หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
การตรวจวิตามินบี 12 (Vitamin B12 Test) คือการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับของวิตามินบี 12 ในกระแสเลือด ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อร่างกายในการสร้างเม็ดเลือดแดงที่สมบูรณ์ และบำรุงรักษาระบบประสาทให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติ
วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเป็นหลัก โดยพบมากในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อปลา หอย นม ชีส และไข่
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่รับประทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์เป็นประจำมักไม่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินบี 12 เว้นแต่ร่างกายจะมีปัญหาในการดูดซึมวิตามินจากอาหาร อย่างไรก็ตาม กลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะขาดวิตามินบี 12 ได้แก่:
ผู้ที่ทานมังสวิรัติแบบเคร่งครัด (วีแกน): เนื่องจากไม่บริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์เลย
ทารกที่เกิดจากมารดาที่ทานมังสวิรัติแบบเคร่งครัด: อาจได้รับวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอผ่านทางน้ำนมแม่
กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้จึงควรได้รับวิตามินบี 12 ในรูปแบบอาหารเสริม เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจาง ทั้งนี้ ร่างกายสามารถเก็บสะสมวิตามินบี 12 ไว้ที่ตับได้นานเป็นปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะโลหิตจางได้ในระดับหนึ่ง
แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจระดับวิตามินบี 12 ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้:
เพื่อวินิจฉัยภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12: โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น เคยผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือลำไส้ มีปัญหาการดูดซึมที่ลำไส้เล็ก หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคโลหิตจางชนิดนี้
เพื่อหาสาเหตุของโรคโลหิตจางบางชนิด: เช่น โรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงใหญ่ (Megaloblastic Anemia) ซึ่งอาจเกิดจากการขาดวิตามินบี 12 หรือกรดโฟลิก (Folic Acid) หรือทั้งสองอย่าง การตรวจทั้งสองตัวพร้อมกันจึงเป็นเรื่องปกติ
เพื่อค้นหาสาเหตุของอาการทางระบบประสาท: เช่น ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) หรืออาการชาตามปลายมือปลายเท้า (Peripheral Neuropathy)
เพื่อประเมินภาวะขาดวิตามินบี 12: ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบชนิดฝ่อ (Atrophic Gastritis)
งดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด (ยกเว้นน้ำเปล่า) เป็นเวลา 10-12 ชั่วโมง ก่อนเข้ารับการเจาะเลือด
เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการจะดำเนินการเจาะเลือดโดยมีขั้นตอนดังนี้:
รัดแขนด้วยสายยางยืดเหนือข้อพับ เพื่อให้เห็นเส้นเลือดได้ชัดเจน
ทำความสะอาดบริเวณที่จะเจาะเลือดด้วยแอลกอฮอล์
ใช้เข็มเจาะเข้าไปในเส้นเลือด และเก็บตัวอย่างเลือดในหลอดสุญญากาศ (อาจต้องเจาะมากกว่า 1 ครั้งหากจำเป็น)
เมื่อได้ปริมาณเลือดที่เพียงพอ จะปลดสายรัดแขนออก
ดึงเข็มออกพร้อมกับใช้สำลีกดบริเวณที่เจาะเลือดไว้เพื่อห้ามเลือด
ปิดทับด้วยพลาสเตอร์หรือเทปทำแผล
ขณะที่สายยางรัดแขนอาจรู้สึกแน่นเล็กน้อย ส่วนการเจาะเลือดนั้นอาจไม่รู้สึกเจ็บเลย หรืออาจรู้สึกเหมือนโดนหนามตำหรือมดกัดเพียงชั่วครู่
การเจาะเลือดมีความเสี่ยงต่ำมาก ปัญหาที่อาจพบได้ ได้แก่:
รอยช้ำเล็กน้อย: สามารถลดความเสี่ยงได้โดยการกดบริเวณที่เจาะเลือดไว้สักครู่
หลอดเลือดอักเสบ (Phlebitis): เป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก หากเกิดขึ้น เส้นเลือดอาจบวม สามารถบรรเทาได้ด้วยการประคบอุ่นวันละหลายๆ ครั้ง
เลือดออกไม่หยุด: อาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติ หรือผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, วาร์ฟาริน (Coumadin) ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการเจาะเลือดเสมอ
ค่าปกติเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น แต่ละห้องปฏิบัติการอาจมีช่วงค่าอ้างอิง (Reference Range) ที่แตกต่างกันไป ควรยึดตามค่าที่ระบุในใบรายงานผลของท่าน และแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยผลตรวจโดยพิจารณาจากสุขภาพและปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย
110–1500 พิโคกรัมต่อมิลลิลิตร (pg/mL)
หรือ 81–1107 พิโคโมลต่อลิตร (pmol/L) (หน่วย SI)
ระดับวิตามินบี 12 ที่สูงกว่าปกติ อาจบ่งชี้ถึง:
โรคตับ เช่น โรคตับแข็ง (Cirrhosis) หรือโรคตับอักเสบ (Hepatitis)
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด (Leukemia)
ในบางกรณีที่พบได้น้อย อาจพบในผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคอ้วน (หมายเหตุ: การตรวจวิตามินบี 12 ไม่ใช่การตรวจหลักเพื่อวินิจฉัยโรคเหล่านี้)
ระดับวิตามินบี 12 ที่ต่ำกว่าปกติ อาจหมายถึง:
ภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาการดูดซึม เช่น โรคโลหิตจางชนิดร้ายแรง (Pernicious Anemia)
เคยได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร (Gastrectomy) หรือลำไส้เล็กส่วนปลาย (Terminal Ileum) ซึ่งเป็นบริเวณที่ดูดซึมวิตามินบี 12
การติดเชื้อพยาธิตัวตืดปลา (Fish Tapeworm)
การได้รับวิตามินบี 12 จากอาหารไม่เพียงพอ (พบได้น้อย)
ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) หรือภาวะโลหิตจางจากการขาดกรดโฟลิก
ระดับโปรตีนในเลือดสูงผิดปกติ เช่น จากโรคมะเร็งไขกระดูกมัลติเพิลมัยอิโลมา (Multiple Myeloma) อาจทำให้ผลตรวจวิตามินบี 12 ต่ำกว่าความเป็นจริงได้
ยาบางชนิด: ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาทุกชนิดที่กำลังรับประทาน
การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
การรับประทานวิตามินซีในปริมาณสูง
การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก
การตรวจทางรังสีวิทยาที่ใช้สารทึบรังสี (เช่น CT Scan) ภายใน 7 วันก่อนตรวจ
การมีภาวะ Pernicious Anemia: ซึ่งร่างกายขาดสาร Intrinsic Factor ที่จำเป็นต่อการดูดซึมวิตามินบี 12
กรดโฟลิก (Folic Acid): ระดับกรดโฟลิกอาจสูงขึ้นในผู้ที่ขาดวิตามินบี 12 แพทย์จึงมักสั่งตรวจควบคู่กันไป
กรดเมทิลมาโลนิก (Methylmalonic Acid - MMA): เป็นสารในเลือดที่จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อระดับวิตามินบี 12 ลดลง การตรวจ MMA อาจช่วยยืนยันผลการตรวจวิตามินบี 12 ได้
โฮโมซิสเตอีน (Homocysteine): ระดับของสารนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามระดับวิตามินบี 12 เนื่องจากความสัมพันธ์ในกระบวนการเมแทบอลิซึม