป่าลมหายใจเข้าเครื่องเพื่อวิเคราะห์
- เหมาะกับใคร?: ผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อ H. pylori หรือมีอาการท้องอืด ปวดท้องเรื้อรัง
- ข้อดี:
- ไม่เจ็บ ไม่ต้องส่องกล้อง
- ค่าใช้จ่ายไม่สูง (ประมาณ 1,500-3,000 บาท)
- ข้อจำกัด:
- ตรวจได้เฉพาะการติดเชื้อ H. pylori ไม่สามารถยืนยันมะเร็งได้
- ต้องงดยาปฏิชีวนะหรือยาลดกรดบางชนิด 2-4 สัปดาห์ก่อนตรวจ
- การเตรียมตัว:
- งดอาหารและเครื่องดื่ม 4-6 ชั่วโมงก่อนตรวจ
3. การตรวจเลือดเพื่อหา H. pylori
- คืออะไร?: ตรวจหาแอนติบอดีของเชื้อ H. pylori ในเลือด เพื่อดูว่าคุณเคยติดเชื้อหรือไม่
- เหมาะกับใคร?: ผู้ที่ต้องการตรวจเบื้องต้นว่ามีการติดเชื้อ H. pylori หรือไม่
- ข้อดี:
- ง่าย สะดวก เพียงเจาะเลือด
- ค่าใช้จ่ายต่ำ (ประมาณ 500-1,500 บาท)
- ข้อจำกัด:
- ไม่สามารถบอกได้ว่าการติดเชื้อยังคงอยู่หรือหายแล้ว
- ไม่ยืนยันมะเร็ง ต้องตรวจเพิ่มเติมหากผลบวก
4. การตรวจอุจจาระ (Stool Test)
- คืออะไร?: ตรวจหาเลือดในอุจจาระ (Fecal Occult Blood Test) ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการมีเลือดออกในกระเพาะ หรือตรวจหาเชื้อ H. pylori
- เหมาะกับใคร?: ผู้ที่มีอาการถ่ายอุจจาระสีดำ หรือสงสัยมีเลือดออกในทางเดินอาหาร
- ข้อดี:
- ไม่เจ็บ เก็บตัวอย่างได้เองที่บ้าน
- ค่าใช้จ่ายไม่สูง (ประมาณ 300-1,000 บาท)
- ข้อจำกัด:
- หากผลบวก ต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น ส่องกล้อง เพื่อยืนยันสาเหตุ
- อาจมีผลบวกลวงจากสาเหตุอื่น เช่น ริดสีดวงทวาร
5. การตรวจด้วยภาพรังสี (Upper GI Series)
- คืออะไร?: ผู้ป่วยดื่มสารทึบรังสี (barium) แล้วถ่ายภาพรังสีเพื่อดูความผิดปกติของกระเพาะอาหาร
- เหมาะกับใคร?: ผู้ที่ไม่สามารถส่องกล้องได้ หรือต้องการตรวจเบื้องต้น
- ข้อดี:
- ไม่ต้องสอดกล้อง อาจรู้สึกสบายกว่า
- ข้อจำกัด:
- ความแม่นยำน้อยกว่าการส่องกล้อง
- ไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อไปตรวจได้
6.การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor markers):
- การตรวจนี้อาจช่วยในการวินิจฉัยหรือติดตามผลการรักษา แต่โดยทั่วไปแล้วยังไม่มีความแม่นยำเพียงพอสำหรับการคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะเริ่มต้น
การเตรียมตัวก่อนตรวจคัดกรอง
เพื่อให้การตรวจคัดกรองได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- แจ้งประวัติสุขภาพกับแพทย์: บอกแพทย์เกี่ยวกับอาการ, ประวัติครอบครัว, และยาที่ใช้อยู่
- งดอาหารและน้ำตามคำแนะนำ: โดยเฉพาะก่อนส่องกล้องหรือตรวจลมหายใจ
- งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์: อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนตรวจ เพราะอาจรบกวนผล
- เตรียมคำถาม: ถามแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยง วิธีตรวจ และการดูแลตัวเองหลังตรวจ
ขั้นตอนการส่องกล้องกระเพาะอาหารเป็นอย่างไร?
การส่องกล้องกระเพาะอาหารเป็นการตรวจที่ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยทั่วไปจะมีขั้นตอนดังนี้
- การเตรียมตัว: ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำให้งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนการตรวจ
- การให้ยาสลบหรือยาชา: แพทย์อาจให้ยานอนหลับชนิดเบาหรือยาชาเฉพาะที่บริเวณลำคอ เพื่อลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างการตรวจ
- การสอดกล้อง: แพทย์จะค่อยๆ สอดท่อส่องกล้องที่มีขนาดเล็กและยืดหยุ่น ผ่านทางปากลงไปในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น
- การตรวจ: กล้องจะส่งภาพภายในทางเดินอาหารไปยังจอภาพ ทำให้แพทย์สามารถสังเกตความผิดปกติได้ หากพบความผิดปกติ แพทย์จะใช้เครื่องมือขนาดเล็กที่สอดผ่านท่อส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
- หลังการตรวจ: ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลและสังเกตอาการประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก่อนที่จะสามารถกลับบ้านได้
ประโยชน์และความเสี่ยงของการคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหาร
ประโยชน์:
- ตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้น: เพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด
- สามารถรักษาภาวะก่อนมะเร็งได้: เช่น การตัดติ่งเนื้อ (Polyps) หรือการรักษาการติดเชื้อ H. pylori
- ลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร: ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและได้รับการคัดกรองอย่างเหมาะสม
ความเสี่ยง:
- ความไม่สบายระหว่างการส่องกล้อง: แม้จะมีการให้ยาชาหรือยานอนหลับ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกไม่สบายหรือคลื่นไส้เล็กน้อย
- ภาวะแทรกซ้อนจากการส่องกล้อง: พบได้น้อยมาก แต่อาจมีเลือดออก การทะลุของทางเดินอาหาร หรือภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยา
- ผลบวกลวง (False positive): ผลการตรวจที่บ่งชี้ว่ามีความผิดปกติ แต่เมื่อตรวจเพิ่มเติมแล้วไม่พบมะเร็ง ทำให้เกิดความกังวลโดยไม่จำเป็น
- ผลลบลวง (False negative): ผลการตรวจที่ปกติ แต่จริงๆ แล้วมีมะเร็งอยู่ ทำให้พลาดโอกาสในการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร
หลังตรวจคัดกรอง: ควรทำอย่างไร?
ผลการตรวจคัดกรองอาจออกมาได้ 3 แบบ:
- ผลปกติ:
- หากไม่พบความผิดปกติ แพทย์จะแนะนำให้ตรวจซ้ำในอีก 2-5 ปี ขึ้นอยู่กับความเสี่ยง
- ควรดูแลตัวเองต่อ เช่น ลดอาหารเค็ม ตรวจหา H. pylori เป็นระยะ
- พบความผิดปกติที่ไม่ใช่มะเร็ง:
- อาจพบการอักเสบ, แผลในกระเพาะ, หรือติ่งเนื้อ แพทย์จะให้คำแนะนำ เช่น รักษาด้วยยา หรือตัดติ่งเนื้อ
- สงสัยมะเร็ง:
- หากพบรอยโรคที่น่าสงสัย แพทย์จะตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ (biopsy) เพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
- หากยืนยันว่าเป็นมะเร็ง แพทย์จะวางแผนการรักษา เช่น ผ่าตัด, เคมีบำบัด หรือฉายรังสี
หมายเหตุ: ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร อย่าตื่นตระหนก ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำความเข้าใจและวางแผนต่อไป
ควรตรวจบ่อยแค่ไหน?
-
หากไม่มีความเสี่ยงสูง: อาจไม่จำเป็นต้องตรวจเป็นประจำ
-
หากมีปัจจัยเสี่ยง: แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการส่องกล้องทุก 2-3 ปี
-
หากมีเชื้อ H. pylori: ควรตรวจและรักษาให้หาย เพื่อลดความเสี่ยงในระยะยาว
วิธีลดความเสี่ยงหลังตรวจคัดกรอง
ถึงแม้ผลตรวจจะปกติ คุณควรดูแลตัวเองเพื่อป้องกันมะเร็งในอนาคต:
- กินอาหารที่ดีต่อกระเพาะ: เพิ่มผักผลไม้ เช่น ส้ม, บรอกโคลี ลดอาหารเค็มและแปรรูป
- เลิกสูบบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์: เพื่อลดการระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะ
- รักษาสุขอนามัย: ล้างมือบ่อย ๆ ดื่มน้ำสะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ H. pylori
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: หากมีความเสี่ยงสูง อาจต้องตรวจซ้ำทุก 1-2 ปี
คำแนะนำจากแพทย์
มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นโรคที่ป้องกันและรักษาได้ หากเราตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ผมขอแนะนำให้ทุกคนใส่ใจสุขภาพของตัวเอง อย่าละเลยอาการผิดปกติ และหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจคัดกรอง การลงทุนเพื่อสุขภาพวันนี้จะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคตครับ
หากคุณมีคำถามเพิ่มเติม เช่น อาการที่น่ากังวล หรือวิธีเตรียมตัวก่อนตรวจ อย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม
-
การตรวจคัดกรองไม่ได้หมายถึงการตรวจเมื่อมีอาการ แต่คือการตรวจ “ก่อนมีอาการ”
-
หากคุณมีอาการผิดปกติ เช่น จุกแน่นท้องเรื้อรัง น้ำหนักลด อาเจียนเป็นเลือด ควรพบแพทย์โดยเร็ว ไม่ต้องรอถึงรอบตรวจคัดกรอง
-
การกินอาหารที่สะอาด สดใหม่ ลดอาหารเค็ม ปิ้งย่าง และงดสูบบุหรี่ เป็นวิธีป้องกันที่สำคัญไม่แพ้การตรวจ
สรุป
การคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง การส่องกล้องกระเพาะอาหารเป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูง แต่ก็มีความเสี่ยงและข้อจำกัดบางประการ การตัดสินใจเข้ารับการคัดกรองควรเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ โดยพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงส่วนบุคคล ประโยชน์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น หากท่านอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการคัดกรองมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีของท่านครับ/ค่ะ
โปรดทราบว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ควรใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์จากผู้เชี่ยวชาญ