หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
วันที่เผยแพร่: 29 กรกฎาคม 2568, 16:30 น. ผู้เขียน: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่มา: SiamHealth.net
บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครอบคลุมและสำคัญเกี่ยวกับ ยาขยายหลอดลม ซึ่งเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาและบรรเทาอาการของโรคระบบทางเดินหายใจหลายชนิด เช่น โรคหอบหืด (Asthma), โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และภาวะอื่นๆ ที่มีการตีบแคบของหลอดลม จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยาในกลุ่มนี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และทราบถึงประเภท กลไกการออกฤทธิ์ ข้อบ่งใช้ และข้อควรระวังต่างๆ ที่สำคัญ การมีความรู้เกี่ยวกับยาที่คุณใช้จะช่วยให้คุณจัดการกับอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ยาขยายหลอดลม (Bronchodilators) คือกลุ่มยาที่ทำหน้าที่คลายกล้ามเนื้อเรียบที่อยู่รอบๆ หลอดลมในปอด ทำให้หลอดลมที่ตีบแคบอยู่ขยายตัวออก อากาศสามารถไหลเข้าและออกจากปอดได้สะดวกขึ้น จึงช่วยบรรเทาอาการหายใจลำบาก แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด และไอ ยาขยายหลอดลมเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการอาการของโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และเป็นยาที่ผู้ป่วยมักจะต้องใช้เป็นประจำ หรือใช้เมื่อมีอาการกำเริบ
ยาขยายหลอดลมหลักๆ แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มตามกลไกการออกฤทธิ์:
กลุ่ม Beta-agonists:
ยาออกฤทธิ์สั้น (SABA): เช่น Salbutamol (Albuterol), Terbutaline
ยาออกฤทธิ์นาน (LABA): เช่น Salmeterol, Formoterol, Indacaterol, Olodaterol
กลุ่ม Anticholinergics:
ยาออกฤทธิ์สั้น (SAMA): เช่น Ipratropium bromide
ยาออกฤทธิ์นาน (LAMA): เช่น Tiotropium bromide, Aclidinium, Umeclidinium
กลุ่ม Methylxanthines: เช่น Theophylline, Aminophylline (ปัจจุบันใช้น้อยลง)
นอกจากนี้ อาจมียาขยายหลอดลมที่อยู่ในรูปแบบยาผสม ซึ่งรวมยาสองชนิดขึ้นไปเพื่อเสริมฤทธิ์กัน เช่น LABA+LAMA หรือ Beta-agonists+Anticholinergics
ยาขยายหลอดลมแต่ละกลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการคลายกล้ามเนื้อเรียบหลอดลม:
กลุ่ม Beta-agonists:
กระตุ้นตัวรับ Beta-2 adrenergic receptors ที่ผนังหลอดลมโดยตรง ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว หลอดลมจึงขยาย
กลุ่ม Anticholinergics:
ยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาท Acetylcholine ซึ่งเป็นสารที่ทำให้กล้ามเนื้อเรียบหลอดลมหดตัว เมื่อถูกยับยั้ง หลอดลมก็จะคลายตัว
กลุ่ม Methylxanthines:
มีกลไกซับซ้อนหลายอย่าง เช่น ยับยั้งเอนไซม์ Phosphodiesterase (PDE) ซึ่งจะเพิ่มระดับสาร Cyclic AMP (cAMP) ในเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและกระตุ้นการหายใจเล็กน้อย
การทำงานของยาขยายหลอดลมเหล่านี้ช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น อากาศไหลเข้าออกได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยหายใจได้สบายขึ้น
ยาขยายหลอดลมเป็นยาหลักในการจัดการโรคระบบทางเดินหายใจที่มีอาการหลอดลมตีบ:
โรคหอบหืด (Asthma):
SABA (ยาออกฤทธิ์สั้น): ใช้สำหรับบรรเทาอาการหอบหืดเฉียบพลัน และใช้ก่อนการออกกำลังกายเพื่อป้องกันอาการ
LABA (ยาออกฤทธิ์นาน): ใช้สำหรับควบคุมอาการหอบหืดระยะยาวและป้องกันอาการกำเริบ (ต้องใช้ร่วมกับสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น - ICS เสมอ)
SAMA (ยา Anticholinergics ออกฤทธิ์สั้น): อาจใช้ในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อ SABA หรือใช้ร่วมกับ SABA ในภาวะหอบหืดกำเริบรุนแรง
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease - COPD):
SABA, LABA, SAMA, LAMA (ยาออกฤทธิ์สั้นและนานทุกกลุ่ม): สามารถใช้ได้ใน COPD เพื่อบรรเทาอาการหายใจลำบากและลดความถี่ของการกำเริบของโรค โดย LAMA และ LABA เป็นยาควบคุมอาการหลัก (Maintenance therapy)
ภาวะหลอดลมอักเสบ (Bronchitis): ที่มีอาการหลอดลมหดตัว
ภาวะอื่นๆ ที่มีการหดตัวของหลอดลม:
ยาขยายหลอดลมมีหลายรูปแบบการบริหารยาที่แตกต่างกันไป เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด:
ยาพ่นสูด (Inhalers): เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากยาออกฤทธิ์ตรงที่ปอด การใช้ยาพ่นที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
Metered-Dose Inhaler (MDI): แบบพ่นฝอยละออง
Dry Powder Inhaler (DPI): แบบผงแห้ง
Soft Mist Inhaler (SMI): แบบละอองฝอยนุ่ม
ควรเรียนรู้วิธีการพ่นยาที่ถูกต้องจากแพทย์หรือเภสัชกร และฝึกฝนเป็นประจำ
ยาสำหรับพ่นละอองฝอย (Nebulizer Solution): ใช้กับเครื่องพ่นละอองฝอย (nebulizer) เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุที่ไม่สามารถใช้ยาพ่นสูดได้
ยาเม็ดรับประทาน: (พบน้อยกว่าและไม่แนะนำเป็นยาหลักสำหรับหอบหืด/COPD เนื่องจากมีผลข้างเคียงทั่วร่างกายมากกว่า)
ยาฉีด: ใช้ในกรณีฉุกเฉินที่มีอาการรุนแรงมาก (บริหารโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น)
ขนาดยาและวิธีการใช้: จะแตกต่างกันไปตามชนิดของยา รูปแบบยา และโรคที่รักษา แพทย์จะเป็นผู้กำหนดขนาดยาที่เหมาะสม ห้ามปรับขนาดยาเองเด็ดขาด
การแจ้งข้อมูลสุขภาพของคุณอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ ยาขยายหลอดลม คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับ:
ประวัติการแพ้ยา: เคยแพ้ยาขยายหลอดลมชนิดใดๆ หรือส่วนประกอบใดๆ ในยาหรือไม่
โรคประจำตัวอื่นๆ: โดยเฉพาะ:
โรคหัวใจและหลอดเลือด: เช่น โรคหัวใจขาดเลือด, หัวใจเต้นผิดจังหวะ (โดยเฉพาะ AF), หัวใจล้มเหลว, ความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน: (ยา Beta-agonists อาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เล็กน้อย)
โรคไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism):
โรคลมชัก (Seizure disorder):
ภาวะระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia):
โรคต้อหิน (Glaucoma) (โดยเฉพาะยา Anticholinergics)
โรคต่อมลูกหมากโต (Prostatic Hypertrophy) หรือปัญหาการปัสสาวะ (โดยเฉพาะยา Anticholinergics)
การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์:
การให้นมบุตร:
ยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรอื่นๆ ที่กำลังใช้: รวมถึงยาที่ซื้อเอง โดยเฉพาะยาโรคหัวใจ (เช่น Beta-blockers, Digoxin), ยาขับปัสสาวะ, ยาแก้ซึมเศร้าบางชนิด, ยาที่กดระบบประสาทส่วนกลาง
ควรใช้ยาขยายหลอดลมด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยบางราย:
การใช้ยาเกินขนาด หรือใช้ SABA บ่อยเกินไป: การใช้ยาขยายหลอดลมเกินขนาด หรือใช้ยาออกฤทธิ์สั้น (SABA) บ่อยครั้งเกินกว่าที่แพทย์กำหนด (เช่น มากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์สำหรับหอบหืด) เป็นสัญญาณว่าอาการยังควบคุมไม่ได้ดี และอาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ และความดันโลหิตสูง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา
ห้ามใช้ยาออกฤทธิ์นาน (LABA) เดี่ยวๆ ในการรักษาโรคหอบหืด: LABA ต้องใช้ร่วมกับสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น (Inhaled Corticosteroids - ICS) เสมอในผู้ป่วยหอบหืด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหอบหืดกำเริบรุนแรงและเสียชีวิต
ผู้ป่วยโรคหัวใจ: ควรใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ผู้ป่วยเบาหวาน: อาจต้องมีการติดตามระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากยา Beta-agonists อาจทำให้ระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia): ยา Beta-agonists อาจลดระดับโพแทสเซียมในเลือดได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ในขนาดสูง หรือร่วมกับยาขับปัสสาวะ
ต้อหินและต่อมลูกหมากโต (สำหรับยา Anticholinergics): ยา Anticholinergics อาจทำให้อาการต้อหินมุมปิดแย่ลง หรือทำให้อาการปัสสาวะลำบากในผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตแย่ลงได้
การดื้อยา: การใช้ยา SABA บ่อยครั้งเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะดื้อยา ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้น้อยลง
อาการที่ต้องเฝ้าระวังและควรพบแพทย์ทันที:
อาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด: ใจสั่นรุนแรง, หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ, เจ็บหน้าอก, ความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ, หัวใจเต้นผิดจังหวะ
อาการแพ้ยาอย่างรุนแรง: ผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว, บวมที่ใบหน้า ลิ้น หรือคอ, หายใจลำบาก (เป็นภาวะฉุกเฉิน)
อาการทางระบบประสาท: มือสั่น, วิตกกังวล, กระสับกระส่าย, นอนไม่หลับ, ปวดศีรษะรุนแรง
อาการหอบแย่ลง (Paradoxical Bronchospasm): หลังใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือแย่ลงกว่าเดิมทันทีหลังพ่นยา (พบน้อยมากและเป็นอันตรายถึงชีวิต)
ปัสสาวะลำบากหรือปัสสาวะไม่ออก: (โดยเฉพาะยา Anticholinergics ในผู้ชายสูงอายุ)
ตาพร่ามัว, ปวดตา: (โดยเฉพาะยา Anticholinergics)
การตรวจพิเศษ:
โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีการตรวจพิเศษใดๆ เป็นประจำ นอกจากการประเมินอาการทางคลินิกและการทำงานของปอด (เช่น การวัดค่า PEFR หรือ Spirometry)
อาจมีการตรวจระดับโพแทสเซียมในเลือดในผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยง (จาก Beta-agonists)
ยาขยายหลอดลม สามารถทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ได้บางชนิด สิ่งสำคัญคือ ต้องแจ้งรายการยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอ
Beta-blockers: ยาลดความดันโลหิตหรือยาโรคหัวใจกลุ่ม Beta-blockers (เช่น Propranolol, Atenolol) สามารถลดทอนฤทธิ์ของยา Beta-agonists ได้ และอาจทำให้หลอดลมหดเกร็ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกัน
ยาขับปัสสาวะ (Diuretics): โดยเฉพาะยาขับปัสสาวะที่ลดโพแทสเซียม (Loop/Thiazide diuretics) อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (เมื่อใช้ร่วมกับ Beta-agonists)
ยาแก้ซึมเศร้าบางชนิด:
Tricyclic Antidepressants (TCAs): เช่น Amitriptyline
Monoamine Oxidase Inhibitors (MAOIs): เช่น Phenelzine
ยาเหล่านี้อาจเสริมฤทธิ์ของ Beta-agonists ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
Theophylline: การใช้ร่วมกันอาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง (จาก Beta-agonists และ Methylxanthines)
ยา Anticholinergics อื่นๆ: การใช้ LAMA ร่วมกับ SAMA อาจเพิ่มผลข้างเคียง (เช่น ปากแห้ง, ปัสสาวะลำบาก)
ยาที่กดระบบประสาทส่วนกลาง: อาจเสริมฤทธิ์ยา Methylxanthines ที่อาจทำให้เกิดอาการสับสนได้
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย (มักเกิดจากการใช้ยาเกินขนาด หรือไวต่อยา):
กลุ่ม Beta-agonists: มือสั่น, ใจสั่น, หัวใจเต้นเร็ว, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, ปวดศีรษะ
กลุ่ม Anticholinergics: ปากแห้ง, คอแห้ง, ปัสสาวะลำบาก (โดยเฉพาะในผู้ชายสูงอายุ), ท้องผูก, ตาพร่ามัวชั่วคราว
กลุ่ม Methylxanthines: คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้อง, ใจสั่น, หัวใจเต้นเร็ว, นอนไม่หลับ, ปวดศีรษะ
ผลข้างเคียงที่พบน้อยแต่รุนแรง:
หัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง (Serious Arrhythmias) (จาก Beta-agonists และ Methylxanthines)
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Myocardial Ischemia): (พบน้อยมากจาก Beta-agonists)
หลอดลมหดเกร็ง (Paradoxical Bronchospasm): อาการหอบแย่ลงทันทีหลังพ่นยา (พบน้อยมากและเป็นอันตรายถึงชีวิต)
ปฏิกิริยาการแพ้ยาอย่างรุนแรง (Anaphylaxis): ผื่นลมพิษทั่วตัว, บวม, หายใจลำบาก
ต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน: (จาก Anticholinergics ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง)
หากพบอาการรุนแรง หรืออาการที่น่ากังวล ควรรีบหยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที
ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด: ห้ามเพิ่มขนาดยาหรือใช้ยาบ่อยกว่าที่กำหนด
เรียนรู้วิธีการใช้ยาพ่นสูดที่ถูกต้อง: เพื่อให้ยาเข้าสู่ปอดได้เต็มที่และลดผลข้างเคียงที่คอหรือทั่วร่างกาย
ในกรณีที่เกิดอาการมือสั่นหรือใจสั่น (จาก Beta-agonists): มักจะดีขึ้นเมื่อใช้ยาต่อเนื่องไปสักระยะ หากอาการรบกวนมาก ควรปรึกษาแพทย์
หากมีอาการปากแห้ง (จาก Anticholinergics): สามารถจิบน้ำบ่อยๆ หรืออมลูกอมช่วย
หากต้องใช้ยา SABA (ยาบรรเทาอาการ) บ่อยกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์: นั่นเป็นสัญญาณว่าอาการหอบหืดของคุณยังควบคุมได้ไม่ดี ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา
หลีกเลี่ยงการใช้ LABA เดี่ยวๆ ในผู้ป่วยหอบหืด: ควรใช้ร่วมกับสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น (ICS)
แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับยาทุกชนิดที่ใช้อยู่: เพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยา
หากได้รับยาขยายหลอดลมเกินขนาด อาจเกิดอาการรุนแรง เช่น ใจสั่นรุนแรง, หัวใจเต้นเร็วมาก, เจ็บหน้าอก, ความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ, มือสั่นมาก, วิตกกังวล, คลื่นไส้, เวียนศีรษะ หรือมีภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (จาก Beta-agonists) วิธีแก้ไข: ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลหรือปรึกษาแพทย์ทันที การรักษาจะเน้นที่การดูแลประคับประคองและรักษาตามอาการเฉพาะหน้า
สำหรับยา SABA (ยาบรรเทาอาการ): ใช้เมื่อมีอาการเท่านั้น จึงไม่มี "การลืม" รับประทานยาเป็นประจำ
สำหรับยาควบคุมอาการ (LABA, LAMA, หรือยา Methylxanthines ชนิดออกฤทธิ์นาน):
หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้
หากใกล้ถึงเวลาของยาครั้งถัดไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรับประทานตามตารางปกติ
ห้ามรับประทานยาเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อชดเชยยาที่ลืมเด็ดขาด
เก็บยาตามคำแนะนำบนฉลาก: โดยทั่วไปเก็บที่อุณหภูมิห้อง ป้องกันแสงและความชื้น
ยาพ่นสูด (Inhalers): ควรเก็บให้พ้นจากแสงแดดและความร้อนจัด ห้ามเจาะหรือเผาทำลายกระป๋องยา
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง:
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยาเสมอ: ห้ามใช้ยาที่หมดอายุแล้ว
สตรีมีครรภ์: การใช้ยาขยายหลอดลมในสตรีมีครรภ์ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น โดยแพทย์จะพิจารณาถึงประโยชน์และความเสี่ยงต่อทั้งมารดาและทารก ภาวะหอบหืดที่ไม่ได้รับการควบคุมที่ดีอาจเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์มากกว่าผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยา
การให้นมบุตร: ยาเหล่านี้อาจผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้ในปริมาณเล็กน้อย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตรขณะใช้ยานี้
ยาขยายหลอดลม (Bronchodilators) เป็นยาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการอาการของโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ เช่น โรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โดยมีกลไกที่หลากหลายในการช่วยขยายหลอดลมและทำให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้น การทำความเข้าใจประเภทของยา (ออกฤทธิ์สั้นและออกฤทธิ์นาน) และวิธีการใช้ยาพ่นที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่างไรก็ตาม การใช้ยาในกลุ่มนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การเรียนรู้ข้อควรระวัง ผลข้างเคียง และปฏิกิริยาระหว่างยา จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุดจากยาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ
![]() |
โรคหอบหืด โรคหอบหืดเป็นโรคที่เกิดจากภูมิแพ้จะมีอาการหอบ หรือเหนื่อยเมื่อสัมผัสสารภูมิแพ้ การรักษาต้องหลีกเลี่ยงและใช้ยาพ่นป้องกันอาการหอบหืด โรคหอบหืด |
![]() |
โรคปอดบวม โรคปอดบวมเกิดจากปอดติดเชื้อโรคทำให้มีเซลล์เม็ดเลือดขาว และเชื้อโรคในปอด ผู้ป่วยจะมีอาการหอบเหนื่อย ไอมีเสมหะ ไข้สูง ปอดบวม |
![]() |
โรคหลอดลมอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบเกิดจากเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม ผู้ป่วยจะมีไข้ ไอ แต่ไม่หอบมาก หลอดลมอักเสบ |