siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

"โพแทสเซียม" ในผลไม้ไทย: ดาบสองคมที่ต้องเลือกสรรอย่างเข้าใจ

โพแทสเซียม () เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้ มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ รวมถึงช่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายและควบคุมความดันโลหิต สำหรับคนส่วนใหญ่ การรับประทานผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงถือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

แต่สำหรับ ผู้ป่วยโรคไต นั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากไตทำหน้าที่ขับโพแทสเซียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้ไม่เต็มที่ การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงเกินไปอาจทำให้เกิด ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia) ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรง อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและหยุดเต้นได้

ดังนั้น การรู้จักเลือกรับประทานผลไม้ตามปริมาณโพแทสเซียมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง บทความนี้ได้แบ่งกลุ่มผลไม้ไทยตามปริมาณโพแทสเซียมเพื่อให้ง่ายต่อการเลือกรับประทานค่ะ


การแบ่งกลุ่มผลไม้ตามปริมาณโพแทสเซียม (ต่อ 100 กรัม)

เราสามารถแบ่งผลไม้ไทยยอดนิยมออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้

ผลไม้โพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยโรคไตควรเลี่ยง

 

กลุ่มที่ 1: ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง (High Potassium Fruits)

ควรหลีกเลี่ยง หรือปรึกษาแพทย์/นักกำหนดอาหารก่อนรับประทาน

ผลไม้ในกลุ่มนี้มีปริมาณโพแทสเซียมมากกว่า 250 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะในระยะท้ายๆ ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง

ผลไม้โพแทสเซียมปานกลาง ทานได้จำกัดสำหรับโรคไต

กลุ่มที่ 2: ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมปานกลาง (Medium Potassium Fruits)

รับประทานได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณอย่างเคร่งครัด

ผลไม้กลุ่มนี้มีโพแทสเซียมระหว่าง 150-250 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ผู้ป่วยโรคไตอาจรับประทานได้บ้างในปริมาณน้อยๆ ตามคำแนะนำของแพทย์

ผลไม้โพแทสเซียมต่ำ ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยโรคไต

กลุ่มที่ 3: ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมต่ำ (Low Potassium Fruits)

เป็นกลุ่มที่แนะนำและปลอดภัยกว่าสำหรับผู้ป่วยโรคไต

ผลไม้กลุ่มนี้มีโพแทสเซียมน้อยกว่า 150 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ยังคงต้อง ควบคุมปริมาณ ในการรับประทานแต่ละครั้ง


คำแนะนำในการวิเคราะห์และกำหนดปริมาณการบริโภค

สำหรับบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพดี ❤️

คุณสามารถรับประทานผลไม้ได้ทุกกลุ่มอย่างหลากหลาย เพื่อให้ได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่ครบถ้วน การบริโภคผลไม้ที่มีโพแทสเซียมยังช่วยควบคุมความดันโลหิตได้ดีอีกด้วย

สำหรับผู้ป่วยโรคไต

กฎเหล็กข้อแรกและสำคัญที่สุด คือ "ปรึกษาแพทย์และนักกำหนดอาหารประจำตัวของคุณเสมอ" เนื่องจากปริมาณโพแทสเซียมที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับระยะของโรคและผลเลือดในขณะนั้น

หลักการวิเคราะห์ง่ายๆ:

  1. เลือกจากกลุ่มโพแทสเซียมต่ำเป็นหลัก: ให้ผลไม้ในกลุ่มที่ 3 เป็นตัวเลือกแรกของคุณเสมอ

  2. "ปริมาณ" สำคัญกว่า "ชนิด": ต่อให้เป็นผลไม้โพแทสเซียมต่ำ แต่ถ้ารับประทานในปริมาณมาก เช่น ทานเงาะเป็นกิโลกรัม ร่างกายก็จะได้รับโพแทสเซียมรวมในปริมาณสูงอยู่ดี

  3. กำหนด "หน่วยบริโภค" (Serving Size): ให้จำกัดการทานผลไม้ครั้งละไม่เกิน 1 ส่วนบริโภคมาตรฐาน เช่น

    • เงาะ 3-4 ผล

    • ชมพู่ 1-2 ผล

    • สับปะรด หรือ แตงโม 6-8 ชิ้นพอดีคำ

  4. หลีกเลี่ยงผลไม้แปรรูป: ผลไม้แห้ง (เช่น กล้วยตาก) ผลไม้กวน หรือน้ำผลไม้กล่อง/คั้นสด จะมีความเข้มข้นของโพแทสเซียมสูงกว่าผลไม้สดหลายเท่า จึงควรหลีกเลี่ยง


บทสรุป

ผลไม้ไทยเป็นของขวัญจากธรรมชาติที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ แต่การบริโภคอย่างชาญฉลาดและเข้าใจข้อจำกัดของร่างกายตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับผู้ป่วยโรคไต การใส่ใจเลือกชนิดและควบคุมปริมาณผลไม้ตามคำแนะนำของทีมแพทย์ผู้รักษา จะช่วยให้คุณมีความสุขกับการรับประทานและมีคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่ไปกับการควบคุมโรคได้อย่างปลอดภัยค่ะ

ต่อหน้าที่ 2 | การให้โพแทสเซี่ยมในการรักษาความดันโลหิต | ภาวะโพแทสเซี่ยมสูง | โพแทสเซี่ยมในเลือดต่ำ | ปริมาณโพแทสเซี่ยมในอาหาร โปแตสเซี่ยมในผลไม

ทบทวนวันที่

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว