หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
โพแทสเซียม (
) เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้ มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ รวมถึงช่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายและควบคุมความดันโลหิต สำหรับคนส่วนใหญ่ การรับประทานผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงถือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพแต่สำหรับ ผู้ป่วยโรคไต นั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากไตทำหน้าที่ขับโพแทสเซียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้ไม่เต็มที่ การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงเกินไปอาจทำให้เกิด ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia) ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรง อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและหยุดเต้นได้
ดังนั้น การรู้จักเลือกรับประทานผลไม้ตามปริมาณโพแทสเซียมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง บทความนี้ได้แบ่งกลุ่มผลไม้ไทยตามปริมาณโพแทสเซียมเพื่อให้ง่ายต่อการเลือกรับประทานค่ะ
เราสามารถแบ่งผลไม้ไทยยอดนิยมออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
ควรหลีกเลี่ยง หรือปรึกษาแพทย์/นักกำหนดอาหารก่อนรับประทาน
ผลไม้ในกลุ่มนี้มีปริมาณโพแทสเซียมมากกว่า 250 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะในระยะท้ายๆ ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
ทุเรียน: ราชาแห่งผลไม้ไทย มีโพแทสเซียมสูงมาก (ประมาณ 436 มิลลิกรัม)
กล้วยหอม: เป็นที่ทราบกันดีว่ามีโพแทสเซียมสูง (ประมาณ 358 มิลลิกรัม)
ฝรั่ง: โดยเฉพาะฝรั่งขี้นก มีโพแทสเซียมสูงกว่าที่คิด (ประมาณ 417 มิลลิกรัม)
ขนุน: มีปริมาณโพแทสเซียมค่อนข้างสูง (ประมาณ 303 มิลลิกรัม)
ลำไย: แม้ผลจะเล็ก แต่โพแทสเซียมไม่น้อยเลย (ประมาณ 266 มิลลิกรัม)
แก้วมังกร (โดยเฉพาะเนื้อสีแดง): มีโพแทสเซียมสูงกว่าพันธุ์เนื้อสีขาว
รับประทานได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณอย่างเคร่งครัด
ผลไม้กลุ่มนี้มีโพแทสเซียมระหว่าง 150-250 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ผู้ป่วยโรคไตอาจรับประทานได้บ้างในปริมาณน้อยๆ ตามคำแนะนำของแพทย์
มะม่วงสุก: เป็นผลไม้ยอดนิยมที่มีโพแทสเซียมในระดับปานกลาง (ประมาณ 168 มิลลิกรัม)
มะละกอสุก: มีประโยชน์เรื่องการขับถ่าย แต่ก็มีโพแทสเซียมไม่น้อย (ประมาณ 182 มิลลิกรัม)
ส้ม: เช่น ส้มเขียวหวาน ส้มสายน้ำผึ้ง (ประมาณ 181 มิลลิกรัม)
ลิ้นจี่: มีรสหวานฉ่ำและโพแทสเซียมปานกลาง (ประมาณ 171 มิลลิกรัม)
เป็นกลุ่มที่แนะนำและปลอดภัยกว่าสำหรับผู้ป่วยโรคไต
ผลไม้กลุ่มนี้มีโพแทสเซียมน้อยกว่า 150 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ยังคงต้อง ควบคุมปริมาณ ในการรับประทานแต่ละครั้ง
มังคุด: ราชินีผลไม้ มีโพแทสเซียมต่ำ (ประมาณ 48 มิลลิกรัม)
เงาะ: ปริมาณโพแทสเซียมต่ำ สามารถทานได้ (ประมาณ 42 มิลลิกรัม)
สับปะรด: เป็นทางเลือกที่ดีและสดชื่น (ประมาณ 109 มิลลิกรัม)
ชมพู่: เนื้อฉ่ำน้ำและมีโพแทสเซียมต่ำ (ประมาณ 123 มิลลิกรัม)
แตงโม: มีน้ำเยอะ ทำให้โพแทสเซียมเจือจาง (ประมาณ 112 มิลลิกรัม)
สละ: มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และโพแทสเซียมไม่สูง
คุณสามารถรับประทานผลไม้ได้ทุกกลุ่มอย่างหลากหลาย เพื่อให้ได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่ครบถ้วน การบริโภคผลไม้ที่มีโพแทสเซียมยังช่วยควบคุมความดันโลหิตได้ดีอีกด้วย
กฎเหล็กข้อแรกและสำคัญที่สุด คือ "ปรึกษาแพทย์และนักกำหนดอาหารประจำตัวของคุณเสมอ" เนื่องจากปริมาณโพแทสเซียมที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับระยะของโรคและผลเลือดในขณะนั้น
หลักการวิเคราะห์ง่ายๆ:
เลือกจากกลุ่มโพแทสเซียมต่ำเป็นหลัก: ให้ผลไม้ในกลุ่มที่ 3 เป็นตัวเลือกแรกของคุณเสมอ
"ปริมาณ" สำคัญกว่า "ชนิด": ต่อให้เป็นผลไม้โพแทสเซียมต่ำ แต่ถ้ารับประทานในปริมาณมาก เช่น ทานเงาะเป็นกิโลกรัม ร่างกายก็จะได้รับโพแทสเซียมรวมในปริมาณสูงอยู่ดี
กำหนด "หน่วยบริโภค" (Serving Size): ให้จำกัดการทานผลไม้ครั้งละไม่เกิน 1 ส่วนบริโภคมาตรฐาน เช่น
เงาะ 3-4 ผล
ชมพู่ 1-2 ผล
สับปะรด หรือ แตงโม 6-8 ชิ้นพอดีคำ
หลีกเลี่ยงผลไม้แปรรูป: ผลไม้แห้ง (เช่น กล้วยตาก) ผลไม้กวน หรือน้ำผลไม้กล่อง/คั้นสด จะมีความเข้มข้นของโพแทสเซียมสูงกว่าผลไม้สดหลายเท่า จึงควรหลีกเลี่ยง
ผลไม้ไทยเป็นของขวัญจากธรรมชาติที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ แต่การบริโภคอย่างชาญฉลาดและเข้าใจข้อจำกัดของร่างกายตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับผู้ป่วยโรคไต การใส่ใจเลือกชนิดและควบคุมปริมาณผลไม้ตามคำแนะนำของทีมแพทย์ผู้รักษา จะช่วยให้คุณมีความสุขกับการรับประทานและมีคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่ไปกับการควบคุมโรคได้อย่างปลอดภัยค่ะ
ต่อหน้าที่ 2 | การให้โพแทสเซี่ยมในการรักษาความดันโลหิต | ภาวะโพแทสเซี่ยมสูง | โพแทสเซี่ยมในเลือดต่ำ | ปริมาณโพแทสเซี่ยมในอาหาร โปแตสเซี่ยมในผลไม
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว