หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
วันที่เผยแพร่: 29 กรกฎาคม 2568, 13:40 น. ผู้เขียน: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่มา: SiamHealth.net
บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและสำคัญเกี่ยวกับยา Acetylcysteine ซึ่งเป็นยาที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจและภาวะเป็นพิษ จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานี้ สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย และทราบถึงข้อบ่งใช้และข้อควรระวังต่างๆ ที่สำคัญ การมีความรู้เกี่ยวกับยาที่คุณใช้จะช่วยให้คุณจัดการกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
Acetylcysteine (อะซีทิลซิสเทอีน) หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า NAC เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน L-cysteine ซึ่งมีคุณสมบัติหลักสองประการคือ:
ยาละลายเสมหะ (Mucolytic Agent): ช่วยลดความหนืดของเสมหะ ทำให้เสมหะขับออกได้ง่ายขึ้น
สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และสารตั้งต้นของกลูตาไธโอน (Glutathione Precursor): มีบทบาทสำคัญในการล้างพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของภาวะเป็นพิษจากยาพาราเซตามอล (Paracetamol/Acetaminophen Overdose)
Acetylcysteine มีจำหน่ายหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ดสำหรับรับประทาน (ละลายน้ำ), ยาน้ำสำหรับรับประทาน, ยาฉีด, และยาสำหรับพ่นทางเดินหายใจ (Nebulizer) ในประเทศไทย Acetylcysteine มีทั้งชนิดที่สามารถซื้อได้เองและชนิดที่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์ ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบของยา
Acetylcysteine ออกฤทธิ์ผ่านกลไกที่หลากหลายตามข้อบ่งใช้:
ในฐานะยาละลายเสมหะ (Mucolytic):
Acetylcysteine มีหมู่ซัลฟ์ไฮดริลอิสระ (-SH group) ซึ่งสามารถไปทำลายพันธะไดซัลไฟด์ (Disulfide Bonds) ในสายโปรตีนของเสมหะ
การทำลายพันธะเหล่านี้ทำให้โครงสร้างของเสมหะแตกตัวลง ความหนืดลดลง และเสมหะจึงถูกขับออกได้ง่ายขึ้นจากการไอหรือการดูดเสมหะ
ในฐานะสารล้างพิษ (Antidote) สำหรับพาราเซตามอลเกินขนาด:
เมื่อร่างกายได้รับพาราเซตามอลในปริมาณที่สูงเกินไป จะเกิดสารพิษที่เรียกว่า N-acetyl-p-benzoquinone imine (NAPQI) ซึ่งเป็นอันตรายต่อตับ
โดยปกติ NAPQI จะถูกกำจัดโดยกลูตาไธโอน (Glutathione) ในตับ แต่เมื่อได้รับพาราเซตามอลเกินขนาด ปริมาณกลูตาไธโอนจะลดลงจนไม่เพียงพอ ทำให้ NAPQI สะสมและทำลายเซลล์ตับ
Acetylcysteine ทำหน้าที่เป็น สารตั้งต้น (Precursor) ของกลูตาไธโอน ช่วยเพิ่มการสังเคราะห์กลูตาไธโอนในตับอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ Acetylcysteine อาจทำหน้าที่เป็นตัวจับพิษ (Direct Scavenger) ของ NAPQI และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์ตับจากความเสียหาย
Acetylcysteine มีข้อบ่งใช้หลักสองประเภท:
รักษาโรคระบบทางเดินหายใจที่มีเสมหะเหนียวข้น:
ใช้ละลายเสมหะที่เหนียวข้นในผู้ป่วยโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (Chronic Bronchitis)
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease - COPD)
โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema)
โรคหลอดลมโป่งพอง (Bronchiectasis)
โรคหอบหืดที่มีเสมหะข้นเหนียว (Asthma with tenacious sputum)
ภาวะแทรกซ้อนทางปอดจากโรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis)
โรคปอดอักเสบ หรือปอดบวม (Pneumonia), หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute Bronchitis), หรือวัณโรคปอด ที่มีเสมหะเหนียวข้น
ภาวะปอดแฟบเนื่องจากเสมหะเหนียวอุดหลอดลม (Atelectasis)
ใช้ในผู้ป่วยที่เจาะคอ (Tracheostomy) หากมีเสมหะเหนียวก็ใช้ยานี้ละลายเสมหะ
ใช้ในการเตรียมผู้ป่วยสำหรับการวินิจฉัยทางปอด เช่น การส่องกล้องหลอดลม
รักษาภาวะเป็นพิษจากยาพาราเซตามอลเกินขนาด:
ใช้เป็นยาแก้พิษ (Antidote) เพื่อป้องกันหรือลดความเสียหายต่อตับจากการได้รับพาราเซตามอลในปริมาณที่สูงเกินไป
Acetylcysteine มีหลายรูปแบบและขนาดที่แตกต่างกันไปตามข้อบ่งใช้และวิธีการบริหารยา:
ก. รูปแบบยาละลายเสมหะ:
ยาเม็ดละลายน้ำ (Effervescent Tablets) หรือ ยาน้ำสำหรับรับประทาน:
ผู้ใหญ่: 200 มก. วันละ 2-3 ครั้ง หรือ 600 มก. วันละครั้ง (สำหรับยาเม็ด 600 มก. หรือตามคำแนะนำของแพทย์)
เด็กอายุ 2-11 ปี: 100 มก. วันละ 2-4 ครั้ง
เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี: 50 มก. วันละ 2-3 ครั้ง
วิธีการใช้: ละลายยาเม็ดหรือยาน้ำในน้ำเปล่าประมาณครึ่งแก้ว แล้วดื่มทันที ระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนอง โดยทั่วไปจะให้ 5-7 วัน
ยาสำหรับพ่นทางเดินหายใจ (Nebulizer Solution):
กรณีเสมหะหรือสารคัดหลั่งมีความเหนียวมาก:
ผู้ใหญ่และเด็ก: สูบดมยาที่มีความเข้มข้น 10% บ่อยๆ อาจจะทุกชั่วโมง (ตามดุลยพินิจของแพทย์) หรือใช้แบบพ่นทางหน้ากาก วันละ 3-4 ครั้ง
หยอดยาเข้าในหลอดลมโดยตรง:
ใช้ยาที่มีความเข้มข้น 20% หยอดโดยตรงในส่วนของหลอดลม หรือใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังเข้าหลอดลมโดยใช้ยาที่มีความเข้มข้น 10-20% (ดำเนินการโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น)
หยอดยาเข้าทางท่อเจาะหลอดลมที่คอ (Tracheostomy)
ข. รูปแบบยาแก้พิษพาราเซตามอลเกินขนาด (ให้โดยบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล):
การให้ยาทางหลอดเลือดดำ (Intravenous - IV):
ผู้ป่วยที่มีน้ำหนัก 40 กิโลกรัมหรือมากกว่า:
ขนาดยาเริ่มต้น: 150 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ผสมในน้ำเกลือ 200 มิลลิลิตร ให้ยาในเวลา 60 นาที
ตามด้วย: 50 มก./กก. ผสมในน้ำเกลือ 500 มิลลิลิตร ให้ยาในเวลา 4 ชั่วโมง
ตามด้วย: 100 มก./กก. ผสมในน้ำเกลือ 1,000 มิลลิลิตร ให้ยาในเวลา 16 ชั่วโมง
สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัว 20-40 กิโลกรัม:
ขนาดยาเริ่มต้น: 150 มก./กก. ผสมในน้ำเกลือ 100 มิลลิลิตร ให้ยาในเวลา 60 นาที
ตามด้วย: 50 มก./กก. ผสมในน้ำเกลือ 250 มิลลิลิตร ให้ยาในเวลา 4 ชั่วโมง
ตามด้วย: 100 มก./กก. ละลายในน้ำเกลือ 500 มิลลิลิตร ให้ยาในเวลา 16 ชั่วโมง
ผู้ป่วยที่มีน้ำหนัก 20 กิโลกรัมหรือน้อยกว่า:
ขนาดยาเริ่มต้น: 150 มก./กก. ผสมในน้ำเกลือ 3 มิลลิลิตร/กิโลกรัม ให้ยาในเวลา 60 นาที
ตามด้วย: 50 มก./กก. ผสมในน้ำเกลือ 7 มิลลิลิตร/กิโลกรัม ให้ยาในเวลา 4 ชั่วโมง
ตามด้วย: 100 มก./กก. ผสมในน้ำเกลือ 14 มิลลิลิตร/กิโลกรัม ให้ยาในเวลา 16 ชั่วโมง
(น้ำเกลือที่ใช้ละลายยา ได้แก่ Dextrose 5%, Sodium Chloride 0.45% Injection, และ Water for Injection)
การให้โดยยารับประทาน (กรณีรับประทานพาราเซตามอลเกินขนาดและมาภายใน 24 ชั่วโมง):
เริ่มต้นให้รับประทานยาขนาด 140 มก./น้ำหนักตัว 1 กก.
หลังจากนั้น ให้รับประทานขนาด 70 มก./กก. ทุก 4 ชั่วโมงอีก 17 ครั้ง
หมายเหตุ: ขนาดยาและรูปแบบการใช้จะถูกกำหนดโดยแพทย์ผู้รักษาตามสภาพอาการ อายุ น้ำหนักตัว และการทำงานของตับ/ไตของผู้ป่วย ห้ามปรับขนาดยาเองเด็ดขาด
การแจ้งข้อมูลสุขภาพของคุณอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ Acetylcysteine คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับ:
ประวัติการแพ้ยา: เคยแพ้ยา Acetylcysteine หรือส่วนประกอบใดๆ ในยาหรือไม่
โรคประจำตัวอื่นๆ: โดยเฉพาะ
โรคหอบหืด (Asthma): เนื่องจากยาอาจกระตุ้นให้หลอดลมหดเกร็ง (Bronchospasm) ได้
โรคแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ (Peptic Ulcer Disease): หรือมีเลือดออกในทางเดินอาหาร
โรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria - PKU): (สำหรับยาเม็ดละลายน้ำบางชนิดที่มี Aspartame)
ภาวะไตบกพร่องรุนแรง หรือตับบกพร่องรุนแรง: (เนื่องจากยาอาจอยู่ในร่างกายนานขึ้น)
การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์:
การให้นมบุตร:
การผ่าตัดที่กำลังจะเกิดขึ้น: โดยเฉพาะหากเป็นการผ่าตัดใหญ่ อาจต้องหยุดยา Acetylcysteine ก่อนผ่าตัด 2 สัปดาห์
ยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรอื่นๆ ที่กำลังใช้: รวมถึงยาที่ซื้อเอง หรือยาที่ใช้เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ, ยาที่มีฤทธิ์ระงับการไอ (Antitussives), หรือยา Nitroglycerin
ควรใช้ Acetylcysteine ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยบางราย:
ผู้ป่วยโรคหอบหืด (Asthma): ควรใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากยาอาจกระตุ้นให้หลอดลมหดเกร็ง (Bronchospasm) ทำให้หายใจลำบาก แพทย์อาจให้ยาขยายหลอดลมก่อนการพ่นยา Acetylcysteine
ผู้ป่วยที่มีประวัติแผลในกระเพาะอาหาร หรือมีเลือดออกในทางเดินอาหาร: ยาอาจทำให้คลื่นไส้หรือระคายเคืองกระเพาะอาหาร
ผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่องรุนแรง หรือตับบกพร่องรุนแรง: ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และแพทย์อาจปรับขนาดยา เนื่องจากยาอาจอยู่ในร่างกายนานขึ้น
ผู้สูงอายุ: อาจมีความไวต่อผลข้างเคียงของยา
เด็ก: ยาจะมีค่าครึ่งชีวิตนานขึ้นในเด็กเล็ก
การระคายเคืองทางเดินหายใจ (จากการพ่นยา): การพ่นยา Acetylcysteine อาจทำให้เกิดอาการไอ, คลื่นไส้, หรือระคายเคืองในลำคอ
กลิ่นกำมะถัน: ยา Acetylcysteine มีกลิ่นคล้ายกำมะถัน (ไข่เน่า) ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ปฏิกิริยาต่อภาวะน้ำตาลในเลือด: มีรายงานพบน้อยที่ยาอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ควรระวังในผู้ป่วยเบาหวาน
อาจทำให้เลือดออกง่าย: มีรายงานพบน้อยที่ยาอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออกในบางกรณี
อาการที่ต้องเฝ้าระวังและควรพบแพทย์ทันที (อาการไม่พึงประสงค์):
อาการทางระบบหายใจ:
หายใจลำบาก, หายใจมีเสียงหวีด (Wheezing), แน่นหน้าอก, หรือหลอดลมหดเกร็ง (Bronchospasm) โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคหอบหืด
ไอเสมหะมีเลือดปน (Hemoptysis)
อาการแพ้ยาชนิดรุนแรง: มีผื่นขึ้น (โดยเฉพาะลมพิษ), คัน, จุกแน่นคอ, หายใจลำบาก, บวมที่ใบหน้า ลิ้น หรือคอ (เป็นภาวะฉุกเฉิน)
อาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด: หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia), ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension)
อาการทางระบบทางเดินอาหาร: อาเจียน (10%), คลื่นไส้ (6%), ปวดท้อง, ท้องเสีย
อาการทางผิวหนัง: ผื่น (4%), คัน (3%), ลมพิษ
อาการทางหูคอจมูก: คออักเสบ (Pharyngitis), น้ำมูกไหล (Rhinorrhea), จุกแน่นคอ (1%)
อาการผิดปกติของตับ (ในกรณีเป็นพิษจากพาราเซตามอล): ตัวเหลือง, ตาเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม, ปวดท้องด้านขวาบน
การตรวจพิเศษ:
ในกรณีรักษาเสมหะ: โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีการตรวจพิเศษใดๆ นอกจากการประเมินอาการทางคลินิก
ในกรณีภาวะเป็นพิษจากพาราเซตามอล: จะมีการตรวจเลือดเพื่อหาระดับพาราเซตามอลในเลือด, การทำงานของตับ (ALT, AST, Bilirubin, INR), การทำงานของไต, และระดับอิเล็กโทรไลต์ในเลือด เพื่อประเมินความรุนแรงของพิษและติดตามผลการรักษา
Acetylcysteine สามารถทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ได้บางชนิด สิ่งสำคัญคือ ต้องแจ้งรายการยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ให้แพทย์และเภสัชกรทราบเสมอ
ยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:
ยา Nitroglycerin: ไม่ควรใช้ Acetylcysteine ร่วมกับ Nitroglycerin เนื่องจากจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ และความดันโลหิตต่ำเพิ่มมากขึ้น
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): Acetylcysteine สามารถลดประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะบางชนิด (เช่น Tetracyclines, Aminoglycosides, Cephalosporins) หากต้องใช้ร่วมกัน ควรรับประทานหรือให้ยาห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
ยาแก้ไอ (Antitussives) หรือยาที่กดการไอ: เช่น Dextromethorphan, Codeine ไม่ควรใช้ร่วมกับ Acetylcysteine เนื่องจากยาแก้ไอจะไปกดการขับเสมหะออก ทำให้เสมหะสะสมมากขึ้น
ถ่านกัมมันต์ (Activated Charcoal): อาจลดการดูดซึมของ Acetylcysteine (โดยเฉพาะเมื่อใช้ในกรณีเป็นพิษจากพาราเซตามอล)
ดูรายละเอียดในหัวข้อ "อาการที่ต้องเฝ้าระวังและควรพบแพทย์ทันที" และ "วิธีลดหรือป้องกันผลข้างเคียง"
รับประทานยาตามขนาดและเวลาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ห้ามปรับขนาดยาเอง
สำหรับยาเม็ดละลายน้ำ: ละลายในน้ำเปล่าให้หมดก่อนดื่ม และดื่มทันที
สำหรับยาสำหรับพ่นทางเดินหายใจ: หากมีอาการหายใจลำบาก หรือหลอดลมหดเกร็ง ควรหยุดพ่นยาทันทีและแจ้งแพทย์
หากมีอาการคลื่นไส้/อาเจียนจากการรับประทานยา: ลองรับประทานพร้อมอาหาร หรือปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนรูปแบบ
รักษาสุขอนามัยที่ดี: โดยเฉพาะหากใช้ยาในรูปแบบพ่นทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับยาทุกชนิดที่ใช้อยู่: เพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยา
หากต้องผ่าตัด: ควรแจ้งแพทย์เรื่องการใช้ Acetylcysteine ล่วงหน้า เพื่อที่แพทย์จะพิจารณาหยุดยา 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด (ในบางกรณี)
หากได้รับยา Acetylcysteine เกินขนาด อาจเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือในกรณีรุนแรงอาจมีผลต่อตับหรือไตได้ วิธีแก้ไข: ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลหรือปรึกษาแพทย์ทันที การรักษาจะเน้นที่การดูแลตามอาการและประคับประคอง
สำหรับยาละลายเสมหะ (รูปแบบรับประทาน/พ่น):
หากลืมรับประทานหรือพ่นยา ให้รับประทาน/พ่นทันทีที่นึกได้
หากใกล้ถึงเวลาของยาครั้งถัดไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรับประทาน/พ่นตามตารางปกติ
ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่าเพื่อชดเชยยาที่ลืมเด็ดขาด
สำหรับยาแก้พิษพาราเซตามอล (กรณีได้รับยาฉีด):
เป็นยาที่ให้โดยบุคลากรทางการแพทย์อย่างเคร่งครัดในโรงพยาบาล จึงไม่มีกรณีการลืมใช้ยาด้วยตนเอง
เก็บยาในภาชนะที่บรรจุมา ปิดให้สนิท และพ้นมือเด็ก:
เก็บที่อุณหภูมิห้อง: ประมาณ 20-25°C (68-77°F) หรือตามที่ระบุบนฉลากยา
เก็บในที่แห้ง ไม่ถูกความร้อนและแสงโดยตรง:
ยาเม็ดละลายน้ำ: ควรเก็บในบรรจุภัณฑ์เดิมอย่างดี เพื่อป้องกันความชื้น
ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ยาเสมอ: ห้ามใช้ยาที่หมดอายุแล้ว
การกำจัดยา:
ยานี้เมื่อให้ชนิดเข้าทางหลอดเลือดดำจะมีค่าครึ่งชีวิต (Half-life) ประมาณ 5.6 ชั่วโมง ซึ่งหมายถึงระยะเวลาที่ยาจะลดลงไปครึ่งหนึ่งในร่างกาย
ในเด็กจะมีค่าครึ่งชีวิตของยานานขึ้น ซึ่งหมายถึงยาจะอยู่ในร่างกายนานกว่าผู้ใหญ่
สตรีมีครรภ์: Acetylcysteine จัดอยู่ใน Pregnancy Category B (จากการศึกษาในสัตว์ทดลองไม่พบความเสี่ยง) อย่างไรก็ตาม ควรใช้ยานี้เฉพาะเมื่อจำเป็นจริงๆ และอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อใช้เป็นยาแก้พิษพาราเซตามอล ซึ่งประโยชน์ในการช่วยชีวิตมารดาและทารกมีมากกว่าความเสี่ยง
การให้นมบุตร: ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า Acetylcysteine ผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อทารกหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตรขณะใช้ยานี้ แพทย์อาจแนะนำให้หลีกเลี่ยงยานี้หากไม่จำเป็น
Acetylcysteine (NAC) เป็นยาที่มีคุณสมบัติโดดเด่นทั้งในฐานะยาละลายเสมหะที่มีประสิทธิภาพ และเป็นยาแก้พิษที่สำคัญสำหรับภาวะเป็นพิษจากพาราเซตามอลเกินขนาด กลไกการออกฤทธิ์ที่ช่วยลดความหนืดของเสมหะและเพิ่มระดับกลูตาไธโอนในตับ ทำให้ยานี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม การใช้ Acetylcysteine จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคหอบหืด หรือผู้ที่มีประวัติแผลในกระเพาะอาหาร การทำความเข้าใจข้อบ่งใช้ ข้อควรระวัง และผลข้างเคียง จะช่วยให้คุณใช้ยานี้ได้อย่างปลอดภัยและได้รับประโยชน์สูงสุด
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เสมอ
ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้
![]() |
โรคหอบหืด โรคหอบหืดเป็นโรคที่เกิดจากภูมิแพ้จะมีอาการหอบ หรือเหนื่อยเมื่อสัมผัสสารภูมิแพ้ การรักษาต้องหลีกเลี่ยงและใช้ยาพ่นป้องกันอาการหอบหืด โรคหอบหืด |
![]() |
โรคปอดบวม โรคปอดบวมเกิดจากปอดติดเชื้อโรคทำให้มีเซลล์เม็ดเลือดขาว และเชื้อโรคในปอด ผู้ป่วยจะมีอาการหอบเหนื่อย ไอมีเสมหะ ไข้สูง ปอดบวม |
![]() |
โรคหลอดลมอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบเกิดจากเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม ผู้ป่วยจะมีไข้ ไอ แต่ไม่หอบมาก หลอดลมอักเสบ |