หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
วันที่เผยแพร่: 29 กรกฎาคม 2568, 21:46 น. ผู้เขียน: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่มา: SiamHealth.net
บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและสำคัญเกี่ยวกับยา Theophylline (ทีโอฟิลลีน) ซึ่งเป็นยาขยายหลอดลมที่ใช้ในการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ยานี้มีกลไกการออกฤทธิ์ที่ซับซ้อนและมีช่วงการรักษาที่แคบ (Narrow Therapeutic Index) จึงจำเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และทราบถึงกลไกการออกฤทธิ์ ข้อบ่งใช้ และข้อควรระวังต่างๆ ที่สำคัญ การมีความรู้เกี่ยวกับยาที่คุณใช้จะช่วยให้คุณจัดการกับอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
Theophylline (ทีโอฟิลลีน) เป็นยาในกลุ่ม Methylxanthines ซึ่งเป็นยาขยายหลอดลมที่ใช้ในการรักษาโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โดยยาจะช่วยให้กล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมคลายตัว ทำให้หลอดลมขยายกว้างขึ้น อากาศไหลเข้าและออกจากปอดได้ดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการหายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด และแน่นหน้าอก Theophylline มีใช้มานานแล้วและถือเป็นยาควบคุมอาการ (Maintenance medication) ที่ใช้สำหรับควบคุมอาการระยะยาวและป้องกันอาการกำเริบของโรคในผู้ป่วยบางราย มักใช้ในรูปแบบยาเม็ดรับประทานชนิดออกฤทธิ์นาน (Extended-Release) หรือยาฉีด (ในกรณีฉุกเฉิน)
Theophylline ออกฤทธิ์ผ่านกลไกที่ซับซ้อนหลายอย่างในร่างกาย:
ยับยั้งเอนไซม์ Phosphodiesterase (PDE): นี่คือกลไกหลัก ยาจะยับยั้งเอนไซม์ PDE ซึ่งมีบทบาทในการสลายสาร Cyclic AMP (cAMP) ภายในเซลล์ เมื่อ PDE ถูกยับยั้ง ระดับ cAMP ในเซลล์กล้ามเนื้อเรียบหลอดลมจะสูงขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวและหลอดลมขยาย
ยับยั้งตัวรับ Adenosine: Adenosine เป็นสารที่ทำให้หลอดลมหดตัวและทำให้เกิดการอักเสบ เมื่อ Theophylline ยับยั้งตัวรับนี้ จึงช่วยลดการหดตัวของหลอดลมและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบเล็กน้อย
เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหายใจ: ยาอาจช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกะบังลม ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อสำคัญในการหายใจ
กระตุ้นศูนย์ควบคุมการหายใจ: อาจมีฤทธิ์กระตุ้นศูนย์ควบคุมการหายใจในสมอง ทำให้หายใจได้ดีขึ้น
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ: แม้จะอ่อนกว่าสเตียรอยด์ แต่ Theophylline ก็มีฤทธิ์ต้านการอักเสบเล็กน้อยในทางเดินหายใจ
Theophylline ใช้สำหรับรักษาโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังเป็นหลัก:
โรคหอบหืด (Asthma): ใช้เป็นยาควบคุมอาการระยะยาวในผู้ป่วยหอบหืดที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ดีด้วยยาพ่นสูดชนิดอื่นๆ หรือใช้เป็นยาเสริมในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease - COPD): ใช้สำหรับควบคุมอาการระยะยาว ลดอาการหายใจลำบาก และลดความถี่ของการกำเริบของโรคในผู้ป่วย COPD ที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea): ในบางกรณี อาจมีการใช้เพื่อกระตุ้นการหายใจ
ในทารกคลอดก่อนกำหนด: อาจใช้ Theophylline ในกรณีภาวะหยุดหายใจในทารกคลอดก่อนกำหนด (Apnea of Prematurity) (ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งและติดตามระดับยาใกล้ชิด)
Theophylline มีจำหน่ายหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ดรับประทาน (ชนิดออกฤทธิ์ทันทีและออกฤทธิ์นาน), ยาน้ำเชื่อม, และยาฉีด (ในรูป Aminophylline ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของ Theophylline)
ขนาดยา Theophylline มีความซับซ้อนมาก และต้องปรับตามแต่ละบุคคล เนื่องจากยา Theophylline มีช่วงการรักษาที่แคบ (Narrow Therapeutic Index) ซึ่งหมายความว่าปริมาณยาที่ใช้ในการรักษา (Therapeutic Dose) และปริมาณยาที่ทำให้เกิดพิษ (Toxic Dose) อยู่ใกล้กันมาก จึงต้องมีการติดตามระดับยาในเลือดอย่างใกล้ชิด
ก. ยาเม็ดรับประทานชนิดออกฤทธิ์นาน (Extended-Release Tablets / Capsules):
ผู้ใหญ่: โดยทั่วไปเริ่มต้นที่ 100-200 มก. วันละ 2 ครั้ง หรือ 300 มก. วันละ 1 ครั้ง (สำหรับยาบางชนิด) แพทย์จะปรับขนาดยาตามการตอบสนองและระดับยาในเลือด
เด็ก: ปรับขนาดตามน้ำหนักตัวและคำแนะนำของแพทย์
ข. ยาน้ำเชื่อม:
ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถกลืนยาเม็ดได้ หรือในเด็ก
ค. ยาฉีด (Aminophylline):
ใช้ในกรณีฉุกเฉินที่มีอาการรุนแรงมาก เช่น ภาวะหอบหืดกำเริบรุนแรง หรือ COPD กำเริบ (บริหารโดยบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเท่านั้น)
วิธีการใช้ยา:
รับประทานยาเม็ดชนิดออกฤทธิ์นานพร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันที เพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร (ยาบางชนิดอาจแนะนำให้รับประทานตอนท้องว่าง ควรตรวจสอบคำแนะนำเฉพาะของยา)
กลืนยาเม็ดทั้งเม็ด ห้ามเคี้ยว บด หรือแบ่งยาเม็ดออกฤทธิ์นาน เพราะจะทำให้ยาถูกปล่อยออกมาเร็วเกินไปและอาจเกิดพิษ
รับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อรักษาระดับยาในเลือดให้คงที่
หมายเหตุ: ขนาดยาและรูปแบบการใช้จะถูกกำหนดและปรับโดยแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น ห้ามปรับขนาดยาเองเด็ดขาด
การแจ้งข้อมูลสุขภาพของคุณอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ Theophylline คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับ:
ประวัติการแพ้ยา: เคยแพ้ยา Theophylline, Aminophylline หรือยาในกลุ่ม Methylxanthines อื่นๆ หรือส่วนประกอบใดๆ ในยาหรือไม่
โรคประจำตัวอื่นๆ: โดยเฉพาะ
โรคหัวใจและหลอดเลือด: เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (โดยเฉพาะ Tachyarrhythmia), โรคหัวใจขาดเลือด, หัวใจล้มเหลว, ความดันโลหิตสูง
โรคลมชัก (Seizure disorder):
โรคตับ (Liver disease) หรือโรคไต (Kidney disease):
โรคไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism):
โรคแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ (Peptic Ulcer Disease): หรือมีประวัติเลือดออกในทางเดินอาหาร
โรคเบาหวาน:
ภาวะติดเชื้อเฉียบพลัน: เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม
ภาวะไข้สูง:
การสูบบุหรี่: (การสูบบุหรี่ส่งผลต่อการเผาผลาญยา Theophylline)
การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์:
การให้นมบุตร:
ยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรอื่นๆ ที่กำลังใช้: รวมถึงยาที่ซื้อเอง หรือยาที่ใช้เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะบางชนิด (เช่น Erythromycin, Clarithromycin, Ciprofloxacin), ยาแก้ซึมเศร้า, ยาลดกรด, ยาโรคหัวใจ (เช่น Digoxin, Beta-blockers), ยาแก้ปวด (เช่น Allopurinol), ยาคุมกำเนิด, สมุนไพร St. John's Wort หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีน
ควรใช้ Theophylline ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยทุกราย เนื่องจากยา Theophylline มีช่วงการรักษาที่แคบ (Narrow Therapeutic Index):
การติดตามระดับยาในเลือด (Therapeutic Drug Monitoring - TDM): เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้ Theophylline โดยแพทย์จะทำการเจาะเลือดเพื่อวัดระดับยา Theophylline ในเลือดเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าระดับยาอยู่ในช่วงที่เหมาะสม (10-20 ไมโครกรัม/มล. สำหรับผู้ใหญ่) ไม่ต่ำเกินไปจนไม่ได้ผล และไม่สูงเกินไปจนเกิดพิษ
ผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการได้รับยาเกินขนาด: อาการพิษจาก Theophylline สามารถเกิดขึ้นได้แม้ในระดับยาที่ใกล้เคียงกับระดับการรักษา อาการพิษมักเกี่ยวข้องกับระบบประสาท (ชัก, สับสน) และระบบหัวใจ (หัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง)
ปฏิกิริยาระหว่างยา: Theophylline มีปฏิกิริยากับยาอื่นๆ หลายชนิด (ดูหัวข้อ 8) ซึ่งอาจเพิ่มหรือลดระดับยา Theophylline ในเลือดอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับยา:
การสูบบุหรี่: ผู้ที่สูบบุหรี่จะเผาผลาญยาเร็วขึ้น ทำให้ระดับยาในเลือดต่ำลง แพทย์อาจต้องเพิ่มขนาดยา
อายุ: ผู้สูงอายุและทารกแรกเกิดอาจเผาผลาญยาช้าลง ทำให้ระดับยาสูงขึ้น
โรคประจำตัว: โรคตับ, โรคหัวใจล้มเหลว, ภาวะติดเชื้อเฉียบพลัน (โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่), ภาวะไข้สูง สามารถลดการเผาผลาญยา Theophylline ทำให้ระดับยาสะสมและเกิดพิษได้ง่าย
ห้ามบด เคี้ยว หรือแบ่งยาเม็ดชนิดออกฤทธิ์นาน: เพราะจะทำให้ยาถูกปล่อยออกมาเร็วเกินไปและอาจเกิดพิษ
ห้ามใช้เป็นยาบรรเทาอาการเฉียบพลัน: Theophylline เป็นยาควบคุมอาการระยะยาว ไม่ควรใช้สำหรับบรรเทาอาการหอบหืดกำเริบฉุกเฉิน
อาการที่ต้องเฝ้าระวังและควรพบแพทย์ทันที (อาการพิษ หรือผลข้างเคียงรุนแรง):
อาการทางระบบประสาท: คลื่นไส้, อาเจียนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง, ปวดศีรษะรุนแรง, นอนไม่หลับรุนแรง, กระสับกระส่ายมาก, สับสน, ชัก, มือสั่นรุนแรง
อาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด: ใจสั่นรุนแรง, หัวใจเต้นเร็วมากผิดปกติ (Tachycardia), หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง (Arrhythmia), ความดันโลหิตต่ำ, เจ็บหน้าอก
อาการทางเดินอาหาร: อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย (อาจบ่งชี้เลือดออกในทางเดินอาหาร)
อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: ผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว, บวมที่ใบหน้า ลิ้น หรือคอ, หายใจลำบาก (เป็นภาวะฉุกเฉิน)
การตรวจพิเศษ:
การตรวจระดับยา Theophylline ในเลือด: เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการรักษา, เมื่อมีการปรับขนาดยา, เมื่อมีอาการป่วย (เช่น ไข้สูง, การติดเชื้อ), หรือเมื่อมีการเปลี่ยนยาอื่นๆ ที่มีปฏิกิริยา
อาจมีการตรวจการทำงานของตับและไต ในผู้ป่วยบางราย
Theophylline มีปฏิกิริยากับยาอื่นๆ หลายชนิด ซึ่งสามารถ เพิ่มหรือลดระดับยา Theophylline ในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดพิษหรือยาไม่ได้ผล สิ่งสำคัญคือ ต้องแจ้งรายการยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอ
ยาที่อาจเพิ่มระดับ Theophylline ในเลือด (เสี่ยงต่อพิษ):
ยาปฏิชีวนะบางชนิด: เช่น Ciprofloxacin, Erythromycin, Clarithromycin
ยารักษาโรคหัวใจ: เช่น Verapamil, Diltiazem, Amiodarone
ยาลดกรดบางชนิด: เช่น Cimetidine
Allopurinol (ยารักษาโรคเกาต์)
Propranolol (Beta-blocker ชนิดไม่เลือกออกฤทธิ์)
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน
ผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีนในปริมาณมาก: เช่น กาแฟ, ชา, เครื่องดื่มชูกำลัง
ยาที่อาจลดระดับ Theophylline ในเลือด (ทำให้ยาไม่ได้ผล):
Rifampicin (ยาวัณโรค)
Phenobarbital, Phenytoin, Carbamazepine (ยากันชัก)
Ritonavir (ยาต้านไวรัส HIV)
St. John's Wort (สมุนไพร)
การสูบบุหรี่
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย (มักเกี่ยวข้องกับระดับยาที่สูงเกินไป หรือความไวต่อยา):
ระบบทางเดินอาหาร: คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้อง, อาหารไม่ย่อย, ท้องเสีย, แสบร้อนกลางอก
ระบบประสาท: ปวดศีรษะ, นอนไม่หลับ, กระสับกระส่าย, วิตกกังวล, มือสั่น
ระบบหัวใจและหลอดเลือด: ใจสั่น, หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia), หัวใจเต้นผิดจังหวะ
ผลข้างเคียงที่พบน้อยแต่รุนแรง (มักเกิดจากระดับยาที่เป็นพิษ):
ชัก (Seizures)
หัวใจเต้นผิดจังหวะที่คุกคามถึงชีวิต (Life-threatening Arrhythmias)
ภาวะความดันโลหิตต่ำรุนแรง (Severe Hypotension)
อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง (Anaphylaxis)
หากพบอาการรุนแรง หรืออาการที่น่ากังวล ควรรีบหยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที
รับประทานยาตามขนาดและเวลาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ห้ามเพิ่มขนาดยา หรือใช้ยาบ่อยกว่าที่กำหนด
รับประทานยาเม็ดชนิดออกฤทธิ์นานพร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันที: เพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร (เว้นแต่ยาบางชนิดที่แนะนำให้รับประทานตอนท้องว่าง)
ห้ามบด เคี้ยว หรือแบ่งยาเม็ดชนิดออกฤทธิ์นาน:
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจเปลี่ยนแปลงระดับยา: เช่น การสูบบุหรี่, การดื่มคาเฟอีนในปริมาณมาก, และการใช้ยาอื่นๆ ที่มีปฏิกิริยา โดยไม่ปรึกษาแพทย์
แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับยาทุกชนิดที่ใช้อยู่: เพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยา
เข้ารับการตรวจระดับยา Theophylline ในเลือดตามนัดหมายของแพทย์อย่างเคร่งครัด:
หากได้รับยา Theophylline เกินขนาด จะมีโอกาสเกิดพิษจากยาได้สูงมาก ซึ่งอาการอาจรุนแรงถึงชีวิตได้ เช่น คลื่นไส้, อาเจียนรุนแรง, ปวดท้อง, กระสับกระส่าย, ใจสั่น, หัวใจเต้นเร็วมาก, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, ชัก, และหมดสติ วิธีแก้ไข: ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลหรือปรึกษาแพทย์ทันที เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ แพทย์อาจพิจารณาการล้างท้อง, การให้ถ่านกัมมันต์, การให้ยาแก้ชัก, หรือการฟอกเลือด เพื่อกำจัดยาออกจากร่างกาย
สำหรับยา Theophylline ชนิดออกฤทธิ์นาน (รับประทานวันละ 1-2 ครั้ง):
หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้
หากใกล้ถึงเวลาของยาครั้งถัดไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรับประทานตามตารางปกติ
ห้ามรับประทานยาเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อชดเชยยาที่ลืมเด็ดขาด: เพราะอาจทำให้เกิดพิษจากยา
เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง: ประมาณ 20-25°C (68-77°F) หรือตามที่ระบุบนฉลากยา
เก็บในที่แห้งและพ้นจากแสงแดดโดยตรง:
เก็บในภาชนะบรรจุเดิมที่ปิดสนิท:
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง:
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยาเสมอ: ห้ามใช้ยาที่หมดอายุแล้ว
สตรีมีครรภ์: Theophylline จัดอยู่ใน Pregnancy Category C (จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบผลข้างเคียง แต่ไม่มีข้อมูลเพียงพอในมนุษย์) ยาสามารถผ่านรกไปยังทารกได้ การใช้ Theophylline ในสตรีมีครรภ์ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น โดยแพทย์จะพิจารณาถึงประโยชน์และความเสี่ยงต่อทั้งมารดาและทารก ภาวะหอบหืดหรือ COPD ที่ไม่ได้รับการควบคุมที่ดีอาจเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์มากกว่าผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยา
การให้นมบุตร: Theophylline สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตรขณะใช้ยานี้ เนื่องจากยาอาจทำให้เกิดอาการกระสับกระส่ายหรือหัวใจเต้นเร็วในทารกได้
Theophylline เป็นยาขยายหลอดลมในกลุ่ม Methylxanthines ที่มีกลไกการออกฤทธิ์ที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพในการควบคุมอาการของโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) อย่างไรก็ตาม ยานี้มีช่วงการรักษาที่แคบ ทำให้จำเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยต้องมีการติดตามระดับยาในเลือดเป็นประจำ และเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่รุนแรง การทำความเข้าใจปฏิกิริยาระหว่างยาและปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับยาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การใช้ Theophylline ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงจากการใช้ยา
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ
![]() |
โรคหอบหืด โรคหอบหืดเป็นโรคที่เกิดจากภูมิแพ้จะมีอาการหอบ หรือเหนื่อยเมื่อสัมผัสสารภูมิแพ้ การรักษาต้องหลีกเลี่ยงและใช้ยาพ่นป้องกันอาการหอบหืด โรคหอบหืด |
![]() |
โรคปอดบวม โรคปอดบวมเกิดจากปอดติดเชื้อโรคทำให้มีเซลล์เม็ดเลือดขาว และเชื้อโรคในปอด ผู้ป่วยจะมีอาการหอบเหนื่อย ไอมีเสมหะ ไข้สูง ปอดบวม |
![]() |
โรคหลอดลมอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบเกิดจากเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม ผู้ป่วยจะมีไข้ ไอ แต่ไม่หอบมาก หลอดลมอักเสบ |