หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและสำคัญเกี่ยวกับ ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-agonists ซึ่งเป็นยาสำคัญที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยาในกลุ่มนี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และทราบถึงประเภท กลไกการออกฤทธิ์ ข้อบ่งใช้ และข้อควรระวังต่างๆ ที่สำคัญ การมีความรู้เกี่ยวกับยาที่คุณใช้จะช่วยให้คุณจัดการกับอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-agonists เป็นยาที่ออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นตัวรับเบต้า (Beta-receptors) ในร่างกาย โดยเฉพาะที่ปอด ทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบที่หลอดลม ส่งผลให้หลอดลมขยายตัว หายใจได้สะดวกขึ้น และบรรเทาอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด และไอได้ ยาในกลุ่มนี้เป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาและบรรเทาอาการของโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
ยาในกลุ่ม Beta-agonists แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามระยะเวลาการออกฤทธิ์:
ยาออกฤทธิ์สั้น (Short-Acting Beta-Agonists - SABA):
ออกฤทธิ์เร็ว (ภายในไม่กี่นาที) และมีระยะเวลาการออกฤทธิ์สั้น (ประมาณ 4-6 ชั่วโมง)
ใช้สำหรับ บรรเทาอาการเฉียบพลัน (Reliever/Rescue medication) เช่น อาการหอบกำเริบ
ตัวอย่างยา: Salbutamol (อัลบูเทอรอล) / Albuterol, Terbutaline
ยาออกฤทธิ์นาน (Long-Acting Beta-Agonists - LABA):
ออกฤทธิ์ช้ากว่า SABA แต่มีระยะเวลาการออกฤทธิ์ยาวนาน (ประมาณ 12-24 ชั่วโมง)
ใช้สำหรับ ควบคุมอาการระยะยาว และป้องกันอาการกำเริบ (Controller/Maintenance medication) มักใช้ร่วมกับยาควบคุมอาการอื่นๆ เช่น สเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น (Inhaled Corticosteroids - ICS)
ตัวอย่างยา: Salmeterol, Formoterol, Indacaterol, Olodaterol
ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-agonists ทำงานโดยการจับกับและกระตุ้นตัวรับ Beta-2 adrenergic receptors ซึ่งมีอยู่มากบนผิวของเซลล์กล้ามเนื้อเรียบที่ผนังหลอดลม เมื่อตัวรับ Beta-2 ถูกกระตุ้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเซลล์ที่นำไปสู่:
การคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบหลอดลม: ทำให้หลอดลมที่หดตัวอยู่คลายตัวและขยายกว้างขึ้น
เพิ่มการไหลเวียนของอากาศ: ช่วยให้อากาศสามารถเข้าและออกจากปอดได้สะดวกขึ้น
บรรเทาอาการทางเดินหายใจ: ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกโล่งขึ้น ลดอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก และหายใจมีเสียงหวีด
ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-agonists ใช้รักษาโรคระบบทางเดินหายใจเป็นหลัก:
โรคหอบหืด (Asthma):
SABA: ใช้สำหรับบรรเทาอาการหอบหืดเฉียบพลัน หรือก่อนการออกกำลังกายเพื่อป้องกันอาการหอบที่เกิดจากการออกกำลังกาย (Exercise-Induced Asthma)
LABA: ใช้สำหรับควบคุมอาการหอบหืดระยะยาวและป้องกันอาการกำเริบ มักใช้ร่วมกับสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น (ICS-LABA combination) ห้ามใช้ LABA เดี่ยวๆ ในการรักษาหอบหืด
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease - COPD):
ทั้ง SABA และ LABA สามารถใช้ได้ใน COPD
SABA: ใช้บรรเทาอาการหายใจลำบากในผู้ป่วย COPD ที่มีอาการเฉียบพลัน
LABA: ใช้สำหรับควบคุมอาการระยะยาว ลดอาการหายใจลำบาก และลดความถี่ของการกำเริบของโรคในผู้ป่วย COPD (อาจใช้เดี่ยวๆ หรือร่วมกับยาอื่น เช่น LAMA หรือ ICS)
ภาวะอื่นๆ ที่มีการหดตัวของหลอดลม: เช่น ภาวะหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) ที่มีอาการหลอดลมหดตัว
ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-agonists มีหลายรูปแบบการบริหารยาที่แตกต่างกันไป:
ยาพ่นสูด (Inhalers): เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากยาออกฤทธิ์ตรงที่ปอด
Metered-Dose Inhaler (MDI): แบบพ่นฝอยละออง
Dry Powder Inhaler (DPI): แบบผงแห้ง
วิธีการพ่นที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ควรเรียนรู้วิธีการใช้จากแพทย์หรือเภสัชกร
ยาสำหรับพ่นละอองฝอย (Nebulizer Solution): ใช้กับเครื่องพ่นละอองฝอย (nebulizer) เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือเด็กเล็ก/ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถใช้ยาพ่นสูดได้
ยาเม็ดรับประทาน: (พบน้อยกว่าและไม่แนะนำเป็นยาหลักสำหรับหอบหืด/COPD เนื่องจากมีผลข้างเคียงทั่วร่างกายมากกว่า)
ยาฉีด: ใช้ในกรณีฉุกเฉินที่มีอาการรุนแรงมาก (บริหารโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น)
ขนาดยาและวิธีการใช้: จะแตกต่างกันไปตามชนิดของยา รูปแบบยา และโรคที่รักษา แพทย์จะเป็นผู้กำหนดขนาดยาที่เหมาะสม ห้ามปรับขนาดยาเองเด็ดขาด
การแจ้งข้อมูลสุขภาพของคุณอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-agonists คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับ:
ประวัติการแพ้ยา: เคยแพ้ยาในกลุ่ม Beta-agonists หรือส่วนประกอบใดๆ ในยาหรือไม่
โรคประจำตัวอื่นๆ: โดยเฉพาะ
โรคหัวใจและหลอดเลือด: เช่น โรคหัวใจขาดเลือด, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, ความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน: (ยาอาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เล็กน้อย)
โรคไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism):
โรคลมชัก (Seizure disorder):
ภาวะระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia):
การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์:
การให้นมบุตร:
ยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรอื่นๆ ที่กำลังใช้: รวมถึงยาที่ซื้อเอง โดยเฉพาะยาโรคหัวใจ (เช่น Beta-blockers), ยาขับปัสสาวะ, ยาแก้ซึมเศร้าบางชนิด (เช่น Tricyclic Antidepressants, MAOIs)
ควรใช้ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-agonists ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยบางราย:
ห้ามใช้ยาออกฤทธิ์นาน (LABA) เดี่ยวๆ ในการรักษาโรคหอบหืด: LABA ต้องใช้ร่วมกับสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น (ICS) เสมอในผู้ป่วยหอบหืด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหอบหืดกำเริบรุนแรงและเสียชีวิต
การใช้ยาเกินขนาด: การใช้ยา SABA (ยาบรรเทาอาการเฉียบพลัน) บ่อยครั้งเกินไป หรือใช้ LABA ในขนาดสูงเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ และความดันโลหิตสูง หากต้องใช้ SABA บ่อยกว่าปกติ (เช่น มากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์) นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าอาการหอบหืดของคุณยังควบคุมได้ไม่ดี ควรปรึกษาแพทย์
ผู้ป่วยโรคหัวใจ: ควรใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ผู้ป่วยเบาหวาน: อาจต้องมีการติดตามระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากยาอาจทำให้ระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia): ยาอาจลดระดับโพแทสเซียมในเลือดได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ในขนาดสูง หรือร่วมกับยาขับปัสสาวะ
การดื้อยา: การใช้ยา SABA บ่อยครั้งเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะดื้อยา ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้น้อยลง
อาการที่ต้องเฝ้าระวังและควรพบแพทย์ทันที:
อาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด: ใจสั่นรุนแรง, หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ, เจ็บหน้าอก, ความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ, หัวใจเต้นผิดจังหวะ
อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: ผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว, บวมที่ใบหน้า ลิ้น หรือคอ, หายใจลำบาก (เป็นภาวะฉุกเฉิน)
อาการระบบประสาท: มือสั่น, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, ปวดศีรษะรุนแรง
อาการหอบแย่ลง: หลังใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือแย่ลงกว่าเดิม
การตรวจพิเศษ:
โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีการตรวจพิเศษใดๆ เป็นประจำ นอกจากการประเมินอาการทางคลินิกและการทำงานของปอด (เช่น การวัดค่า PEFR หรือ Spirometry)
อาจมีการตรวจระดับโพแทสเซียมในเลือดในผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยง
ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-agonists สามารถทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ได้บางชนิด สิ่งสำคัญคือ ต้องแจ้งรายการยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอ
ยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:
Beta-blockers: ยาลดความดันโลหิตหรือยาโรคหัวใจกลุ่ม Beta-blockers (เช่น Propranolol, Atenolol) สามารถลดทอนฤทธิ์ของยา Beta-agonists ได้ และอาจทำให้หลอดลมหดเกร็ง โดยเฉพาะ Beta-blockers ชนิดไม่เลือกออกฤทธิ์ (Non-selective Beta-blockers) ควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกัน
ยาขับปัสสาวะ (Diuretics): โดยเฉพาะยาขับปัสสาวะที่ลดโพแทสเซียม (Loop/Thiazide diuretics) อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
ยาแก้ซึมเศร้าบางชนิด:
Tricyclic Antidepressants (TCAs): เช่น Amitriptyline
Monoamine Oxidase Inhibitors (MAOIs): เช่น Phenelzine
ยาเหล่านี้อาจเสริมฤทธิ์ของ Beta-agonists ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
Theophylline: การใช้ร่วมกันอาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย (มักเกิดจากการใช้ยาเกินขนาด หรือไวต่อยา):
ระบบประสาท: มือสั่น (Tremor), วิตกกังวล, กระสับกระส่าย, นอนไม่หลับ, ปวดศีรษะ
ระบบหัวใจและหลอดเลือด: ใจสั่น, หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia), ความดันโลหิตสูง
ระบบทางเดินหายใจ: ไอ, เจ็บคอ, ระคายเคืองในลำคอ (จากการพ่นยา)
กล้ามเนื้อ: ปวดกล้ามเนื้อ, เป็นตะคริว
เมตาบอลิซึม: ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia), ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเล็กน้อย (Hyperglycemia)
ผลข้างเคียงที่พบน้อยแต่รุนแรง:
หัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง (Serious Arrhythmias)
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Myocardial Ischemia): (พบน้อยมาก)
หลอดลมหดเกร็ง (Paradoxical Bronchospasm): อาการหอบแย่ลงทันทีหลังพ่นยา (พบน้อยมากและเป็นอันตรายถึงชีวิต)
ปฏิกิริยาการแพ้ยาอย่างรุนแรง (Anaphylaxis): ผื่นลมพิษทั่วตัว, บวม, หายใจลำบาก
หากพบอาการรุนแรง หรืออาการที่น่ากังวล ควรรีบหยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที
ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด: ห้ามเพิ่มขนาดยาหรือใช้ยาบ่อยกว่าที่กำหนด
เรียนรู้วิธีการใช้ยาพ่นสูดที่ถูกต้อง: เพื่อให้ยาเข้าสู่ปอดได้เต็มที่และลดผลข้างเคียงที่คอหรือทั่วร่างกาย
ในกรณีที่เกิดอาการมือสั่นหรือใจสั่น: มักจะดีขึ้นเมื่อใช้ยาต่อเนื่องไปสักระยะ หากอาการรบกวนมาก ควรปรึกษาแพทย์
หากต้องใช้ยา SABA (ยาบรรเทาอาการ) บ่อยกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์: นั่นเป็นสัญญาณว่าอาการหอบหืดของคุณยังควบคุมได้ไม่ดี ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา
หลีกเลี่ยงการใช้ LABA เดี่ยวๆ ในผู้ป่วยหอบหืด: ควรใช้ร่วมกับสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น (ICS)
แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับยาทุกชนิดที่ใช้อยู่: เพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยา
หากได้รับยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-agonists เกินขนาด อาจเกิดอาการรุนแรง เช่น ใจสั่นรุนแรง, หัวใจเต้นเร็วมาก, เจ็บหน้าอก, ความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ, มือสั่นมาก, วิตกกังวล, คลื่นไส้, เวียนศีรษะ หรือมีภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ วิธีแก้ไข: ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลหรือปรึกษาแพทย์ทันที การรักษาจะเน้นที่การดูแลประคับประคองและรักษาตามอาการเฉพาะหน้า
สำหรับยา SABA (ยาบรรเทาอาการ): ใช้เมื่อมีอาการเท่านั้น จึงไม่มี "การลืม" รับประทานยาเป็นประจำ
สำหรับยา LABA (ยาควบคุมอาการ):
หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้
หากใกล้ถึงเวลาของยาครั้งถัดไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรับประทานตามตารางปกติ
ห้ามรับประทานยาเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อชดเชยยาที่ลืมเด็ดขาด
เก็บยาตามคำแนะนำบนฉลาก: โดยทั่วไปเก็บที่อุณหภูมิห้อง ป้องกันแสงและความชื้น
ยาพ่นสูด (Inhalers): ควรเก็บให้พ้นจากแสงแดดและความร้อนจัด ห้ามเจาะหรือเผาทำลายกระป๋องยา
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง:
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยาเสมอ: ห้ามใช้ยาที่หมดอายุแล้ว
สตรีมีครรภ์: การใช้ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-agonists ในสตรีมีครรภ์ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น โดยแพทย์จะพิจารณาถึงประโยชน์และความเสี่ยงต่อทั้งมารดาและทารก ภาวะหอบหืดที่ไม่ได้รับการควบคุมที่ดีอาจเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์มากกว่าผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยา
การให้นมบุตร: ยาเหล่านี้อาจผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้ในปริมาณเล็กน้อย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตรขณะใช้ยานี้
ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Beta-agonists เป็นยาสำคัญที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โดยช่วยขยายหลอดลมและบรรเทาอาการทางเดินหายใจ ด้วยประเภทที่หลากหลาย (ออกฤทธิ์สั้นและออกฤทธิ์นาน) ทำให้สามารถใช้ได้ทั้งเพื่อบรรเทาอาการเฉียบพลันและควบคุมอาการระยะยาว อย่างไรก็ตาม การใช้ยาในกลุ่มนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการใช้ยาในขนาดที่เหมาะสม การเรียนรู้วิธีการใช้ยาพ่นที่ถูกต้อง และการเฝ้าระวังผลข้างเคียง จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุดจากยาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ
![]() |
โรคหอบหืด โรคหอบหืดเป็นโรคที่เกิดจากภูมิแพ้จะมีอาการหอบ หรือเหนื่อยเมื่อสัมผัสสารภูมิแพ้ การรักษาต้องหลีกเลี่ยงและใช้ยาพ่นป้องกันอาการหอบหืด โรคหอบหืด |
![]() |
โรคปอดบวม โรคปอดบวมเกิดจากปอดติดเชื้อโรคทำให้มีเซลล์เม็ดเลือดขาว และเชื้อโรคในปอด ผู้ป่วยจะมีอาการหอบเหนื่อย ไอมีเสมหะ ไข้สูง ปอดบวม |
![]() |
โรคหลอดลมอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบเกิดจากเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม ผู้ป่วยจะมีไข้ ไอ แต่ไม่หอบมาก หลอดลมอักเสบ |
วันที่เผยแพร่: 29 กรกฎาคม 2568, 16:00 น. ผู้เขียน: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่มา: SiamHealth.net