โรคเหน็บชา Beriberi(การขาด Thiamine)

 

โรคเหน็บชาเป็นโรคที่ร่างกายขาดวิตามินบี 1หรือมีวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอ ;

สาเหตุการขาดวิตามินบี 1

โรคเหน็บชามี 2 แบบคือ โรคเหน็บชาแบบแห้ง (dry beriberi) และโรคเหน็ลชาแบบเปียก

โรคเหน็บชามีสองประเภทหลัก:

1โรคเหน็บชาแบบเปียก (wet beriberi)

ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดโรคเหน็บชาแบบเปียก มีอาการตรงกันข้ามคือ มีการบวมทั่วๆไป ตามแขนขา ลำคอ หน้า และมีอาการของโรคหัวใจ เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน

2โรคเหน็บชาแห้งและโรค Wernicke-Korsakoff:

โรคเหน็บชาแบบแห้งอาการที่พบ คือน้ำหนักตัวจะลดลงอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อลีบ อ่อนเพลีย มีการอักเสบของปลายประสาท  เสียการทรงตัว มีอกาารวิตกกังวล มีความผิดปกติทางสมอง และหัวใจโตส่งผลต่อระบบประสาท

โรคเหน็บชาเป็นเรื่องที่หาได้ยาก เนื่องจากอาหารส่วนใหญ่ตอนนี้อุดมด้วยวิตามิน หากคุณรับประทานอาหารที่ปกติและดีต่อสุขภาพ คุณควรได้รับไทอามีนเพียงพอ ทุกวันนี้ โรคเหน็บชาเกิดขึ้นส่วนใหญ่ในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การดื่มหนักอาจนำไปสู่ภาวะโภชนาการที่ไม่ดี แอลกอฮอล์ที่มากเกินไปทำให้ร่างกายดูดซึมและเก็บวิตามิน B1 ได้ยากขึ้น

ในบางกรณี โรคเหน็บชาสามารถเกิดจากพันธุกรรมได้ เงื่อนไขนี้ถ่ายทอดผ่านครอบครัว ผู้ที่เป็นโรคนี้จะสูญเสียความสามารถในการดูดซับไทอามีนจากอาหาร สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ช้าเมื่อเวลาผ่านไป อาการจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลนั้นเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยนี้มักจะพลาดไป เนื่องจากผู้ให้บริการด้านสุขภาพอาจไม่พิจารณาโรคเหน็บชาในผู้ที่ไม่มีแอลกอฮอล์

ภาวะการขาดวิตามินบีหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กทารก เรียกว่า Infantile Beriberi เกิดขึ้นเนื่องจากมารดาเป็นโรคขาดวิตามินบีหนึ่ง ขณะตั้งครรภ์ ทำให้ทารกในครรภ์ได้รับวิตามินบีหนึ่งไม่เพียงพอ

เด็กทารกจะมีอาการหน้าบวม อาเจียน ปวดท้อง และร้องไม่มีเสียง เด็กอาจตายได้ภายในระยะเวลาสั้น

โรคเหน็บชาสามารถเกิดขึ้นได้กับทารกเมื่อ:

  • ให้นมแม่และร่างกายของมารดาขาดไทอามีน
  • อาหารเสริมมีสูตรผิดปกติที่มีไทอามีนเพียงพอ

การรักษาทางการแพทย์บางอย่างที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเหน็บชาได้คือ:

  • การฟอกไต
  • การรับประทานยาขับปัสสาวะในปริมาณมาก
  • ผู้ที่ติดสุรา
  • ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย
  • ผ่าตัดกระเพาะ
  • ท้องร่วงเรื้อรัง
  • โรคเอดส์

อาการของโรคเหน็บชาแห้ง ได้แก่

  • เดินลำบาก
  • สูญเสียความรู้สึก (ความรู้สึก) ในมือและเท้า
  • สูญเสียการทำงานของกล้ามเนื้อหรือเป็นอัมพาตที่ขาส่วนล่าง
  • ความสับสนทางจิต/ ความยากลำบากในการพูด ความ
  • เจ็บปวด
  • มีตากระตุก
  • การรู้สึกเสียวซ่า
  • อาเจียน

อาการเหน็บชาเปียก ได้แก่:

  • ตื่นกลางดึก หายใจลำบาก
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • เหนื่อยง่าย หายใจหอบเมื่อเดิน
  • อาการบวมที่ขาส่วนล่าง

ในรายมี่อาการรุนแรงจะมีกลุ่มอาการ Wernicke-Korsakoff syndrome. ซึ่งเกิดจากสมองเสียหายเนื่องจาดวิตามินบี1

Wernicke encephalopathy เกิดจากสมองส่วน thalamus และ hypothalamus เสียหายซึ่งจะทำให้เกิดอาการ

  • สับสน
  • สูญเสียความจำ
  • กล้ามเนื้อไม่สามารถประสานกัน
  • เห็นภาพซ้อน ตากระตุก

ส่วน Korsakoff syndrome เกิดสมองส่วนความจำเสียหายซึ่งทำให้เกิด

  • สูญเสียความจำ
  • โดยจะจำเรื่องใหม่ๆไม่ได้
  • เห็นภาพหลอด หรือหูแว่ว

การตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกายอาจแสดงสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลว ได้แก่

  • หายใจลำบาก
  • เส้นเลือดดำที่คอโป่งพองในท่านั่ง
  • หัวใจโต
  • น้ำท่วมปอด
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • บวมที่ขาทั้งสองข้าง

ผู้ที่เป็นโรคเหน็บชาระยะสุดท้ายอาจสับสนหรือสูญเสียความทรงจำและหลงผิด บุคคลนั้นอาจรับรู้การสั่นสะเทือนน้อยลง

การตรวจระบบประสาทอาจแสดงสัญญาณของ:

  • การเปลี่ยนแปลงในการเดิน
  • ปัญหาการประสานงาน
  • ปฏิกิริยาตอบสนองลดลง
  • หนังตาตก

การทดสอบทางห้องปฏิบัติการ

  • การตรวจเลือดเพื่อวัดปริมาณไทอามีนในเลือด measure blood thiamine, pyruvate, alfa-ketoglutarate, lactate, and glyoxylate levels
  • การทดสอบปัสสาวะเพื่อดูว่าไทอามีนผ่านปัสสาวะหรือไม่
  • ตรวจหา erythrocyte transketolase activityในเลือดก่อนและหลังให้วิตามินบี1 หากค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ15ก็ยืนยันว่าขาดวิตามินบี1

การรักษา

เป้าหมายของการรักษาคือการทดแทนไทอามีนที่ร่างกายคุณขาด

  • ทำได้ด้วยอาหารเสริมไทอามีน โดยการฉีด (ฉีด)
  • หรือรับประทานทางปาก
  • อาจแนะนำวิตามินประเภทอื่นๆ ด้วย

การตรวจเลือดอาจทำซ้ำได้หลังจากเริ่มการรักษา การทดสอบเหล่านี้จะแสดงให้เห็นว่าคุณตอบสนองต่อยาได้ดีเพียงใด

ผลการรักษา

หากไม่ได้รับการรักษา โรคเหน็บชาอาจถึงแก่ชีวิตได้ อาการมักจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากรักษา

ความเสียหายของหัวใจและสมองจะดีขึ้นเหมือนก่อนป่วย อย่างไรก็ตาม หากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้เกิดขึ้นแล้ว แนวโน้มจะไม่ดี ความเสียหายของระบบประสาทสามารถย้อนกลับได้ หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ หากไม่ตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ อาการบางอย่าง (เช่น ความจำเสื่อม) อาจยังคงอยู่ แม้จะได้รับการรักษาแล้วก็ตาม

หากผู้ป่วยโรค Wernicke ได้รับการทดแทนไทอามีน ปัญหาทางภาษา การเคลื่อนไหวของดวงตาผิดปกติ และปัญหาในการเดินจะดีขึ้น แต่อาจจะเกิด Korsakoff syndrome (หรือ Korsakoff Psychosis) ตามมาหลังจากอาการ Wernicke หายไป

ภาวะแทรกซ้อน

แทรกซ้อนอาจรวมถึง:

  • โคม่า
  • หัวใจล้มเหลว
  • เสียชีวิต
  • โรคจิตเภท

การป้องกัน

รับประทานอาหารที่เหมาะสมที่อุดมไปด้วยวิตามินจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้ มารดาพยาบาลควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาหารของพวกเขามีวิตามินทั้งหมด หากทารกของคุณไม่ได้กินนมแม่ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสูตรสำหรับทารกมีไทอามีน

หากคุณดื่มหนัก พยายามลดหรือเลิก นอกจากนี้ ให้ทานวิตามินบีด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของคุณดูดซึมและจัดเก็บไทอามีนได้อย่างเหมาะสม

การกำหนดค่าปริมาณไธอะมินอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวัน  (Dietary Reference Intake, DRI) ของประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ปี ค.ศ. 2000 กำหนดค่าประมาณของ ความต้องการไทแอมินที่ควรได้รับประจำวัน (Estimated Average Requirement, EAR) ซึ่งเท่ากับ 1.0 มิลลิกรัม ต่อวันในผู้ชายและ 0.9 มิลลิกรัมต่อวันในผู้หญิงแล้วนำไปคำนวณหาปริมาณไทแอมินที่ควรได้รับประจำวัน  (Recommended Dietary Allowance, RDA) ของกลุ่มอายุต่างๆ ตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป สำหรับทารกแรกเกิดถึงอายุ  12 เดือน กำหนดค่าปริมาณวิตามินบีหนึ่งอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวัน (DRI) โดยใช้ค่าปริมาณไทแอมินที่ พอเพียงในแต่ละวัน (Adequate Intake, AI) ดังแสดงไว้ในตาราง

ตาราง ปริมาณไทแอมินอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับกลุ่มบุคคลวัยต่างๆ

Population

Age

Allowance, mg/day

Recommended Dietary Allowances (RDAs)

Boys

9-13 years

0.9

Men

>14 years

1.2

Girls

9-13 years

0.9

Women

14-18 years

1.0

Women

>19 years

1.1

Pregnant/lactating women

. . .

1.4

Children

1-3 years

0.5

Children

4-8 years

0.6

Adequate Intakes (AIs)

Infant

0-6 months

0.2

Infant

7-12 months

0.3

ปริมาณสูงสุดของวิตามินบีหนึ่งที่รับได้ในแต่ละวัน

ขณะนี้ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากการบริโภคไทแอมินปริมาณสูง จึงไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะ กำหนดค่าปริมาณสูงสุดของไทแอมินที่ได้รับได้ในแต่ละวัน (Tolerable Upper Intake Level, UIL) โดยทั่วไป การบริโภคไทแอมินปริมาณสูงหรือการฉีดเข้าเส้นเลือดดำค่อนข้างปลอดภัย การบริโภควิตามินบีหนึ่งปริมาณ ที่สูงสุดเกินความต้องการของร่างกายจะไม่ถูกดูดซึมและถูกขับออกมาในปัสสาวะเกือบหมดภายใน 4 ชั่วโมง 

ภาวะเป็นพิษ

ยังไม่มีรายงานขนาดของวิตามินบีหนึ่ง ที่ทำให้เกิดอาการเป็นพิษต่อร่างกายมนุษย์ 

แหล่งของวิตามินบีหนึ่ง

ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินบีหนึ่งได้ จำเป็นต้องได้จากอาหารแหล่งอาหารที่มีวิตามินบีหนึ่งมากได้แก่

  • จากสัตว์ : เนื้อหมู, ปลา, ไก่, ตับ, ไข่
  • จากพืช : ถั่วเมล็ดแห้ง, เมล็ดข้าว ( whole grains)Legumes (ie, lentils, soybeans, nuts, seeds)
  • Milk and milk products
  • Vegetables (ie, green, leafy vegetables; beets; potatoes)
  • Orange and tomato juices
  • Whole-grain foods

ในอาหารจำพวกผักและผลไม้ ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณของไทแอมินน้อย แต่ถ้าคิดจากที่กินในแต่ละวันแล้ว  ร่างกายก็จะได้รับไทแอมินพอประมาณ

 

ชนิดของอาหาร

ปริมาณวิตามินบี 1 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม

เนื้อหมู, สด

0.69

หมู, ตับ

0.40

เนื้อวัว, สด

0.07

วัว, ตับ

0.32

ไก่, เนื้อ

0.08

ไก่, ตับ

0.36

ปลาดุก

0.20

ปลาทู, นึ่ง

0.09

ไข่เป็ดทั้งฟอง

0.28

ไข่ไก่ทั้งฟอง

0.15

ข้าวกล้อง, หอมมะลิ

0.55

ข้าวเจ้า, ซ้อมมือ

0.34

ข้าวมันปู

0.46

ข้าวเหนียว

0.08

ข้าวเหนียวดำ

0.55

งาขาว, คั่ว

0.83

งาดำ, อบ

0.75

ถั่วเหลือง, ดิบ

0.73

ถั่วเขียว, ดิบ

0.38

ถั่วแดง, ดิบ

0.73

ถั่วแระ, ต้ม

0.31

 

การเก็บรักษาคุณค่าทางโภชนาการ

  • ไทแอมินเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ( Water soluble vitamine) ถูกทำลายด้วยความร้อนถ้าอยู่ในสารละลาย ที่มีฤทธิ์เป็นด่างหรือเป็นกลางและทนได้ถึง 120 องศาเซลเซียส ถ้าอยู่ในสารละลายที่เป็นกรด
  • ไทแอมินจะสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการได้ ถ้าขณะที่ปรุงอาหารด้วยการให้ความร้อนเมื่อมีน้ำอยู่ด้วย  พบว่าในการหุงข้าวที่ซาวน้ำทิ้งหลายๆ ครั้ง แล้วหุงโดยไม่เช็ดน้ำ จะทำให้สูญเสียไทแอมินประมาณ 50  เปอร์เซ็นต์ ส่วนการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำจะยิ่งทำให้การสูญเสียไทแอมินมากขึ้นอาจสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์  ดังนั้นการหุงข้าวโดยไม่มีการซาวน้ำทิ้งเลยและหุงแบบไม่เช็ดน้ำจะช่วยเก็บรักษาไทแอมินไว้ในเมล็ดข้าว  ได้ดี
  • การย่างหรืออบ ( broiled or roasted) พวกเนื้อสัตว์อาจสูญเสียไทแอมินไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ การต้มหรือลวกเนื้อแล้วทิ้งน้ำไปจะทำให้เสียวิตามินสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ากินทั้งเนื้อและน้ำด้วย จะสูญเสียวิตามินไปประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
  • การต้มผักในน้ำน้อยๆ ให้สุกโดยเร็ว จะสูญเสียวิตามินน้อยกว่าการต้มนานๆ ในน้ำมากๆ ไม่ว่า จะเป็น วิตามินบี หรือ ซี

Google