ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ใหม่

การตรวจเพื่อวินิจฉัยเบื้องต้น | ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ใหม่ | การป้องการติดเชื้อ HIV | แนวทางการรักษา | การรักษา | การดูแลผู้ที่ติดเชื้อ HIV | การติดเชื้อฉวยโอกาส | การฉีดวัคซีน | การให้ยาป้องกันโรคเอดส

 

คงเป็นข่าวร้ายสำหรับท่านผู้อ่านที่ผลเลือดทดสอบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HIV ให้ผลบวกแต่ไม่ใช่สิ้นหวังเหมือนสมัยก่อน ผู้ป่วยจำนวนมากสามารถมีชีวิตยืนยาวเหมือนคนปกติ การที่ผลเลือดบวกจะเป็นข้อมูลทีสำคัญที่จะช่วยให้ท่านมีชีวิตที่ยืนยาว สำหรับท่านที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV (รักร่วมเพศ ฉีดยาเสพติดเข้าเส้น มีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้ป้องกัน) ท่านหากไม่รีบตรวจเลือดเสียตั้งแต่วันนี้ ต่อไปเมื่อโรคดำเนินมีการทำลายระบบภูมิคุ้มกันจนกระทั่งเกิดโรคเอดส์

เมื่อนั้นท่านก็ปิดใครไม่ได้และยังสูญเสียโอกาสที่จะรักษาด้วย การรักษาการติดเชื้อ HIV ปัจจุบันเหมือนกับการรักษาโรคเบาหวานคือเป็นโรคเรื้อรัง รักษาไม่หาย หากไม่รักษาจะมีโรคแทรกซ้อนหรือบางครั้งรักษาดีก็เกิดโรคแทรกซ้อนได้บทความนี้ จะเป็นแนวทางเรียนรู้ที่จะมีชีวิตกับโรคติดเชื้อ HIV ท่านจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับโรค HIV และปฏิบัติโดยเคร่งครัดจึงจะมีสุขภาพที่แข็งแรง ณ.ขณะนี้เมื่อท่านติดเชื้อ HIV ท่านจะติดเชื้อตลอดชีวิต การรักษาขณะนี้ก้าวหน้าไปมากสามารถคุมโรค HIV มิให้กลายเป็นโรค AIDS 

เมื่อผลเลือดท่านให้ผลบวกต่อเชื้อ HIV 

แสดงว่าท่านได้รับเชื้อไวรัส HIV ในกระแสเลือดแล้ว การที่เลือดให้ผลบวกมิได้หมายความว่าท่านเป็นโรคเอดส์ ผู้ที่ได้รับเชื้อ HIV โดยทั่วไปใช้เวลา 8-10 ปีจึงจะกลายเป็นโรคเอดส์ เมื่อท่านมีเชื้อไวรัสในเลือดสิ่งที่ท่านต้องทำคือ

  1. ไม่แพร่เชื้อสู่ผู้อื่น เชื้อ HIV จะอยู่ในเลือด น้ำเหลือง น้ำนม น้ำหล่อลื่นของผู้ชายและผู้หญิง ท่านสามารถป้องการแพร่เชื้อโดย
  • เมื่อท่านมีเชื้อ HIV, ท่านต้องป้องกันผู้อื่นได้รับเชื้อจากท่าน เช่นเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว คู่ที่มีเพศสัมพันธ์ ท่านต้องเรียนรู้การมีเพศสัมพันธ์ที่ลดการติดเชื้อ กิจกรรมทางเพศชนิดใดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง กิจกรรมใดที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้สวมถุงยางคุมกำเนิดเมื่อจะร่วมเพศทั้งทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากท่านอาจจะแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นแล้ว ท่านอาจจะได้รับเชื้อตัวใหม่ทำให้อาการของท่านแย่ลง
  • การกอดหรือจูบโดยที่ไม่มีแผล การสัมผัสจะไม่แพร่เชื้อ
  • ไม่ใช้แปรงสีฟัน มีดโกนหนวด ที่ตัดเล็บร่วมกัน
  • อย่าเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง
  • ไม่บริจาคเลือดให้แก่ผู้อื่น
  • การใช้โถส้วม การใช้แก้ ชาม ร่วมกัน ไม่ทำให้ติดเชื้อสู่ผู้อื่น 
  1. การดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

ขั้นที่1เลือกแพทย์และพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

 เพื่อแพทย์จะได้พิจารณาให้ความรู้และการรักษา แพทย์จะเจาะเลือดท่านเพื่อตรวจดูระยะของโรคโดยจะเจาะหา CD4-T cell และ viral load น้อยจากนั้นแพทย์จะตรวจหาการติดเชื้อฉวยโอกาส พราะผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันลดลงมีโอกาสติดเชื้อฉวยโอกาส เช่นวัณโรค และปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวัคซีนที่ต้องฉีด

ขั้นที่2 ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีการรักษาใหม่ๆ

  1. ปัจจุบันมียาต้านไวรัส HIV ซึ่งสามารถชะลอการเกิดโรคเอดส์ยาบางชนิดยับยังการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสทำให้ท่านมีสุขภาพสบายขึ้น
  • ปรึกษาแพทย์ว่าท่านควรจะไดรับยาอะไร
  • ท่านจะต้องเรียนรู้โรค HIV  การรักษา ท่านต้องรู้จักT cells, ระบบภูมิคุ้มกัน(the immune system) และปริมาณเชื้อไวรัส( viral load)เพื่อพิจารณาให้การรักษา
  • เมื่อไรจะเริ่มรักษาเมื่อสมัยก่อนเมื่อเจอเลือดให้ผลบวกก็จะให้ยาหลายขนาน แต่ปัจจุบันการพิจารณาว่าจะเริ่มให้ยาเมื่อไรจะพิจารณาจากปริมาณCD4 และปริมาณเชื้อในเลือด(viral load or HIV PCR RNA or HIV bDNA) 
  • การเลือกวิธีการรักษา เมื่อผลเลือดบ่งว่ายังไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยา ท่านต้องเจาะเลือดทุก 3 เดือนเพื่อติดตามโรคโดยใกล้ชิดหากผลเลือดของท่านมีเซลล์ CD 4ต่ำจำเป็นต้องรักษาขณะนี้มียา 14 ชนิดสำหรับรักษาโดยใช้ยาหลายชนิดรวมกัน(cocktail) เมื่อท่านตัดสินใจรักษาท่านต้องจำไว้ว่าต้องรับประทานยาสม่ำเสมอมิฉะนั้นเชื้อจะดื้อยาซึ่งจะเป็นผลเสียต่อท่าน
  • เรียนรู้ผลข้างเคียงของยา ยาแต่ละชนิดในแต่ละกลุ่มจะมีผลข้างเคียงของยาไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะเป็นระยะสั้นโดยมากไม่เกินสัปดาห์ แพทย์จะสอนวิธีจัดการกับผลข้างเคียงของยา ยาบางชนิดอาจจะมีผลข้างเคียงมากและอันตรายท่านต้องเฝ้าติดตาม หากมีอาการผลข้างเคียงท่านต้องรีบปรึกษาแพทย์

ขั้นที่3 เตรียมข้อมูลก่อนพบแพทย์

  1. ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ต้องเตรียมข้อมูลก่อนไปพบแพทย์อะไรบ้าง

ในการวางแผนการรักษาแพทย์ต้องทราบรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยเพื่อที่จะทำการรักษาได้เหมาะสม

  • โรคประจำตัวที่เป็นอยู่
  • อาการของโรคที่เกิดใหม่
  • วันที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ HIV ระยะเวลาที่เป็นโรค HIV ปกติผู้ที่ได้รับเชื้อ HIV จะกลายเป็นโรคเอดส์ใช้เวลา 9-11 ปี
  • ปัจจุบันรับประทานยาอะไร
  • ประวัติการป่วยเป็นวัณโรค โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตับอักเสบ การได้รับเลือด ผู้ที่เคยเป็นวัณโรคหากไม่ได้รับยาป้องกัน อาจจะทำให้เป็นวัณโรคซ้ำ
  • เคยได้รับการรักษาโรคเอดส์มาก่อนหรือไม่ ชื่อยาอะไร รักษาเมื่อไร นานแค่ไหน มีผลข้างเคียงอะไร
  • ประวัติการฉีดวัคซีน เช่นป้องกันตับอักเสบ วัคซีนป้องกันโรคปอดบวม
  • ประวัติการแพ้ยา
  • ประวัติพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่นการใช้ยาเสพติด การมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้ป้องกัน
  • การทำงาน ฐานะ

ขั้นที่4 การเฝ้ามองสุขภาพ

โรคเอดส์ก็เหมือนกับโรคทั่วๆไปคือจะมีอาการเตือน ถ้าหากท่านมีอาการดังต่อไปนี้โปรดไปปรึกษาแพทย์เพื่อรักษา อาการดังกล่าวอาจจะไม่ใช่อาการของเอดส์ แต่จำเป็นต้องรักษา

  • มีก้อนที่คอ รักแร้ ขาหนีบ
  • ฝ้าขาวในปากหรือลิ้น
  • รอยช้ำเขียวที่ผิวหนัง
  • ไข้และท้องร่วง
  • น้ำหนักลด
  • ไอและหายใจหอบ
  • เหงื่อออกกลางคืน
  • ปวดศีรษะอย่างแรง
  • ตกขาวไม่หาย

ขั้นที่ 5 ดูแลสุขภาพตัวเอง

  • รับอาหารที่มีคุณภาพ ปรึกษาแพทย์ว่าอาหารที่ควรและไม่ควรรับประทาน
  • ผักผ่อนให้เต็มที่
  • งดสุราและบุหรี่เพราะจะทำให้ท่านมีภูมิคุ้มกันที่แย่ลง
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ให้ทำจิตใจให้ผ่องใส

แพทย์จะตรวจเลือดเพื่อตรวจเบื้องต้น

เพิ่มเพื่อน