เมาไหม? ทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของแอลกอฮอล์
ปริมาณสุราในเลือดเท่าไรจึงเรียกว่าเมา
กลไกของการเกิดภาวะเมาสุรา การเมาสุราเกิดขึ้นได้จากการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ในปริมาณมากกว่าปกติ
- การดื่มประมาณ 5 หน่วยดื่มมาตรฐานขึ้นไปสำหรับผู้ชาย หรือ 4 หน่วยดื่มมาตรฐานขึ้นไปสำหรับผู้หญิงในเวลา 2 ชั่วโมง จะทำให้มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 0.08 กรัมต่อเดซิลิตร (ผู้ชายที่น้ำหนักตัว 68 กิโลกรัม เมื่อดื่มสุราปริมาณหนึ่งหน่วยดื่มมาตรฐาน สามารถเพิ่มระดับ แอลกอฮอล์ในเลือดให้สูงถึง 0.015-0.020 กรัมต่อเดซิลิตรต่อชั่วโมง)
ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดนิยมวัดเป็นหน่วยของปริมาณมวลของแอลกอฮอล์ (กรัม) ต่อปริมาตรของเลือดหนึ่ง หน่วย (เดซิลิตร) เช่น ระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 0.05 กรัมต่อเดซิลิตรหมายความว่า ใน เลือดปริมาตรหนึ่งเดซิลิตรมีมวลแอลกอฮอล์ 0.05 กรัม เป็นต้น เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย แอลกอฮอล์ประมาณร้อยละ 10-20 จะถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหาร แอลกอฮอล์ที่เหลือร้อยละ 80-90 ถูกดูดซึมผ่านลำไส้เล็ก ดังนั้น หากรับประทาน อาหารเข้าไปก่อน การดูดซึมแอลกอฮอล์จนหมดจะใช้เวลาประมาณ 1-3 ชั่วโมง โดยทั่วไป ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจะขึ้นสู่ระดับสูงสุดในเวลา 30-90 นาที
ระดับความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดจะขึ้นกับปัจจัยหลายประการได้แก่
- ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป
- อัตราเร่งของการดื่ม ยิ่งดื่มเร็วก็ยิ่งเมาเร็ว
- ชนิดของสุรา การดื่มวอดก้าจะทำให้ระดับแอลกอออล์ในเลือดสูงกว่าการดื่มเบียร์หรือไวน์ในขณะท้องว่าง แต่การดื่มเบียร์ทำให้ระดับแอลกอฮอล์สูงกว่าการดื่มวิสกี้ไม่ว่าจะเป็นการดื่มในระหว่างหรือหลังรับประทานอาหาร
- อายุ
- เพศ
- และลักษณะทางพันธุกรรมของผู้ดื่ม
อัตราการดูดซึมแอลกอฮอล์ โดยการดื่มสุรา ในขณะท้องว่างจะเพิ่มปริมาณการดูดซึม ส่วนการดื่มหลังอาหารจะลดปริมาณการดูดซึม แอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือด และอัตราการกeจัดอาหารออกจากกระเพาะอาหาร
อาการเมาสุราจะเกิดเมื่อระดับแอลกอฮอลล์มากกว่า 50 มิลิกรัมเปอร์เซ็นต จะเริ่มอาการเดินเซ เสียการทรงตัว
อาจจะทราบว่าเมาหรือไม่ โดยการเจาะเลือดตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดกับอาการแสดงของผู้ที่ดื่มสุรา
ตารางแสดงระดับสุราและพฤติกรรม
ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด (มิลิกรัมเปอร์เซ็นต์) |
อาการแสดง |
10-20 |
ไม่มีอาการ |
30 |
สนุกสนาน
ร่าเริง |
50 |
เสียการควบคุมเคลื่อนไหว |
100 |
เดินไม่ตรงทาง |
200 |
สับสน |
300 |
ง่วงซึม |
มากกว่า 400 |
สลบและอาจจะถึงตาย |
ในประเทศไทยได้กำหนดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด (blood alcohol concentration; BAC) สำหรับผู้ขับข่ ไม่ให้เกิน 0.05 กรัมเปอร์เซ็นต์ (หรือ 0.05 กรัมต่อ เดซิลิตร) ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 21 (พ.ศ. 2560) ออกตามความใน พระราชบัญญัติจราจร ทางบก พ.ศ. 25221
การสังเกตอาการเมาสุรา
ผู้ที่มีภาวะเมาสุราอาจจะมีลักษณะอาการที่แสดงออกทางร่างกายและพฤติกรรมหลายด้าน ซึ่งผู้ ใกล้ชิดอาจจะสังเกตูและประเมินได้เบื้องต้นดังนี้
1. สังเกตจากการแสดงออกทางร่างกาย อารมณ์และพฤติกรรม
- สังเกตจากการขับรถ ขับรถเร็วหรือช้าโดยไม่มีเหตุผล การขับรถความเร็วไม่คงที่ การหยุดรถไม่ถูกจังหวะหรือไม่เรียบร้อย การแซงไม่ถูกจังหวะ ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่เปิดไฟเมื่อขับรถกลางคืน ขับรถส่ายไปมา เปลี่ยนช่องทางจราจรบ่อยๆ
- ตาเยิ้มและแดง หรือหนังตาหย่อน ลืมตาไม่ค่อยไหว อย่างไรก็ตาม อาการตาแดงอาจมา จากโรคภูมิแพ้หรือโรคอื่นๆ ได้ จึงควรดูอาการอื่นร่วมด้วย
- สังเกตกลิ่นกาย คนที่เมามักจะมีกลิ่นแอลกอฮอล์ซึมออกมาจากตัว (พบได้มากในกลุ่ม เด็กและเยาวชน)
- การควบคุมการเคลื่อนไหว คนที่มีอาการเมาสุรามักจะเดินเป็นเส้นตรงไม่ได้เดินโซเซ มือสั่น จึงอาจจะจุดบุหรี่สูบไม่ได้ หรือทำน้ำหก เป็นต้น ซึ่งมีวิธีการสังเกตอาการทาง ร่างกายได้ดังนี้
- วิธีที่หนึ่ง "แตะจมูกตัวเอง": ให้บุคคลที่สงสัย ว่าเมาสุราหลับตา ยืดแขนไปข้างหน้าแล้วชี้นิ้ว จากนั้นงอศอกและนำเอานิ้วมาแตะจมูก พยายามแตะปลายจมูกโดยไม่ลืมตา หากแตะ ปลายจมูกไม่ได้ แปลว่าอาจเมาแล้ว
- วิธีที่สอง "เดินแล้วหัน": ให้บุคคลนั้นยืนตัวตรง จากนั้นเดินสลับเท้าแบบส้นชิดปลาย 9 ก้าว เป็นเส้นตรง หันตัวด้วยเท้า 1 ข้าง จากนั้นเดินสลับเท้าแบบส้นชิดปลายอีก 9 ก้าว หากเอาส้นเท้าชิดปลายไม่ได้ ต้องใช้แขน ช่วยพยุง หรือล้ม แปลว่าอาจเมาแล้ว
- วิธีที่สาม "ยืนขาเดียว": ให้บุคคลนั้นยืนตัวตรง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นจากพื้น 15 ซม. เริ่มนับ "1000, 1001, 1002..." จนกว่าจะครบ 30 วินาที หากตัวเซวางเท้าลง เขย่ง หรือใช้แขน ทรงตัว แปลว่าอาจเมาแล้ว
- การควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม พูดโพล่งเสียงดัง พูดจาไม่เหมาะสม ผู้ดื่มสุรามักจะสูบบุหรี่ด้วย แต่คนที่ปกติไม่สูบบุหรี่อาจจะจุดบุหรี่สูบในขณะที่มีอาการเมาสุราก็ได้ ซึ่ง เป็นอาการแสดงเริ่มแรกที่อาจสังเกตุได้
- พูดไม่ชัดเจน พูดอ้อแอ้ รวบคำเข้าด้วยกัน จนอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง เป็นอาการที่พบได้บ่อย ในคนที่เมาสุรา แต่ก็อาจจะเกิดจากภาวะทางสมองอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ คนเมาสุราก็อาจจะพูดตะกุกตะกัก พูดช้าลงเหมือนนึกคำพูดไม่ออก หรือพูดซ้ำซากวกวนไป มาก็ได้
- พูดจาและกิริยาไม่เหมาะสม คนเมาสุรามักมีการตัดสินใจและความยับยั้งชั่งใจบกพร่อง จึงมักจะแสดงกิริยาวาจาที่ไม่เหมาะสม เช่น พูดขาเกี้ยวพาราสีลวนลามผู้อื่น พูดจา ก้าวร้าวหาเรื่องคนอื่น หรือพูดตลกสกปรกที่ไม่เหมาะสมกับกาละเทศะ และเป็นกิริยาวาจาที่คนๆ นั้นไม่มีในภาวะปกติ
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายและแสดงอารมณ์ออกอย่างไม่เหมาะสม คนเมามักจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล หรือแสดงอารมร์เศร้าหรือก้าวร้าวสลับไปมา เป็นต้น
- สังเกตจากการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นด้วยวิธีอื่นๆ คนเมาสุราบางคนอาจจะ โทรศัพท์หรือส่งข้อความทางโทรศัพท์ไปยังคนที่เขาไม่ได้ติดต่ออยู่เป็นประจำ เช่น คนรักเก่า ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงที่เขาเคยรู้จักในอดีต คำพูดหรือข้อความที่เขาส่งมานั้นอาจจะสะกดผิดๆ ถูกๆ หรือมีเนื้อหาไม่เหมาะสม
- สังเกตุระดับการรู้สึกตัว ผู้ที่ดื่มสุราเข้าไปปริมาณมาก โดยเฉพาะถ้าดื่มอย่างรวดเร็ว อาจจะมีอาการซึมมากหรือหมดสติก็ได้ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลืออย่างรีบด่วน
2. ประมาณจากปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผู้นั้นดื่มไปและรูปร่างหรือน้้าหนักตัว
ดังได้ กล่าวแล้วว่าอาการเมาสุราจะขึ้นกับอัตราการเผาผลาญแอลกอฮอล์ของร่างกาย ซึ่งขึ้นกับ ปริมาณและความเร็วในการดื่มสุราเข้าไป อัตราการดูดซึม และปัจจัยด้านสรีรวิทยาของผู้ดื่ม ระดับของแอลกอฮอล์ในเลือดจึงอาจจะประเมินได้คร่าวๆ หากทราบปริมาณแอลกอฮอล์ที่เขา ดื่มไป ดังต่อไปนี้
- หากท่านดื่ม เบียร์ 2 กระป๋องหรือ 1 ขวดใหญ่ หรือดื่มเหล้า 4 แก้ว แก้วละ 1 ฝา คิดเป็นปริมาณสุรา 2 หน่วย จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 30มิลิกรัม% หรือ 0.03 กรัม% จะมีอาการ คึกครื้น ขาดความยับยั้งชั่งใจ พูดมากแต่ขาดสาระ ขาดสมาธิ การตัดสินใจบกพร่อง
- เบียร์ 2 ขวดใหญ่ (4 หน่วย)หรือ ดื่มเหล้า 6 แก้ว แก้วละ 1 ฝา คิดเป็นปริมาณสุรา 4 หน่วย จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด50 มิลิกรัม% หรือ0.05 กรัม%จะมีอาการ เพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ บาดเจ็บ และ พฤติกรรมรุนแรง
- หากท่านดื่มเบียร์6 ขวดใหญ่ (12 หน่วย) คิดเป็นปริมาณสุรา 12 หน่วยจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 150 มิลิกรัม% หรือ 0.15 กรัม% จะมีอาการ พูดไม่ค่อยชัด เดินเซ สับสน ไม่รู้ (disorientation) เวลา-สถานที่-บุคคล เพิ่มความเสี่ยงที่จะหกล้มและกระดูกหัก
- หากท่านดื่ม เหล้าขาว-สี 1 แบน (16 หน่วย)หรือดื่มเหล้า 24 แก้ว แก้วละ 2 ฝา
คิดเป็นปริมาณสุรา 16 หน่วย
จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 200 มิลิกรัม% หรือ 0.20 กรัม% จะมีอาการ สติสัมปชัญญะเปลี่ยนแปลง สับสน ง่วงซึมแต่ สามารถปลุกให้ตื่นได้ ทำอะไรไปแล้วจำไม่ได้ (blackouts)
- หากท่านดื่ม เเหล้าขาว-สี 1.5-2 แบนหรือ ¾-1 ขวดคิดเป็นปริมาณสุรา24-40 หน่วยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 300-500 มิลิกรัม% หรือ 0.30-0.500 กรัม% )จะมีอาการ สำลักอาเจียน asphyxiation หยุดหายใจ หมด สติ ถึงขั้นเสียชีวิต
BAC = Blood alcohol concentration (BAC)
3. ใช้เครื่องเป่าแอลกอฮอล์(หากมี)
ปัจจุบันในเว็บไวด์ต่างๆ มีขาย ราคาประมาณ 250-850 บาท ข้อควรระวัง คือ ถ้าผู้นั้นเพิ่งดื่มสุราเข้าไปอึกใหญ่แล้วรีบไปใช้เครื่องเป่าแอลกอฮอล์ ในทันที ผลอาจจะคาดเคลื่อนได้
จะถือว่าเมาเมื่อระดับแอลกอฮอล์มากว่า50มิลิกรัมเปอร์เซ็นต์
การช่วยเหลือเบื้องต้นส้าหรับผู้เมาสุรา
โดยทั่วไปญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือผู้พบเห็นสามารถดูแลผู้ที่มีภาวะเมาสุราที่ไม่รุนแรงได้ณ สถานที่นั้น ด้วยวิธีการดังนี้12
1. ช่วยแยกผู้ที่เมาสุราออกจากสถานที่ดื่มสุรา และให้หยุดดื่มสุรา
2. จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย เพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้ม และให้ห่างจาก เครื่องจักรหรือวัตถุอันตราย
3. ไม่ให้ผู้ที่เมาสุราขับรถ
4. ตรวจค้นดูว่าก่อนจะดื่มสุรา ผู้ที่เมาสุรานั้นได้รับประทานยาหรือสารเสพติดที่ผิด กฎหมายหรือสารกดประสาทอื่นๆ หรือไม่
5. ทดสอบดูว่าผู้ที่เมาสุราสามารถปลุกตื่นได้ง่ายหรือไม่ ด้วยการเขย่าไหล่เบาๆ และ พูดกับเขา ต้องมั่นใจว่าอาการในขณะนั้นไม่ได้เกิดจากโรคทางกายหรือประสบอุบัติเหตุอื่นๆ โดยซักถามจากคนใกล้ชิดหรือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์
6. ควรมีคนเฝ้าดูผู้ที่เมาสุราอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสร่างเมา หรือถ้าญาติรู้สึกไม่สบาย ใจก็ให้นำไปรักษาที่โรงพยาบาล
7. เนื่องจากไม่มียาใดที่เร่งให้ผู้ป่วยสร่างเมาได้รวดเร็ว บางคนอาจจะดื่มกาแฟหรือ อาบน้ำเย็น แต่ก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อยและชั่วคราว
8. ถ้าผู้ป่วยมีอาการเมามากหรือมีอาการอาเจียนหลายครั้ง ซึ่งอาจเป็นอาการแสดง ของภาวะบาดเจ็บทางศีรษะหรือโรคทางกายอื่นๆ เช่น เบาหวาน ไตวาย หรือโรคลมชัก ญาติควรนำส่งแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อการประเมินและรักษาที่เหมาะสม ต่อไป
ผลเสียของการดื่มสุราระยะสั้น
ผลเสียระยะสั้นมักจะเกิดจากการดื่มสุราปริมาณมากที่เรียกว่า Binge drinking มีดังนี้
- ได้รับอุบัติเหตุ เช่น อุบัติเหตุจราจร ผลัดตกหกล้ม จมน้ำ ไฟไหม้
- ความรุนแรง เช่น การทำร้ายร่างกายในครอบครัว การฆ่าตัวตาย ความรุนแรงทางเพศ
- ได้รับสุราเกินขนาด
- ความเสี่ยงของพฤติกรรมทางเพศ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน การมีเพศสัมพันธ์เปลี่ยนคู่ การตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การแท้งหรือ ทารกตายในครรภ์
ผลเสียของการดื่มสุราในระยะยาว
- ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคตับ โรคทางเดินอาหาร
- มเร็งเต้านม มะเร็งช่องปาก มะเร็งคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้
- ภูมิคตุ้มกันอ่อนแอ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
- มีปัญหาเรื่องการเรียนรู้ พฤติกรรม เกิดภาวะสมองเสื่อม
- มีปัญหาด้านจิตใจ ซึมเศร้า วิตกกังวล
- ปัญหาทางสังคม ปัญหาทางครอบครัว
- โรคที่เกิดจากพิษสุราเรื้อรัง
เครื่องดื่มแต่ละชนิดจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ต่างกัน
- เบียร์ จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 4-7% ส่วนใหญ่จะมีปริมาณแอลกอฮอล์5%
- ไวน์ จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ตั้งแต่5-18% ส่วนใหญ่จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ 12%
- สุรากลั่นหมายถึง เหล้ารัม วิสกี้ เหล้ายีน vodka, tequila จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 28-46% ส่วนใหญ่จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ 40%
- เหล้าผลไม้กลั่นได้แก่ brandy ,Sherry, port, madeira จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 17-21%
- เหล้า Malt จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 7%
ดังนั้นสุราแต่ละชนิดจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ขึ้นกับปริมาณ และความเข้มข้นของสุรา มีวิธีคำนวนหน่วยสุรา
ความเข้มข้นของสุรา(%)*ปริมาตร(ml)/1000 ค่าที่ได้จะเป็นหน่วยสุรา
แอลกอฮอล์จะอยู่ในเลือดได้นานเท่าไร
เมื่อเราดื่มสุรา แอลกอฮอล์จะเริ่มเข้าสู่กระแสเลือดใน 90 วินาทีและกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ ตับจะเป็นที่ทำลายแอลกอฮอล์ ร่างกายจะกำจัดสุราขึ้นกับปัจจัย อายุ น้ำหนัก เพศ สภาพของร่างกาย การทำงานของตับ เราจะเริ่มรู้สึกผลของการดื่มสุราเมื่อดื่มไปแล้ว15-45 นาทีหลังจากดื่ม ปกติร่างกายจะกำจัดแอลกอฮอลืได้ .015 g/100mL/hour
- อยู่ในเลือดได้นานถึง 6 ชั่วโมง
- อยู่ในลมหายใจได้นานถึง12-24 ชั่วโมง
- อยู่ในน้ำลายได้นานถึง 12-24 ชั่วโมง
- อยู่ในปัสสาวะได้นานถึง 12-24 ชั่วโมง
- อยู่ในผมได้นานถึง 90 วัน
การอดสุรา โรคพิษสุราเรื้อรัง คุณเมาหรือไม่ อาการขาดสุรา สุราช่วยลดอัตราการเสียชีวิต ผลเสียต่อสุขภาพ การอดสุรา
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
