การแพ้เครื่องสำอาง

 

ปัจจุบันนี้สาวๆหันมาสนใจความสวยความงามเป็นอันมาก มีการเปิดร้านเสริมสวย ลดความอ้วนกันมากมาย มีการนำเครื่องสำอางทั้งที่ผลิตเอง และนำจากต่างประเทศมาใช้กันอย่างแพร่หลาย วิวัฒนาการของความงามก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นวิวัฒนาการทางเครื่องสำอาง ร้านเสริมสวย สถาบันเสริมความงาม การใช้แสงเลเซอร์ช่วยในการรักษาผิวทั้งหมดนี้ถ้าใช้อย่างถูกวิธีก็เป็นสิ่งดี แต่บางครั้งก็ทำให้เกิดผลแทรกซ้อนได้ ดังนั้นจะเห็นว่าทุกคนไม่ว่าเพศหญิงหรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ หรือแม้กระทั่งผู้สูงอายุ ก็ต้องใช้เครื่องสำอางกันทั้งสิ้นเนื่องจากเครื่องสำอางนอกจากจะหมายถึงเครื่องแต่งหน้าที่ผู้หญิงใช้แล้ว ยังรวมถึงสบู่ ยาสีฟัน แชมพู ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกายด้วย ซึ่งผลข้างเคียงจากเครื่องสำอางพบได้น้อยเมื่อเทียบกับอัตราการใช้ แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วบางครั้งก็ทำให้เกิดความรำคาญ ทำให้เสียความงาม หรือบางครั้งงาอาจเป็นอันตรายขั้นรุนแรงได้

อาการแพ้เครื่องสำอางเครื่องสำอาง

 

  1. อาการที่ผู้ใช้เครื่องสำอางจะรู้สึกด้วยตัวเองเช่นอาการปวดแสบปวดร้อน อาการคัน หรือรู้สึกว่าคันยิบๆ อาการเหล่านี้จะเกิดเป็นช่วงสั้นๆ ไม่เกิด 10 นาที อาการที่พบบ่อยที่สุดมักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่ใบหน้าแต่ผู้ที่แพ้มักไม่ไปพบแพทย์ เพราะเมื่อหยุดใช้ อาการก็จะหายไป ทั้งนี้อาจเกิดจากการระคายเคืองของเครื่องสำอาง
  2. อาการแพ้ผื่นคัน อาจมีอาการตั้งแต่แพ้น้อยๆแค่มีผื่นแดงคัน จนกระทั่งแพ้มากเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำ มีขุย บริเวณของร่างกายที่จะแพ้ได้บ่อยที่สุดคือ บริเวณหน้าโดยเฉพาะรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบางที่สุดคือ บริเวณหน้าโดยเฉพาะรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบางที่สุด
  3. เกิดผื่นลมพิษ จะมีอาการผื่นแดง บวม ถ้าเป็นน้อยๆ อาจเห็นแค่หนังตาบวม ถ้าเป็นมากอาจพบผื่นบวมทั้งหน้า บางครั้งถ้าแพ้มาก อาจมีอาการทางด้านระบบอื่นของร่างกาย อาทิ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เช่น การแพ้ยาย้อมผม
  4. เกิดผื่นดำ บางครั้งยิ่งทาเครื่องสำอางแล้วหน้ายิ่งดำ ทั้งนี้เนื่องจากในผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของน้ำหอม ซึ่งมีสารเคมีที่เมื่อโดนแสงแล้วจะเกิดการแพ้แสงแดดเห็นเป็นรอยดำบริเวณที่สัมผัส หรือบางครั้งผลิตภัณฑ์ที่มีสารธรรมชาติ เช่น มะกรูด มะนาว แตงกวา หรือการใช้สมุนไพรมาทาหน้าก็จะทำให้หน้าดำ เพราะมีสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแล้วทำให้เกิดผื่นดำได้ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่รักษาฝ้าที่มีสารไฮโดรควิโนนในความเข้มข้นสูง จะทำให้เกิดปื้นดำบนใบหน้าอย่างถาวร แม้จะหยุดใช้แล้วก็ยังไม่หายดำ


  5. เกิดผื่นขาว ในสมัยก่อนมีครีมที่นิยมทาให้ใบหน้าขาว ซึ้งทาแล้วก็ทำให้ขาวได้จริงๆ แต่ขาวแบบไม่สม่ำเสมอ กระดำกระด่าง ทั้งนี้เนื่องจากมีสารจำพวกปรอทโมโนอีเทอร์ ไฮโดรควิโนนที่มีความเข้มข้นสูง บางครั้งรอยด่างขาวนี้ก็เป็นแบบถาวร เมื่อหยุดใช้แล้วเม็ดสีก็ไม่กลับคืน ดังนั้นทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจึงห้ามใช้สารเหล่านี้ในเครื่องสำอางแล้ว
  6. สิว เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ทำให้เกิดสิว เช่น สาโนลิน โซเดียมลอรัลซัลเฟต สารสเตียรอยด์ เป็นต้น เมื่อใช้ไปนานๆ อาจก่อให้เกิดสิวได้ ดังนั้นถ้าคนที่มีอายุเลยวัยที่จะเป็นสิวแล้วเกิดเป็นสิวขึ้นมา ให้สงสัยไว้ก่อนว่าจะเกิดจากเครื่องสำอาง
  7. การเปลี่ยนแปลงของเล็บ เช่น เล็บลอก เล็บผุกร่อน เปลี่ยนสี ขอบเล็บอักเสบ อาจเกิดจากการใช้เครื่องสำอางของเล็บ เช่น ยาทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บและบางครั้งก็เกิดจากร้านเสริมสวยที่รักษาความสะอาดไม่เพียงพอ
  8. การเปลี่ยนแปลงของผม น้ำยาดัดผม น้ำยายืดผม จะทำให้เส้นผมเปราะหักง่าย น้ำยาย้อมผม น้ำยาทำสีผม อาจทำให้เส้นผมกระด้าง ขาดความเงางาม
  9. ผลต่อระบบอื่นๆของร่างกาย เช่น เยื่อบุตาอักเสบ การดูดซึมของสาร การสะสมของสารพิษในระยะยาว ซึ่งถ้าเป็นเครื่องสำอางที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มักจะไม่มีอันตรายเหล่านี้ แต่บางครั้งด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ผลิตอาจจะใส่สารที่เป็นอันตราย เช่น ปรอท ตะกั่ว อันก่อให้เกิดพิษได้

เครื่องสำอางชนิดไหนที่ทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย เครื่องสำอางที่ถือว่ามีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงสูง ได้แก่ น้ำยายืดผม ครีมทำให้ผิวขาว ครีมรักษาฝ้า น้ำยาหรือครีมขจัดขน ส่วนที่มีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงปานกลาง ได้แก่ น้ำยาดัดผม น้ำยาย้อมผม ครีมบำรุงผม มาส์คหน้า ครีมแก้สิว ครีมรองพื้น ลิบสติก น้ำยาทำความสะอาดอวัยวะเพศ โฟมอาบน้ำ ยากันแดด ยาระงับกลิ่นตัว และยาลดเหงื่อ

ข้อปฏิบัติเมื่อแพ้เครื่องสำอาง จะทำอย่างไรเมื่อสงสัยว่าจะแพ้เครื่องสำอาง