siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

ความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร: ทำความเข้าใจเพื่อป้องกันและลดโอกาสการเกิดโรค

มะเร็งกระเพาะอาหารคืออะไร?

มะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach Cancer หรือ Gastric Cancer) เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ในเยื่อบุกระเพาะอาหารเติบโตผิดปกติ มักเริ่มจากรอยโรคเล็ก ๆ ที่พัฒนากลายเป็นเนื้องอก และอาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ตับ หรือต่อมน้ำเหลือง โรคนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และในประเทศไทยมีผู้ป่วยใหม่ประมาณ 4,000-5,000 รายต่อปีตามข้อมูลล่าสุดจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (ข้อมูล ณ ปี 2566)

มะเร็งกระเพาะอาหารในระยะแรกมักไม่มีอาการชัดเจน ผู้ป่วยอาจรู้สึกเพียงท้องอืด ปวดท้องเล็กน้อย หรือเบื่ออาหาร แต่เมื่อโรคดำเนินไป อาจมีอาการรุนแรง เช่น น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระสีดำ ดังนั้น การรู้จักปัจจัยเสี่ยงจะช่วยให้คุณป้องกันและตรวจพบโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ




ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็งกระเพาะอาหารเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ผมจะแบ่งออกเป็นหมวดหมู่เพื่อให้เข้าใจง่าย:

1. ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้

  • อายุ:
    • ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี โดยเฉพาะในผู้ชาย
    • ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในกระเพาะมากขึ้น
  • เพศ:
    • ผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2 เท่า เนื่องจากฮอร์โมนและพฤติกรรม เช่น การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ที่พบในผู้ชายมากกว่า
  • ประวัติครอบครัว:
    • หากมีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร คุณมีความเสี่ยงสูงขึ้น 2-3 เท่า
    • อาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม เช่น การกลายพันธุ์ของยีนบางตัว (เช่น CDH1)
  • เชื้อชาติและภูมิศาสตร์:
    • ชาวเอเชีย (รวมถึงคนไทย) มีความเสี่ยงสูงกว่าชาวตะวันตก เนื่องจากพฤติกรรมการกิน เช่น การกินอาหารเค็มและดอง
    • ในประเทศไทย พบมากในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ

2. ปัจจัยที่ควบคุมได้

  • การติดเชื้อ Helicobacter pylori (H. pylori):
    • เชื้อแบคทีเรียนี้เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งกระเพาะอาหาร พบในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะถึง 60-70%
    • H. pylori ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและแผลในกระเพาะ ซึ่งอาจพัฒนาเป็นมะเร็งในระยะยาว
    • การติดเชื้อนี้พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยจำกัด
  • พฤติกรรมการกิน:
    • อาหารเค็มและแปรรูป: การกินปลาเค็ม ผักดอง ไส้กรอก เบคอน หรืออาหารที่มีเกลือสูง เพิ่มความเสี่ยง 2 เท่า เนื่องจากเกลือระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะ
    • อาหารรมควันและหมัก: เช่น ปลาร้า ปลาเจ่า มีสารไนเตรตที่อาจก่อมะเร็ง
    • ขาดผักและผลไม้: การกินผักผลไม้ที่มีวิตามิน C และไฟเบอร์น้อย ทำให้ร่างกายขาดสารต้านอนุมูลอิสระ
  • การสูบบุหรี่:
    • ผู้สูบบุหรี่มีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ไม่สูบถึง 2 เท่า
    • สารเคมีในบุหรี่ เช่น นิโคตินและทาร์ ระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะและเพิ่มการอักเสบ
  • การดื่มแอลกอฮอล์:
    • การดื่มหนัก (มากกว่า 3 แก้วต่อวัน) เพิ่มความเสี่ยง 1.5 เท่า
    • แอลกอฮอล์ทำให้เยื่อบุกระเพาะอักเสบและไวต่อสารก่อมะเร็งมากขึ้น
  • น้ำหนักตัวและโรคอ้วน:
    • ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 30 มีความเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากความอ้วนทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย
  • การสัมผัสสารเคมี:
    • การทำงานในอุตสาหกรรมที่มีสารเคมี เช่น ไนเตรต (พบในปุ๋ย) หรือฝุ่นถ่านหิน อาจเพิ่มความเสี่ยง

3. โรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยง

  • กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (Chronic Gastritis):
    • การอักเสบระยะยาวจาก H. pylori หรือการกินอาหารที่ระคายเคือง อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเซลล์
  • แผลในกระเพาะอาหาร:
    • แผลเรื้อรังที่ไม่ได้รับการรักษาเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง
  • ติ่งเนื้อในกระเพาะ (Gastric Polyps):
    • ติ่งเนื้อบางชนิด (เช่น adenoma) อาจพัฒนาเป็นมะเร็งได้
  • โรคโลหิตจางจากภาวะขาดวิตามินบี 12 (Pernicious Anemia):
    • ภาวะนี้ทำให้เยื่อบุกระเพาะบางลงและเสี่ยงต่อมะเร็งมากขึ้น

คนที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

วิธีประเมินความเสี่ยงของคุณ

เพื่อให้รู้ว่าคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงหรือไม่ ลองตอบคำถามเหล่านี้:

  1. คุณอายุมากกว่า 50 ปี หรือมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารหรือไม่?
  2. คุณมีอาการปวดท้องเรื้อรัง ท้องอืด หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุหรือไม่?
  3. คุณสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินอาหารเค็ม/แปรรูปเป็นประจำหรือไม่?
  4. คุณเคยตรวจพบการติดเชื้อ H. pylori หรือมีโรคเกี่ยวกับกระเพาะ เช่น แผลในกระเพาะหรือไม่?

หากตอบ "ใช่" มากกว่า 2 ข้อ ผมแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงเพิ่มเติม แพทย์อาจแนะนำการตรวจคัดกรอง เช่น การส่องกล้องกระเพาะอาหาร (Gastroscopy) หรือตรวจหาเชื้อ H. pylori


วิธีลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร

ข่าวดีคือคุณสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ผมมีคำแนะนำดังนี้:

1. ปรับพฤติกรรมการกิน

  • เพิ่มผักและผลไม้:
    • เลือกผักผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง เช่น ส้ม, ฝรั่ง, มะเขือเทศ เพื่อต้านอนุมูลอิสระ
    • กินไฟเบอร์จากธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวกล้อง, ควินัว เพื่อช่วยระบบย่อย
  • อาหาร: รูปแบบการรับประทานอาหารมีบทบาทสำคัญต่อความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้แก่

    • อาหารเค็มจัด: การบริโภคอาหารที่มีปริมาณเกลือสูงเป็นประจำ สัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงลดอาหารเค็มและแปรรูป:
      • หลีกเลี่ยงปลาเค็ม, ผักดอง, ไส้กรอก
      • จำกัดเกลือให้น้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน (ประมาณ 1 ช้อนชา)
    • อาหารรมควัน: อาหารที่ผ่านกระบวนการรมควันอาจมีสารก่อมะเร็ง
    • อาหารแปรรูป: การบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน อาจเพิ่มความเสี่ยง
    • อาหารที่มีไนเตรตและไนไตรท์สูง: สารเหล่านี้เมื่อเปลี่ยนในร่างกายอาจกลายเป็นสารก่อมะเร็ง
    • การบริโภคผักและผลไม้น้อย: การขาดสารอาหารและใยอาหารที่พบในผักและผลไม้ อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เลือกอาหารสด:
    • กินอาหารปรุงสด แทนอาหารรมควันหรือหมักดอง

2. ตรวจหาและรักษาการติดเชื้อ H. pylori

นี่คือปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง การติดเชื้อ H. pylori เรื้อรังสามารถทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร (Gastritis) และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารชนิด Adenocarcinoma (ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด)

  • หากมีอาการปวดท้องเรื้อรังหรือท้องอืด ควรตรวจหาเชื้อ H. pylori ด้วยวิธี เช่น การตรวจลมหายใจ (Urea Breath Test) หรือตรวจเลือด
  • หากพบเชื้อ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น Amoxicillin, Clarithromycin) เป็นเวลา 7-14 วัน
  • ป้องกันการติดเชื้อโดยล้างมือบ่อย ๆ ดื่มน้ำสะอาด และกินอาหารที่ปรุงสุก

3. เลิกสูบบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์

  • หยุดสูบบุหรี่เพื่อลดการระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะ การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ชัดเจนสำหรับมะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหาร สารเคมีในบุหรี่สามารถทำลายเซลล์และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
  • จำกัดแอลกอฮอล์ไม่เกิน 1-2 แก้วต่อวัน หรือเลี่ยงได้ยิ่งดี การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยง
  • หากต้องการเลิกบุหรี่ สามารถปรึกษาแพทย์หรือเข้าร่วมโปรแกรมเลิกบุหรี่

4. ควบคุมน้ำหนัก

  • รักษาดัชนีมวลกาย (BMI) ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (18.5-22.9 สำหรับคนเอเชีย)
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว, วิ่ง, หรือว่ายน้ำ วันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง และเลือกโปรตีนจากปลา ไก่ไม่ติดหนัง

5. หลีกเลี่ยงสารเคมีอันตราย

  • ล้างผักผลไม้ให้สะอาดเพื่อลดสารเคมี เช่น ไนเตรต
  • หากทำงานในโรงงานที่มีสารเคมี ควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากและถุงมือ

6. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

  • หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น อายุมากกว่า 50 ปี หรือมีประวัติครอบครัว ควรตรวจคัดกรอง เช่น ส่องกล้องกระเพาะอาหารทุก 2-5 ปี
  • ตรวจหาเชื้อ H. pylori เป็นระยะ โดยเฉพาะหากมีอาการผิดปกติ

7.ภาวะสุขภาพบางอย่าง:

  • ภาวะกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (Chronic atrophic gastritis): การอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุกระเพาะอาหารอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเซลล์
  • ภาวะเยื่อบุกระเพาะอาหารเปลี่ยนแปลง (Intestinal metaplasia): ภาวะที่เซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารเปลี่ยนแปลงไปคล้ายเซลล์ลำไส้ ซึ่งถือเป็นภาวะก่อนมะเร็ง
  • โรคโลหิตจางชนิด Pernicious anemia: เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินบี 12 ได้ดี ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยง
  • ติ่งเนื้อในกระเพาะอาหาร (Gastric polyps): ติ่งเนื้อบางชนิดอาจกลายเป็นมะเร็งได้

8.ประวัติครอบครัวและพันธุศาสตร์

  • การมีญาติระดับหนึ่งที่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารจะเพิ่มความเสี่ยงของคุณ

  • กลุ่มอาการทางพันธุกรรม เช่น Lynch syndrome หรือมะเร็งกระเพาะอาหารแบบแพร่กระจายทางพันธุกรรม (HDGC) ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกัน


เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

หากคุณมีอาการต่อไปนี้เกิน 2-3 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม:

  • ปวดท้องส่วนบนหรือรู้สึกแน่นท้องบ่อย
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระสีดำ
  • เบื่ออาหารหรือรู้สึกอ่อนเพลียมาก

การตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้รักษาได้ทันท่วงที และลดความรุนแรงของโรค


สรุป

การเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันโรค แม้ว่าเราจะไม่สามารถควบคุมทุกปัจจัยได้ แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ การตระหนักถึงความเสี่ยงและเข้ารับการตรวจสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์ จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพกระเพาะอาหารของเราให้แข็งแรงและลดโอกาสในการเผชิญกับโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ครับ/ค่ะ

หากท่านมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสมนะครับ/คะ

หากคุณมีคำถามเพิ่มเติม เช่น วิธีตรวจหา H. pylori หรือการตรวจคัดกรอง อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือติดต่อผมได้ที่ siamhealth.net ครับ


หมายเหตุจากแพทย์: ข้อมูลในบทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ไม่สามารถใช้แทนการวินิจฉัยหรือรักษาโดยแพทย์ หากมีอาการน่าสงสัย ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจที่เหมาะสม

เกี่ยวกับผู้เขียน

นพ.ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร เป็นอายุรแพทย์ 30 ปี แพทย์เวชศสตรครอบครัว...

เพิ่มเพื่อน

  1. https://www.cancer.net/cancer-types/stomach-cancer/risk-factors
  2. ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
  3. ปัจจัยเสี่ยงการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารสถาบันมะเร็งแห่งชาติอเมริกา