มะเร็งปอด: อาการ สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกันที่คุณต้องรู้
ทำความเข้าใจมะเร็งปอดเพื่อสุขภาพปอดที่ดี
มะเร็งปอด (Lung Cancer) เป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ที่สร้างความกังวลให้กับประชาชน จากข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (2567) พบผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ในไทยประมาณ 23,000 รายต่อปี และเสียชีวิตกว่า 18,000 ราย การรู้จักโรคนี้ตั้งแต่ชนิด อาการแรกเริ่ม สาเหตุ ไปจนถึงวิธีการรักษาและป้องกัน จะช่วยให้เราสามารถรับมือและลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปในมุมมองที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง
มะเร็งคืออะไร?
ร่างกายของเราประกอบด้วยเซลล์จำนวนมาก ปกติเซลล์จะแบ่งตัวตามความต้องการของร่างกาย เช่น ผลิตเม็ดเลือดแดงเพิ่มเมื่อเสียเลือด หรือผลิตเม็ดเลือดขาวเมื่อมีการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม บางครั้งเซลล์อาจแบ่งตัวผิดปกติโดยที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดเป็นเนื้องอก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท:
- เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง (Benign Tumor): ไม่ใช่มะเร็ง สามารถผ่าตัดออกได้ และไม่กลับมาเป็นซ้ำ ที่สำคัญคือไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น
- เนื้องอกชนิดร้ายแรง (Malignant Tumor): หรือมะเร็ง เซลล์จะแบ่งตัวทำลายเนื้อเยื่อและอวัยวะใกล้เคียง และสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นที่อยู่ห่างไกลผ่านกระแสเลือดหรือน้ำเหลือง เรียกว่า Metastasis
มะเร็งปอดคืออะไร และมีกี่ชนิด?
มะเร็งปอดเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ในปอด ซึ่งอาจลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้ โดยทั่วไปมะเร็งปอดแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก:
1. มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (Small Cell Lung Cancer - SCLC)
- พบประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยมะเร็งปอด
- เติบโตและแพร่กระจายได้รวดเร็ว มักสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่
- มักตรวจพบในระยะที่ลุกลามแล้ว
2. มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (Non-Small Cell Lung Cancer - NSCLC)
- พบมากถึง 85-90% ของผู้ป่วย
- เติบโตช้ากว่า SCLC และมีหลาย subtype ได้แก่:
- Adenocarcinoma: พบมากในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ มักเกิดในส่วนนอกของปอด และพบมากในผู้หญิง
- Squamous Cell Carcinoma: มักเกิดในเซลล์ที่บุหลอดลม มักพบในผู้สูบบุหรี่ และมักอยู่ในส่วนกลางของปอด
- Large Cell Carcinoma: เติบโตและแพร่กระจายได้เร็ว มักพบในส่วนใดก็ได้ของปอด
พบได้ทั้งในผู้สูบและไม่สูบบุหรี่

squamous cell carcinoma |

adenocarcinoma |

large cell carcinoma |
อาการของมะเร็งปอด
มะเร็งปอดในระยะแรกเริ่มมักไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวจนกว่าโรคจะอยู่ในระยะลุกลาม อาการอาจคล้ายกับโรคอื่น ๆ เช่น หลอดลมอักเสบหรือภูมิแพ้ ทำให้ผู้ป่วยมักคิดว่าไม่ร้ายแรง หากคุณพบการเปลี่ยนแปลงของอาการหรือมีอาการใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์ทันที
อาการแรกเริ่มของมะเร็งปอด
- ไอเรื้อรัง: ไอแห้งหรือไอมีเสมหะปนเลือด ต่อเนื่องเกิน 2-3 สัปดาห์
- หายใจลำบาก: หายใจสั้น หายใจมีเสียงวี้ด หรือรู้สึกอึดอัด
- เจ็บหน้าอก: ปวดหรือเจ็บเมื่อหายใจลึกหรือไอ
- เหนื่อยล้า: รู้สึกอ่อนเพลียโดยไม่มีสาเหตุ
- น้ำหนักลด: น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ
อาการในระยะลุกลาม
เมื่อมะเร็งปอดลุกลาม อาการจะรุนแรงขึ้น ได้แก่:
- ไอรุนแรงขึ้น ไอถี่ขึ้น หรือไอมีเสมหะปนเลือดมากขึ้น
- หายใจเหนื่อยมากขึ้น เสียงแหบ
- ติดเชื้อในปอดบ่อย เช่น ปอดบวมหรือปอดอักเสบ
- เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย และน้ำหนักลดอย่างต่อเนื่อง
- หน้าและคอบวม เนื่องจากมะเร็งกดทับหลอดเลือด
- การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของนิ้วและเล็บ (เช่น นิ้วปุ้ม - Clubbing)
- กลืนลำบาก
อาการเมื่อมะเร็งแพร่กระจาย (Metastasis)
เมื่อมะเร็งปอดแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น อาการจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่แพร่กระจายไป:
- ต่อมน้ำเหลือง: ต่อมน้ำเหลืองโต มักพบที่คอ รักแร้ หรือในช่องอก (อาจคลำได้หรือเห็นจากการตรวจภาพ) อย่างไรก็ตาม ต่อมน้ำเหลืองโตอาจเกิดจากการติดเชื้อได้เช่นกัน ควรให้แพทย์ตรวจเพื่อยืนยัน
- สมอง: ปวดศีรษะรุนแรง มึนงง สับสน แขนขาอ่อนแรง หรือชัก
- ตับ: ปวดท้องด้านขวา ท้องบวม (ท้องมาน) ผิวหนังและตาขาวเหลือง (ดีซ่าน) ผิวหนังคัน และเบื่ออาหาร
- กระดูก: ปวดกระดูก กระดูกอ่อนแอ (เสี่ยงหักง่าย) ระดับแคลเซียมในเลือดสูง (ทำให้ขาดน้ำและสับสน)
- ต่อมหมวกไต: อาจไม่มีอาการในระยะแรก แต่หากแพร่กระจายทั้งสองข้าง อาจมีอาการอ่อนแรง เป็นลม เวียนศีรษะ และน้ำหนักลด เนื่องจากระดับฮอร์โมนต่ำ
- ส่วนอื่นของปอด: อาจทำให้หายใจลำบากมากขึ้น
โรคแทรกซ้อน
เมื่อมะเร็งปอดลุกลาม อาจเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น:
- ปอดอักเสบ: การติดเชื้อในปอด เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลง
- น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pleural Effusion): ทำให้หายใจลำบากมากขึ้น
- ภาวะขาดออกซิเจน: เหนื่อยง่าย ตัวเขียว
- การกดทับไขสันหลัง (Spinal Cord Compression): หากมะเร็งแพร่ไปที่กระดูกสันหลัง อาจทำให้ขาอ่อนแรง ชา หรือสูญเสียการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ/ลำไส้ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน ต้องพบแพทย์ทันที
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปอด
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งปอด ได้แก่:
- การสูบบุหรี่: เป็นสาเหตุหลัก (85% ของผู้ป่วย) รวมถึงบุหรี่มวน ซิการ์ และไปป์ จำนวนบุหรี่ที่สูบ ระยะเวลาที่สูบ และความลึกของการสูบ ล้วนเพิ่มความเสี่ยง
- ควันบุหรี่มือสอง: ผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่มีความเสี่ยงสูงขึ้น 20-30%
- มลพิษทางอากาศ: เช่น ฝุ่น PM2.5, ควันจากการเผาไหม้น้ำมัน และถ่านหิน
- การสัมผัสสารก่อมะเร็ง:
- แร่ใยหิน (Asbestos): ผู้ที่ทำงานในเหมืองหรือโรงงานที่เกี่ยวข้องมีความเสี่ยงสูง
- เรดอน (Radon): ก๊าซที่ไม่มีกลิ่น พบในดินและหิน มักพบในเหมืองหรือบ้านที่มีรอยร้าว
- โรคปอดเรื้อรัง: เช่น วัณโรค (มะเร็งอาจเกิดบริเวณรอยแผลเป็นจากวัณโรค) หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
- ประวัติครอบครัว: หากมีญาติสายตรงเป็นมะเร็งปอด ความเสี่ยงสูงขึ้น 2 เท่า
- ประวัติเคยเป็นมะเร็งปอด: ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งปอดมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
การวินิจฉัยมะเร็งปอด
การวินิจฉัยมะเร็งปอดมักเริ่มจากอาการของผู้ป่วย และแพทย์จะใช้เครื่องมือต่อไปนี้เพื่อยืนยัน:
- การถ่ายภาพรังสี: เช่น X-ray หรือ CT Scan เพื่อดูความผิดปกติในปอด
- การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy): นำเนื้อเยื่อปอดไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
- การตรวจเสมหะ (Sputum Cytology): ตรวจหาเซลล์ผิดปกติในเสมหะ
- PET Scan: ตรวจการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
- MRI หรือ Bone Scan: ใช้เมื่อสงสัยว่ามะเร็งแพร่กระจายไปยังสมองหรือกระดูก
การตรวจหามะเร็งระยะแรกเริ่ม
การตรวจพบในระยะแรกเริ่มช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้มากขึ้น ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูบบุหรี่อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองด้วย Low-Dose CT Scan
การรักษามะเร็งปอด
วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับชนิด ระยะของโรค และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ตัวเลือกหลัก ได้แก่:
- การผ่าตัด: ใช้ในระยะเริ่มต้น เช่น การตัดปอดบางส่วน (Lobectomy) เพื่อตัดเนื้องอกออก
- รังสีบำบัด (Radiation Therapy): ใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็ง มักใช้เมื่อผ่าตัดไม่ได้ หรือใช้ก่อนผ่าตัดเพื่อลดขนาดเนื้องอก
- เคมีบำบัด (Chemotherapy): ใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง เหมาะกับระยะลุกลาม หรือใช้หลังผ่าตัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลือ
- ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับมะเร็ง เป็นวิธีใหม่ที่ได้ผลดีในบางกรณี
- การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy): ใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงกับเซลล์มะเร็ง โดยขึ้นอยู่กับการกลายพันธุ์ของยีน เช่น EGFR หรือ ALK
วิธีป้องกันมะเร็งปอด
ถึงแม้จะไม่สามารถป้องกันมะเร็งปอดได้ 100% แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถลดความเสี่ยงได้:
- งดสูบบุหรี่: เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง
- ลดการสัมผัสสารก่อมะเร็ง: สวมหน้ากากป้องกันเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง เช่น ฝุ่น PM2.5
- ตรวจสุขภาพปอด: ตรวจคัดกรองด้วย Low-Dose CT Scan สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น บรอกโคลี เบอร์รี่
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยเพิ่มการทำงานของปอดและระบบภูมิคุ้มกัน
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว
การเผชิญหน้ากับมะเร็งปอดอาจเป็นเรื่องยากทั้งสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว คำแนะนำต่อไปนี้จะช่วยให้รับมือได้ดีขึ้น:
ก่อนพบแพทย์
- จดบันทึกอาการ เช่น เริ่มเมื่อไหร่ เกิดบ่อยแค่ไหน และอะไรที่ทำให้ดีขึ้น/แย่ลง
- แจ้งแพทย์หากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง
- พาครอบครัวหรือเพื่อนไปด้วยเพื่อช่วยจดบันทึกและให้กำลังใจ
ระหว่างพบแพทย์
- อย่าอายที่จะบอกอาการทั้งหมด แพทย์รักษาความลับให้คุณ
- ขอให้แพทย์อธิบายสิ่งที่ไม่เข้าใจ หรือให้เขียนคำอธิบายให้
การดูแลตัวเอง
- เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยมะเร็งเพื่อรับคำแนะนำและกำลังใจ
- ดูแลสุขภาพจิต หลีกเลี่ยงความเครียด และปรึกษานักจิตวิทยาหากจำเป็น
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อป้องกันโรค
ข้อคิดท้ายบท
มะเร็งปอดไม่ใช่เรื่องไกลตัว การรู้เท่าทันอาการและปัจจัยเสี่ยงจะช่วยให้เราตรวจพบโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาหายได้มากขึ้น หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการน่าสงสัย เช่น ไอเรื้อรังหรือหายใจลำบาก อย่าลังเลที่จะพบแพทย์ การดูแลสุขภาพปอดวันนี้คือการลงทุนเพื่อชีวิตที่ยืนยาวในอนาคต หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจมะเร็งปอดมากขึ้น และนำความรู้ไปใช้ในการดูแลตัวเองและคนที่คุณรัก
ทบทวนและอ้างอิง
เอกสารอ้างอิง:
เผยแพร่เมื่อ:
โดย: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
มะเร็งปอด | การป้องกันมะเร็งปอด | มะเร็งปอดระยะแรกเริ่ม | การตรวจหามะเร็งระยะแรกเริ่ม | การตรวจมะเร็งปอด
