การแท้งบุตร abortion


การแท้งบุตร

การแท้งบุตรหมายถึงการตั้งครรภ์ไม่สามารถดำเนินต่อ ทำให้เด็กออกมาก่อนกำหนดภายใน 20 สัปดาห์ของการการตั้งครรภ์ จากการศึกษาพบว่าร้อยละ 10-25 ของการตั้งครรภ์มีการแท้งโดยที่ไม่รู้ตัว

การแท้งมักจะเกิดช่วงไหนของการตั้งครรภ์

การแท้งส่วนใหญ่จะเกิดในช่วง 13 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ดังนั้นช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณแม่ต้องดูแลตัวเอง โดยการลดความเสี่ยงของการแท้ง

สาเหตุของการแท้ง

สาเหตุของการแท้งมีได้หลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือเกิดความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งอาจจะเกิดความผิดปกติที่ไข่ หรือตัวเชื้ออสุจิ หรือช่วงที่ตัวอ่อนแบ่งตัว สาเหตุอื่นๆได้แก่

  • ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน พบว่ามารดาที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนต่ำ ซึ่งมีผลต่อเยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งเป็นที่อยู่ของตัวอ่อน และเป็นแหล่งอาหารสำหรับ การเจริญเติบโต หากฮอร์โมนน้อยเยื่อบุโพรงมดลูกก็มีสภาพไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ตัวอ่อนก็เจริญต่อไม่ได้จะทำให้เกิดการแท้งขึ้น
  • ปัญหาเกี่ยวกับการติดเชื้อโรคของคุณแม่
  • ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของคุณแม่
  • ความผิดปกติของทารก ทารกที่แท้งในช่วงไตรมาสแรกมักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของ     โครโมโซมของทารก สาเหตุของการแท้งส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมของ     ทารกและการตั้งครรภ์ไข่ฝ่อ (Blighted ovum) คือ การท้องที่มีการฝังตัวของรกแต่ไม่เกิดตัวเด็ก     ซึ่งเชื่อว่าเป็นการสุ่มเลือกของธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตที่มีความผิดปกติหรืออ่อนแอก็จะตายไป
  • เกี่ยวกับวิถีการดำเนินชีวิตของคุณแม่ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การดื่มกาแฟปริมาณมาก การขาดสารอาหาร การสัมผัสรังสีหรือสารเคมี เป็นต้น
  • มีความผิดปกติมดลูกและ ปากมดลูกของมารดาที่ทำให้มีปัญหาการเติบโตของทารก เช่นโพรงมดลูกมีผนังกั้นตรงกลาง มีมดลูกสองอัน ปากมดลูกสองอัน ช่องคลอดสองอัน หรือมีเนื้องอกของมดลูก
  • อายุคุณแม่
  • การได้รับอุบัติเหตุ ความเครียด นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ การทำงานหนัก ยกของหนัก และการกระทบกระเทือน

ใครมีโอกาสแท้ง

หญิงเจริญพันธ์จะมีโอกาสแท้งโดยเฉลี่ย 10-25 % หญิงที่อายุมากขึ้นความเสี่ยงต่อการแท้งย่อมเพิ่มมากขึ้น

  • หญิงที่อายุน้อยกว่า 35 ปีจะมีโอกาสแท้งร้อยละ 15
  • หญิงอายุ 35-45 ปีจะมีโอกาสแท้ง 20-35%
  • หญิงอายุมากกว่า 45 ปีจะมีโอกาสแท้งร้อยละ 50
  • ผู้ที่เคยแท้งมาก่อนจะมีโอกาสแท้งร้อยละ 25

อาการของการแท้งบุตร

หากคุณแม่มีอาการดังต่อไปนี้ควรจะปรึกาาแพทย์ของท่าน

  • มีอาการปวดหลัง(มากกว่าที่เคยเป็น)
  • น้ำหนักลด
  • มีมูกปนเลือดไหลออกมา
  • เจ็บท้องจริง
  • มีเลือดออกช่องคลอด
  • มีเนื้อเยื่อออกจากช่องคลอด
  • อาการคนท้องหายไป

ชนิดของการแท้งบุตรมีอะไรบ้าง

การแท้งเป็นกระบวนการที่มีการขับเลือดหรือตัวอ่อนออกมา และยังแบ่งเป็นระยะอีกมาก การเรียนรู้ กระบวนการพัฒนาของเด็กในไตรมาสแรก และการตรวจวินิจฉัยของแพทย์จะทำให้ท่านทราบขั้นตอนในการดูแลตัวเอง ศัพท์ทางการแพทย์ที่มักจะพูดถึงเมื่อเกิดการแท้ง

  • Threatened Miscarriage: หรือแท้งคุกคาม ตั้งครรภ์ในระยะแรกและมีเลือดออกโดยที่ปากมดลูกยังปิดอยู่ ส่วนใหญ่เลือดที่ออกเกิดจากการฝังตัวของตัวอ่อนการที่มีเลือดออกทางช่องคลอดโดยที่ปากมดลูกยังปิดอยู่ เป็นอาการแสดงว่ากำลังจะแท้ง หากมาพบแพทย์ทันเวลาและอาการไม่รุนแรงมาก ประมาณ 50% ของผู้ป่วยสามารถดำเนินการตั้งครรภ์ต่อไปได้โดยที่แพทย์จะต้องดูแลเป็นพิเศษ แพทย์อาจให้ยาฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อจนกว่าเลือดจะหยุด หรืออาจต้องทำการเย็บผูกปากมดลูก แพทย์อาจให้ยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อลดการบีบตัวของมดลูก อาจต้องนอนพักในโรงพยาบาลชั่วระยะเวลาหนึ่ง ผู้ป่วยต้องนอนพักมากๆ หลีกเลี่ยงการทำงานหนักโดยเด็ดขาด หลีกเลี่ยงการเดินทาง การมีเพศสัมพันธ์ และการสวนถ่ายอุจจาระ
  • Inevitable แท้งหยุดไม่ได้ มีอาการปวดหลังร่วมกับเลือดออกและปาดมดลูกเปิดแล้ว และอาจจะมีน้ำคร่ำไหลปากมดลูกเปิดขยายตัวออก อาจมีชิ้นส่วนของรกออกมาจุกอยู่ที่ปากมดลูก เมื่อมาถึงระยะนี้แล้วจะไม่สามารถตั้งครรภ์ต่อไปได้  อาการปวดท้องจะมีอยู่ในที่สุดก็จะแท้งออกมาเอง หรือหากมาพบแพทย์ แพทย์อาจทำการดูดเอาทารกออกมาให้เพื่อให้แท้งครบ
  • Incomplete Miscarriage การแท้งที่มีเลือด น้ำคร่ำ และชิ้นส่วนของการตั้งครรภ์ เช่น ทารก รก ถุงน้ำคร่ำบางส่วนหลุดออกมา มีบางส่วนค้างอยู่ภายในมดลูก ซึ่งการแท้งชนิดนี้จะทำให้มดลูกบีบตัวได้ไม่ดี เลือดจะไหลออกมาไม่หยุดจนทำให้ช็อกได้ ดังนั้น แพทย์จะให้น้ำเกลือหรือให้เลือดเพื่อทดแทนปริมาตรของเลือดในระบบไหลเวียนเลือด แล้วทำการดูดเอาชิ้นส่วนที่เหลือออกมาให้หมด หลังจากนั้นมดลูกจะบีบตัวได้ดีขึ้นเลือดก็จะหยุดไหลไปเอง
  • Complete Miscarriage แท้งครบหรือสมบูรณ์ คือตัวอ่อนและรกออกมาหมด เลือดจะออกน้อยลง ปวดท้องก็จะลดลง ตรวจ ultrasound จะไม่พบตัวอ่อน
  • Missed Miscarriage หมายถึงการแท้งโดยที่คุณแม่ไม่ทราบว่าแท้ง และตัวอ่อนยังไม่ถูกขับออกทราบได้จากการทำultrasound พบตัวอ่อนที่เสียชีวิตแล้วในมดลูก การแท้งที่ทารกเสียชีวิตไปแล้วแต่ยังคงค้างอยู่ในโพรงมดลูกต่อไป   4 – 8 สัปดาห์ อันตรายที่เกิดขึ้นจากการแท้งค้างก็คือมารดาจะเกิดภาวะเลือดแข็งตัวช้าผิดปกติ ทำให้มีเลือดออก เช่นเลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล มีจุดจ้ำเลือดตามผิวหนังทั่วตัว มีบาดแผลแล้วเลือดหยุดยาก วิธีการรักษาแท้งค้าง คือ ต้องรักษาภาวะเลือดแข็งตัวช้าผิดปกติก่อนแล้วจึงทำการดูดเอาทารกและรกออกมา
  • Recurrent Miscarriage หมายถึงการแท้งซ้ำติดต่อกันสามครั้ง
  • blighted ovum
  • ectopic pregnancy
  • molar pregnancy

การดูแลเมื่อแท้ง

หลักการรักษาผู้ที่แท้งคือระวังเลือดออก และการติดเชื้อ หากตั้งครรภ์อ่อนแล้วแท้ง ร่างกายก็สามารถขับตัวอ่อนและรกออกหมด แต่หากขับไม่หมดมีเลือดออกจะต้องทำการขูดมดลูก หากพบว่าเลือดออกไม่หยุด และมีไข้สูงหนาวสั่นต้องรีบไปพบแพทย์

การป้องกันการแท้ง

เนื่องจากการแท้งส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม ดังนั้นจึงไม่มีทางป้องกันได้ ดังนั้นก่อนการตั้งครรภ์ควรจะดูแลตัวเองให้แข็งแรง

เมื่อท่านทราบว่าตั้งครรภ์ท่านต้องดูแลอะไรบ้าง

  • ระวังหน้าท้องมิให้กระทบกระแทก
  • งดบุหรี่และหลีกเลี่ยงสถานที่สูบบุหรี่
  • งดสุรา
  • อย่าซื้อยารับประทานเอง
  • ลดปริมาณกาแฟ
  • หลีเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตราย เช่นรังสี สารเคมี
  • งดกีฬาที่คิดว่าจะเป็นอันตราย
  • ฝากครรภ์กับสูติแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพโดยเร็วที่สุดเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์
  • เมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอด มีน้ำคร่ำออกมาทางช่องคลอด หรือปวดท้องให้รีบมาพบแพทย์
  • ระมัดระวังเรื่องการทำงานหนัก ยกของหนัก การใส่รองเท้าส้นสูง การหกล้ม การกระทบกระเทือนต่างๆ
  • รับประทานอาหารให้ถูกต้องตามสุขลักษณะ ปริมาณมากเพียงพอ ระมัดระวังในการใช้ยาโดยเฉพาะยาระบาย  งดสูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ทำจิตใจให้แจ่มใสเบิกบาน นอนให้หลับ