siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

มะเร็งกระเพาะอาหาร: อาการ สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกัน

มะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach Cancer) เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ในกระเพาะอาหารเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็ง โรคนี้พบได้ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย และมักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี แม้ว่าจะไม่ใช่โรคที่พบได้บ่อยเท่ามะเร็งบางชนิด แต่การรู้เท่าทันสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันจะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจมะเร็งกระเพาะอาหารในภาษาที่เรียบง่ายและนำไปใช้ได้จริง


มะเร็งกระเพาะอาหารคืออะไร?

กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะที่ย่อยอาหารหลังจากที่เรากินเข้าไป มะเร็งกระเพาะอาหารเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในเยื่อบุกระเพาะอาหารเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างควบคุมไม่ได้ จนกลายเป็นก้อนเนื้อร้ายและสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ มะเร็งชนิดนี้มักเริ่มจากบริเวณใดบริเวณหนึ่งของกระเพาะ เช่น ส่วนบน (ใกล้หลอดอาหาร) หรือส่วนล่าง (ใกล้ลำไส้) และอาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่น เช่น ตับหรือต่อมน้ำเหลือง หากไม่ได้รับการรักษา


มะเร็งกระเพาะอาหาร

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

ถึงตอนนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของมะเร็งกระเพาะอาหาร แต่มีปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่:

  1. การติดเชื้อ Helicobacter pylori (H. pylori):
    • เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ติดต่อผ่านอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาด และอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งในระยะยาว
    • ในประเทศไทย การติดเชื้อ H. pylori พบได้บ่อย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยจำกัด
  2. พฤติกรรมการกิน:
    • อาหารที่มีเกลือสูง เช่น ปลาเค็ม ผักดอง หรืออาหารหมักดอง
    • การกินอาหารรมควันหรือแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน
    • การกินผักและผลไม้ที่มีไฟเบอร์น้อย
  3. การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์:
    • การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 2 เท่า
    • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร
  4. ประวัติครอบครัว:
    • หากมีญาติสายตรง (พ่อแม่ พี่น้อง) เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ความเสี่ยงของคุณอาจสูงขึ้น
    • การมีพันธุกรรมบางอย่าง เช่น Lynch syndrome ก็เพิ่มความเสี่ยง
  5. โรคอื่น ๆ:
    • โรคกระเพาะเรื้อรัง แผลในกระเพาะอาหาร หรือการผ่าตัดกระเพาะอาหารในอดีต
    • โรคโลหิตจางจากภาวะขาดวิตามิน B12 (pernicious anemia)
  6. ปัจจัยอื่น:
    • อายุมากกว่า 50 ปี (พบมากในผู้สูงอายุ)
    • เพศชาย (พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย)
    • ความอ้วนหรือน้ำหนักเกิน
  7. ภาวะกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง: การอักเสบของกระเพาะอาหารเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยง
  8. การผ่าตัดกระเพาะอาหารบางชนิด: ผู้ที่เคยผ่าตัดกระเพาะอาหารบางส่วนอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในระยะยาว

อาการของมะเร็งกระเพาะอาหาร

ในระยะแรกของมะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีอาการที่ไม่ชัดเจนและคล้ายกับโรคกระเพาะอาหารทั่วไป เช่น

  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ
  • ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณท้องส่วนบนี่
  • ท้องอืดหรือรู้สึกแน่น หลังกินอาหารเพียงเล็กน้อย
  • เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุุ
  • คลื่นไส้หรืออาเจียน บางครั้งอาจมีเลือดปน
  • ถ่ายอุจจาระสีดำ (จากเลือดในกระเพาะอาหาร)
  • รู้สึกเหนื่อยล้า หรืออ่อนเพลีย
  • กลืนลำบาก (ถ้ามะเร็งอยู่ใกล้หลอดอาหาร)

เมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้น อาจมีอาการที่รุนแรงขึ้น เช่น

  • อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า
  • คลำพบก้อนในท้อง
  • ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง) ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปที่ตับ
  • น้ำในช่องท้อง
  • มีปัญหาในการกลืน

หมายเหตุ: อาการเหล่านี้ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นมะเร็งเสมอไป เพราะอาจเกิดจากโรคอื่น เช่น แผลในกระเพาะหรือกรดไหลย้อน แต่ถ้าอาการเกิดขึ้นบ่อยหรือรุนแรง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม

 

 

 

 


การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหารทำได้อย่างไร?

หากแพทย์สงสัยว่าคุณอาจเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร จะมีการตรวจดังนี้:

  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย: แพทย์จะสอบถามอาการ ประวัติสุขภาพ และตรวจร่างกายเบื้องต้น
  • ส่องกล้องกระเพาะอาหาร (Gastroscopy): เป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัย โดยแพทย์จะสอดท่อขนาดเล็กที่มีกล้องติดอยู่ส่วนปลาย ผ่านทางปากลงไปในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อดูความผิดปกติและเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ (Biopsy) ไปตรวจทางพยาธิวิทยาใช้กล้องขนาดเล็กสอดเข้าไปดูภายในกระเพาะ และอาจตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ (biopsy)
  • การตรวจทางรังสีวิทยา: เช่น การเอกซเรย์ การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อดูขนาดของเนื้องอก การแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น และประเมินระยะของโรค
  • Complete Blood Count (CBC): ขั้นตอนในการเก็บตัวอย่างเลือดและตรวจหาสิ่งต่อไปนี้:
  • แบเรียมกลืน : ชุดของรังสีเอกซ์ของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยดื่มของเหลวที่มีแบเรียม ของเหลวเคลือบหลอดอาหารและกระเพาะอาหารและถ่ายเอ็กซ์เรย์ ขั้นตอนนี้เรียกอีกอย่างว่าชุด GI ตอนบน ขยายแบเรียมกลืนสำหรับมะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยกลืนของเหลวแบเรียมและไหลผ่านหลอดอาหารเข้าสู่กระเพาะอาหาร เอ็กซเรย์เพื่อค้นหาบริเวณที่ผิดปกติ
  • ตรวจเลือด: เพื่อหาสัญญาณของโรคโลหิตจางหรือการติดเชื้อ H. pyloriหรือสารบ่งชี้มะเร็งบางชนิด (Tumor markers)
  • การตรวจอื่น: เช่น การตรวจหามะเร็งระยะลุกลามด้วย PET scan

การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยให้รักษาได้ผลดีขึ้น ดังนั้นอย่าลังเลหากมีอาการผิดปกติ

การแพร่กระจายของมะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็งสามารถแพร่กระจายผ่าน เนื้อเยื่อ ระบบน้ำเหลือง และเลือด:

เนื้องอกระยะลุกลามเป็นมะเร็งชนิดเดียวกับเนื้องอกปฐมภูมิ ตัวอย่างเช่น หากมะเร็งกระเพาะอาหารแพร่กระจายไปยังตับ เซลล์มะเร็งในตับก็คือเซลล์มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคนี้คือมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลาม ไม่ใช่มะเร็งตับ


การรักษา

การรักษามะเร็งกระเพาะอาหารขึ้นอยู่กับระยะของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และตำแหน่งของมะเร็ง วิธีรักษาที่พบบ่อย ได้แก่:

  1. การผ่าตัด:
    • ถ้ามะเร็งอยู่ในระยะเริ่มแรก แพทย์อาจตัดเฉพาะส่วนที่เป็นมะเร็งออก
    • ในระยะที่ลุกลาม อาจต้องตัดกระเพาะอาหารบางส่วนหรือทั้งหมด (gastrectomy) และเชื่อมต่อลำไส้ใหม่
    • การผ่าตัดช่วยให้มีโอกาสหายขาดในระยะแรก
  2. เคมีบำบัด (Chemotherapy):
    • ใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งหรือลดขนาดก้อนมะเร็ง
    • อาจใช้ก่อนผ่าตัดเพื่อย่อมะเร็ง หรือหลังผ่าตัดเพื่อป้องกันการกลับมา
  3. รังสีบำบัด (Radiation Therapy):
    • ใช้รังสีพลังงานสูงกำจัดเซลล์มะเร็ง มักใช้ร่วมกับเคมีบำบัด
    • เหมาะกับบางกรณี เช่น มะเร็งที่ลุกลามเฉพาะจุด
  4. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy):
    • ใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงกับเซลล์มะเร็ง เช่น ยาที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่เลี้ยงมะเร็ง
    • เหมาะกับผู้ป่วยที่มีลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่าง
  5. ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy):
    • กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับมะเร็ง
    • ใช้ในระยะลุกลามหรือในกรณีที่การรักษาอื่นไม่ได้ผล

หมายเหตุ: การรักษาจะถูกปรับให้เหมาะกับแต่ละคน แพทย์จะพูดคุยกับคุณถึงทางเลือกและผลข้างเคียง เช่น อาการคลื่นไส้จากเคมีบำบัด หรือการเปลี่ยนแปลงการย่อยอาหารหลังผ่าตัด


การป้องกันและดูแลตัวเอง

ถึงแม้ว่าจะป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารได้ไม่ 100% แต่การปรับวิถีชีวิตช่วยลดความเสี่ยงได้มาก:

  1. กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ:
    • เพิ่มผักและผลไม้สด เช่น บรอกโคลี มะเขือเทศ และผลไม้ที่มีวิตามิน C
    • ลดอาหารเค็ม ดอง หรือแปรรูป เช่น ปลาเค็ม ไส้กรอก
    • เลือกอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ข้าวกล้อง ถั่ว
  2. เลิกสูบบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์:
    • หยุดสูบบุหรี่เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งหลายชนิด
    • ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยหรือเลี่ยงได้ยิ่งดี
  3. รักษาสุขอนามัย:
    • ล้างมือก่อนกินอาหาร และกินอาหารที่ปรุงสุกสะอาด
    • หากมีอาการปวดท้องเรื้อรัง อาจตรวจหาการติดเชื้อ H. pylori กับแพทย์
  4. ควบคุมน้ำหนัก:
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ววันละ 30 นาที
    • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเพื่อลดความเสี่ยง
  5. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ:
    • หากคุณอายุมากกว่า 50 ปี มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง หรือมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้องบ่อย ควรตรวจสุขภาพประจำปี
    • ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำส่องกล้องกระเพาะอาหารเพื่อตรวจหาความผิดปกติ
  6. รักษาการติดเชื้อ H. pylori: หากตรวจพบการติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

หากคุณมีอาการต่อไปนี้เกิน 2-3 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์:

  • ปวดท้องส่วนบนหรือรู้สึกแน่นท้องบ่อย
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระสีดำ
  • เบื่ออาหารหรือรู้สึกอ่อนเพลียมาก

การตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้รักษาง่ายขึ้นและมีโอกาสหายสูง


ข้อคิดสำหรับผู้อ่าน

มะเร็งกระเพาะอาหารอาจดูน่ากลัว แต่ความรู้และการดูแลตัวเองช่วยลดความเสี่ยงได้มาก การกินอาหารที่ดี ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอเป็นก้าวแรกที่ทุกคนทำได้ หากคุณมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับอาการ อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ คุณไม่ต้องเผชิญเรื่องนี้เพียงลำพัง และการรักษาในปัจจุบันก้าวหน้าขึ้นมาก

มะเร็งไม่ใช่จุดจบ หากเรารู้เท่าทันและจัดการอย่างถูกวิธี มาเริ่มดูแลสุขภาพกระเพาะอาหารของเราตั้งแต่วันนี้กันเถอะ!


หมายเหตุจากแพทย์: ข้อมูลในบทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ไม่สามารถใช้แทนการวินิจฉัยหรือรักษาโดยแพทย์ หากมีอาการน่าสงสัย ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจที่เหมาะสม

เอกสารอ้างอิง

  1. สถาบันมะเร็งแห่งชาติอเมริกา
  2. สมาคมมะเร็งอเมริกา

ทบทวนวันที่

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

เพิ่มเพื่อน