siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

Acetylcysteine: คู่มือการใช้งานและข้อมูลสำคัญสำหรับการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจและภาวะเป็นพิษ

วันที่เผยแพร่: 29 กรกฎาคม 2568, 13:40 น. ผู้เขียน: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่มา: SiamHealth.net

บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและสำคัญเกี่ยวกับยา Acetylcysteine ซึ่งเป็นยาที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจและภาวะเป็นพิษ จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และทราบถึงข้อบ่งใช้และข้อควรระวังต่างๆ ที่สำคัญ การมีความรู้เกี่ยวกับยาที่คุณใช้จะช่วยให้คุณจัดการกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


1. Acetylcysteine คืออะไร?

Acetylcysteine (อะซีทิลซิสเทอีน) หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า NAC เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน L-cysteine ซึ่งมีคุณสมบัติหลักสองประการคือ:

  1. ยาละลายเสมหะ (Mucolytic Agent): ช่วยลดความหนืดของเสมหะ ทำให้เสมหะขับออกได้ง่ายขึ้น

  2. สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และสารตั้งต้นของกลูตาไธโอน (Glutathione Precursor): มีบทบาทสำคัญในการล้างพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของภาวะเป็นพิษจากยาพาราเซตามอล (Paracetamol/Acetaminophen Overdose)

Acetylcysteine มีจำหน่ายหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ดสำหรับรับประทาน (ละลายน้ำ), ยาน้ำสำหรับรับประทาน, ยาฉีด, และยาสำหรับพ่นทางเดินหายใจ (Nebulizer) ในประเทศไทย Acetylcysteine มีทั้งชนิดที่สามารถซื้อได้เองและชนิดที่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์ ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบของยา


2. กลไกการออกฤทธิ์: Acetylcysteine ทำงานอย่างไร?

Acetylcysteine ออกฤทธิ์ผ่านกลไกที่หลากหลายตามข้อบ่งใช้:


acetylcysteine

3. Acetylcysteine ใช้รักษาโรคอะไร? (ข้อบ่งชี้ของการใช้ยา)

Acetylcysteine มีข้อบ่งใช้หลักสองประเภท:


4. ขนาดและวิธีการใช้ยา

Acetylcysteine มีหลายรูปแบบและขนาดที่แตกต่างกันไปตามข้อบ่งใช้และวิธีการบริหารยา:

ก. รูปแบบยาละลายเสมหะ:

ข. รูปแบบยาแก้พิษพาราเซตามอลเกินขนาด (ให้โดยบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล):

หมายเหตุ: ขนาดยาและรูปแบบการใช้จะถูกกำหนดโดยแพทย์ผู้รักษาตามสภาพอาการ อายุ น้ำหนักตัว และการทำงานของตับ/ไตของผู้ป่วย ห้ามปรับขนาดยาเองเด็ดขาด


5. สิ่งที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา

การแจ้งข้อมูลสุขภาพของคุณอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ Acetylcysteine คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับ:


6. ข้อควรระวังในการใช้ยา (กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องระวัง)

ควรใช้ Acetylcysteine ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยบางราย:


7. ระหว่างที่ใช้ยาจะต้องระวังอาการหรือการตรวจพิเศษอะไร?

อาการที่ต้องเฝ้าระวังและควรพบแพทย์ทันที (อาการไม่พึงประสงค์):

การตรวจพิเศษ:


8. ปฏิกิริยาระหว่างยา: ใช้ร่วมกับยาอื่นได้หรือไม่?

Acetylcysteine สามารถทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ได้บางชนิด สิ่งสำคัญคือ ต้องแจ้งรายการยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอ

ยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:


9. ผลข้างเคียงหรือไม่พึงประสงค์ของยา

ดูรายละเอียดในหัวข้อ "อาการที่ต้องเฝ้าระวังและควรพบแพทย์ทันที" และ "วิธีลดหรือป้องกันผลข้างเคียง"


10. วิธีลดหรือป้องกันผลข้างเคียงของยา


11. หากได้รับยาเกินขนาดต้องทำอย่างไร?

หากได้รับยา Acetylcysteine เกินขนาด อาจเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือในกรณีรุนแรงอาจมีผลต่อตับหรือไตได้ วิธีแก้ไข: ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลหรือปรึกษาแพทย์ทันที การรักษาจะเน้นที่การดูแลตามอาการและประคับประคอง


12. หากลืมใช้ยาต้องทำอย่างไร?


13. การเก็บรักษายา

การกำจัดยา:


14. ความปลอดภัยในสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร


สรุป

Acetylcysteine (NAC) เป็นยาที่มีคุณสมบัติโดดเด่นทั้งในฐานะยาละลายเสมหะที่มีประสิทธิภาพ และเป็นยาแก้พิษที่สำคัญสำหรับภาวะเป็นพิษจากพาราเซตามอลเกินขนาด กลไกการออกฤทธิ์ที่ช่วยลดความหนืดของเสมหะและเพิ่มระดับกลูตาไธโอนในตับ ทำให้ยานี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม การใช้ Acetylcysteine จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคหอบหืด หรือผู้ที่มีประวัติแผลในกระเพาะอาหาร การทำความเข้าใจข้อบ่งใช้ ข้อควรระวัง และผลข้างเคียง จะช่วยให้คุณใช้ยานี้ได้อย่างปลอดภัยและได้รับประโยชน์สูงสุด

โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ

 

ข้อห้ามใช้

ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้

พ่นยาหอบหืด

โรคหอบหืด

โรคหอบหืดเป็นโรคที่เกิดจากภูมิแพ้จะมีอาการหอบ หรือเหนื่อยเมื่อสัมผัสสารภูมิแพ้ การรักษาต้องหลีกเลี่ยงและใช้ยาพ่นป้องกันอาการหอบหืด โรคหอบหืด


ปอดบวม

โรคปอดบวม

โรคปอดบวมเกิดจากปอดติดเชื้อโรคทำให้มีเซลล์เม็ดเลือดขาว และเชื้อโรคในปอด ผู้ป่วยจะมีอาการหอบเหนื่อย ไอมีเสมหะ ไข้สูง ปอดบวม


หลอดลมอักเสบ

โรคหลอดลมอักเสบ

โรคหลอดลมอักเสบเกิดจากเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม ผู้ป่วยจะมีไข้ ไอ แต่ไม่หอบมาก หลอดลมอักเสบ