siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis): อาการเจ็บหน้าอกที่ต้องระวัง

หัวใจของเราถูกห่อหุ้มด้วยถุงบางๆ สองชั้นที่เรียกว่า "เยื่อหุ้มหัวใจ" (Pericardium) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันหัวใจจากการติดเชื้อ, การเสียดสี และช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อเยื่อหุ้มหัวใจนี้เกิดการอักเสบหรือระคายเคือง จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า "เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ" (Pericarditis) ซึ่งมักทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลันและจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุ, อาการที่จำเพาะ, แนวทางการวินิจฉัย, การรักษา, รวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายของโรคนี้


อาการของเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ: เจ็บหน้าอกแบบไหนที่น่าสงสัย?

อาการที่เด่นชัดและคลาสสิกที่สุดของเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบคือ อาการเจ็บหน้าอก ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากโรคหัวใจขาดเลือด คือ:

อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วย:

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ทันที? หากคุณมีอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลันและรุนแรง ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง หากอาการรุนแรงมาก เช่น หายใจลำบาก, หน้ามืด, หรือใจสั่น ควรรีบติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน โทร 1669


สาเหตุของเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

ภาวะนี้สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่บ่อยครั้งก็ไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่:


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบโดยอาศัยข้อมูลหลายอย่างประกอบกัน:

  1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย: ประวัติอาการเจ็บหน้าอกที่เปลี่ยนตามท่าทางเป็นข้อมูลสำคัญที่สุด แพทย์จะใช้หูฟัง (Stethoscope) ฟังเสียงหัวใจ ซึ่งอาจได้ยินเสียงที่จำเพาะเรียกว่า "Pericardial Friction Rub" ซึ่งเป็นเสียงเสียดสีของเยื่อหุ้มหัวใจที่อักเสบ

  2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG/ECG): มักแสดงการเปลี่ยนแปลงของกราฟไฟฟ้าหัวใจในรูปแบบที่จำเพาะ ซึ่งแตกต่างจากกราฟของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

  3. อัลตราซาวนด์หัวใจ (Echocardiogram): เป็นการตรวจที่สำคัญมากเพื่อดูการทำงานของหัวใจ, ลักษณะการอักเสบ และที่สำคัญคือเพื่อตรวจหา น้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardial Effusion) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

  4. การตรวจอื่นๆ: อาจมีการตรวจเลือดเพื่อดูค่าการอักเสบ (ESR, CRP) และการเอกซเรย์ทรวงอกเพื่อดูขนาดเงาของหัวใจ


แนวทางการรักษา

เป้าหมายหลักคือการลดการอักเสบและบรรเทาอาการเจ็บปวด


ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวัง

แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้ดี แต่เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้:

  1. ภาวะบีบรัดหัวใจ (Cardiac Tamponade): เป็น ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เกิดจากการมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจปริมาณมากและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนไปกดเบียดทำให้หัวใจไม่สามารถขยายตัวรับเลือดได้ตามปกติ ผู้ป่วยจะมีภาวะช็อกและความดันโลหิตตก การรักษาคือการเจาะระบายน้ำออกอย่างเร่งด่วน

  2. เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบชนิดบีบรัด (Constrictive Pericarditis): เป็นภาวะเรื้อรังที่เยื่อหุ้มหัวใจเกิดการอักเสบนานจนหนาตัว, แข็ง, และเกิดพังผืด กลายเป็นเหมือน "เกราะ" ที่รัดหัวใจไว้ ทำให้หัวใจขยายตัวไม่ได้และเกิดอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวตามมา การรักษาคือการผ่าตัดลอกเยื่อหุ้มหัวใจออก (Pericardiectomy)

บทสรุป: เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเป็นภาวะที่รักษาได้และส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง แต่สิ่งสำคัญคือต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็วเพื่อแยกออกจากภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น หากมีอาการเจ็บหน้าอกที่น่าสงสัย ควรรีบปรึกษาแพทย์เสมอ

อ้างอิง

Troughton RW, Asher CR และ Klein AL เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ, มีดหมอ 2547;363:717-27.www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15001332

Maisch B, Seferovic PM, Ristic AD และคณะ แนวทางการวินิจฉัยและการจัดการโรคเยื่อหุ้มหัวใจโดยสรุปสำหรับผู้บริหาร คณะทำงานด้านการวินิจฉัยและการจัดการโรคเยื่อหุ้มหัวใจของสมาคมโรคหัวใจแห่งยุโรป European Heart Journal 2547;25:587-610.eurheartj.oxfordjournals.org/cgi/content/full/25/7/587

เพิ่มเพื่อน