siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

การป้องกันมะเร็งเต้านม: สิ่งที่คุณสามารถทําได้เพื่อลดความเสี่ยง

การป้องกันมะเร็งเต้านม

การลดการเกิดมะเร็งเต้านมจะต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และเสริมปัจจัยป้องกันการเกิดมะเร็ง

ปัจจัยเสี่ยงที่ของการเกิดมะเร็งเต้านม



ปัจจัยที่ป้องกันมะเร็งเต้านม

ปัจจัยที่ไม่ชัดเจน

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม

อายุ

อายุมากจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเกือบทุกชนิดรวมทั้งมะเร็งเต้านม

ประวัติเคยเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งเต้านม

ผู้ที่เคยเป็นโรคดังต่อไปนี้จะเสี่ยงต่อการกิดมะเร็งเต้านม

ประวัติมะเร็งเต้านมในครอบครัว

ญาติสายตรงของผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านม( พี่ น้อง ลูกสาว)จะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น

มียีนเสี่ยงต่อมะเร็ง

ผู้ที่มียีน  BRCA1 และ  BRCA2 genes จะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่

สำหรับผู้ชายที่มียีน BRCA2 geneจะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง 

เต้านม

หากทำ mammogram และพบว่าเนื้อเต้านมมีลัดษณะหนาแน่น (dense) จะมีความเสี่ยงการเกดมะเร็งเต้านมมากว่าผู้ที่มีเนื้อไม่ dense ภาวะเนื้อเต้านม dense จะพบในผู้ที่ไม่เคยมีบุตร ผู้ที่มีบุตรตอนอายุมาก หรือหญิงวัยทองได้รับฮอร์โมน

ร่างกายได้รับฮอร์เมนเอสโตรเจนนาน

ผู้ที่เนื้อเยื่อเต้านมได้รับเอสโตรเจนนานจะเกิดในภาวะ

การได้รับฮอร์โมนในวัยทอง

ผู้ที่ได้รับยาฮอร์ดมนผสมระหว่าเอสโตรเจนและโปเจสตินจะเพิ่มความเสี่ยงในการกิดมะเร็งเต้านม

 

"รังสีรักษาที่เต้านมหรือหน้าอก"

รังสีรักษาที่หน้าอก

การรักษาด้วยรังสีที่หน้าอกเพื่อรักษามะเร็งจะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม โดยความเสี่ยงนี้เริ่มต้น 10 ปีหลังการรักษา ความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่ได้รับและอายุขณะที่ได้รับการรักษา ความเสี่ยงจะสูงที่สุดหากได้รับรังสีรักษาในช่วงวัยเจริญพันธุ์ (puberty) ซึ่งเป็นช่วงที่เต้านมกำลังพัฒนา

การรักษาด้วยรังสีเพื่อรักษามะเร็งในเต้านมข้างหนึ่งดูเหมือนจะไม่เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งในเต้านมอีกข้างหนึ่ง

สำหรับผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในยีน BRCA1 และ BRCA2 การสัมผัสกับรังสี เช่น จากการถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest x-rays) อาจเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ได้รับการถ่ายภาพรังสีก่อนอายุ 20 ปี

โรคอ้วน

โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ไม่ได้ใช้การบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน

การดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม ระดับความเสี่ยงจะสูงขึ้นตามปริมาณแอลกอฮอล์ที่บริโภค

การเป็นคนผิวขาว

ผู้หญิงผิวขาวมีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมสูงขึ้น

ปัจจัยป้องกันมะเร็งเต้านม

การลดการสัมผัสเนื้อเยื่อเต้านมกับเอสโตรเจนที่ร่างกายผลิต
การลดระยะเวลาที่เนื้อเยื่อเต้านมสัมผัสกับเอสโตรเจนอาจช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้ การสัมผัสเอสโตรเจนลดลงได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:

  • การตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุยังน้อย: ระดับเอสโตรเจนจะต่ำลงระหว่างการตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ครบกำหนดก่อนอายุ 20 ปี มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมต่ำกว่าผู้หญิงที่ไม่มีบุตรหรือคลอดบุตรคนแรกหลังอายุ 35 ปี
  • การให้นมบุตร: ระดับเอสโตรเจนอาจต่ำลงขณะให้นมบุตร ผู้หญิงที่ให้นมบุตรมีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมต่ำกว่าผู้หญิงที่มีบุตรแต่ไม่ได้ให้นม

การใช้ฮอร์โมนบำบัดแบบเอสโตรเจนอย่างเดียวหลังการตัดมดลูก, ตัวปรับตัวรับเอสโตรเจนแบบเลือกสรร, หรือตัวยับยั้งและตัวทำให้อโรมาเทสหยุดทำงาน

ฮอร์โมนบำบัดแบบเอสโตรเจนอย่างเดียวหลังการตัดมดลูก
การบำบัดด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียวอาจให้แก่ผู้หญิงที่ตัดมดลูกแล้ว ในผู้หญิงเหล่านี้ การบำบัดด้วยเอสโตรเจนอย่างเดียวหลังวัยหมดประจำเดือนอาจลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมได้ อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ใช้เอสโตรเจนหลังการตัดมดลูก

ตัวปรับตัวรับเอสโตรเจนแบบเลือกสรร (SERMs)
ทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) และราล็อกซิเฟน (Raloxifene) เป็นยาในกลุ่มตัวปรับตัวรับเอสโตรเจนแบบเลือกสรร (SERMs) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเอสโตรเจนในเนื้อเยื่อบางส่วนของร่างกาย แต่ขัดขวางผลของเอสโตรเจนในเนื้อเยื่ออื่น

  • การรักษาด้วยทาม็อกซิเฟนลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมชนิดตัวรับเอสโตรเจนบวก (ER-positive) และมะเร็งท่อน้ำนมในระยะเริ่มต้น (ductal carcinoma in situ) ในผู้หญิงก่อนและหลังวัยหมดประจำเดือนที่มีความเสี่ยงสูง
  • การรักษาด้วยราล็อกซิเฟนยังลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ผลการลดความเสี่ยงนี้จะคงอยู่นานหลายปีหลังหยุดยา และพบว่าผู้ป่วยที่ใช้ราล็อกซิเฟนมีอัตรากระดูกหักลดลง

การใช้ทาม็อกซิเฟนเพิ่มความเสี่ยงของอาการร้อนวูบวาบ, มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, โรคหลอดเลือดสมอง, ต้อกระจก และลิ่มเลือด (โดยเฉพาะในปอดและขา) ความเสี่ยงเหล่านี้เพิ่มขึ้นตามอายุ ผู้หญิงอายุต่ำกว่า 50 ปีที่มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งเต้านมอาจได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการใช้ทาม็อกซิเฟน ความเสี่ยงเหล่านี้ลดลงหลังหยุดยา ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของยานี้

การใช้ราล็อกซิเฟนเพิ่มความเสี่ยงของลิ่มเลือดในปอดและขา แต่ดูเหมือนจะไม่เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีภาวะกระดูกพรุน ราล็อกซิเฟนลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมทั้งในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงและต่ำ ยังไม่ทราบว่าราล็อกซิเฟนจะมีผลเช่นเดียวกันในผู้หญิงที่ไม่มีภาวะกระดูกพรุนหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์

ขณะนี้มีการศึกษา SERMs อื่นๆ ในการทดลองทางคลินิก

ตัวยับยั้งและตัวทำให้อโรมาเทสหยุดทำงาน
ตัวยับยั้งอโรมาเทส (เช่น anastrozole, letrozole) และตัวทำให้หยุดทำงาน (เช่น exemestane) ลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมใหม่ในผู้หญิงที่มีประวัติมะเร็งเต้านม ตัวยับยั้งอโรมาเทสยังลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมในผู้หญิงที่มีเงื่อนไขต่อไปนี้:

  • ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีประวัติส่วนตัวของมะเร็งเต้านม
  • ผู้หญิงที่ไม่มีประวัติมะเร็งเต้านม อายุ 60 ปีขึ้นไป มีประวัติมะเร็งท่อน้ำนมในระยะเริ่มต้นที่ตัดเต้านมแล้ว หรือมีความเสี่ยงสูงตามเครื่องมือ Gail model

ในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูง การใช้ตัวยับยั้งอโรมาเทสลดปริมาณเอสโตรเจนที่ร่างกายผลิต ก่อนวัยหมดประจำเดือน รังไข่และเนื้อเยื่ออื่นๆ เช่น สมอง ไขมัน และผิวหนัง ผลิตเอสโตรเจน หลังวัยหมดประจำเดือน รังไข่หยุดผลิต แต่เนื้อเยื่ออื่นยังคงผลิตต่อ ตัวยับยั้งอโรมาเทสขัดขวางการทำงานของเอนไซม์อโรมาเทสที่ใช้ผลิตเอสโตรเจนทั้งหมด ส่วนตัวทำให้หยุดทำงานจะหยุดการทำงานของเอนไซม์นี้

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการใช้ตัวยับยั้งอโรมาเทส ได้แก่ อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ, กระดูกพรุน, ร้อนวูบวาบ และรู้สึกเหนื่อยมาก

การผ่าตัดลดความเสี่ยง (Risk-reducing mastectomy)

ผู้หญิงบางคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งเต้านมอาจเลือกการผ่าตัดเต้านมทั้งสองข้างออก (เมื่อยังไม่มีสัญญาณของมะเร็ง) ความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมลดลงมากในผู้หญิงเหล่านี้ และส่วนใหญ่รู้สึกกังวลน้อยลงเกี่ยวกับความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม การประเมินความเสี่ยงมะเร็งและการปรึกษาก่อนตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญมาก

การตัดรังไข่ (Ovarian ablation)

รังไข่ผลิตเอสโตรเจนส่วนใหญ่ของร่างกาย การรักษาที่หยุดหรือลดปริมาณเอสโตรเจนจากรังไข่ ได้แก่ การผ่าตัดเอาออก, รังสีรักษา หรือการใช้ยาบางชนิด เรียกว่า ovarian ablation
ผู้หญิงก่อนวัยหมดประจำเดือนที่มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในยีน BRCA1 และ BRCA2 อาจเลือกการผ่าตัดรังไข่ทั้งสองข้างออก (เมื่อไม่มีสัญญาณมะเร็ง) เพื่อลดปริมาณเอสโตรเจนและความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม การผ่าตัดนี้ยังลดความเสี่ยงในผู้หญิงก่อนวัยหมดประจำเดือนปกติและผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจากการได้รับรังสีที่หน้าอก อย่างไรก็ตาม ต้องมีการประเมินความเสี่ยงและปรึกษาก่อนตัดสินใจ การลดลงของเอสโตรเจนอย่างกะทันหันอาจทำให้เกิดอาการวัยหมดประจำเดือน เช่น ร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ วิตกกังวล และซึมเศร้า ผลระยะยาวรวมถึงความต้องการทางเพศลดลง ช่องคลอดแห้ง และความหนาแน่นของกระดูกลดลง

การออกกำลังกายให้เพียงพอ

ผู้หญิงที่ออกกำลังกาย 4 ชั่วโมงหรือมากกว่าต่อสัปดาห์มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมลดลง ผลของการออกกำลังกายอาจเด่นชัดที่สุดในผู้หญิงก่อนวัยหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักตัวปกติหรือต่ำ

ปัจจัยที่ยังไม่ชัดเจนว่ามีผลต่อความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมหรือไม่

ยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิดบางชนิดมีเอสโตรเจน การศึกษาแสดงว่าการใช้ยาคุมกำเนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมเล็กน้อยในผู้ใช้ปัจจุบัน ความเสี่ยงนี้ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป การศึกษาอื่นไม่พบความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ยาคุมกำเนิดแบบโปรเจสตินอย่างเดียวที่ฉีดหรือฝังดูเหมือนจะไม่เพิ่มความเสี่ยง ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับยาคุมกำเนิดแบบโปรเจสตินอย่างเดียว

สิ่งแวดล้อม
การศึกษาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการสัมผัสสารบางอย่างในสิ่งแวดล้อม เช่น สารเคมี เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม

ปัจจัยที่ไม่ส่งผลต่อความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม

  • การทำแท้ง
  • การเปลี่ยนแปลงอาหาร เช่น กินไขมันน้อยลงหรือผักผลไม้มากขึ้น
  • การกินวิตามิน รวมถึง fenretinide (วิตามินเอชนิดหนึ่ง)
  • การสูบบุหรี่ทั้งแบบสูบเองและสูดควันบุหรี่มือสอง
  • การใช้ deodorant หรือ antiperspirant ใต้วงแขน
  • การใช้ยาสแตติน (ยาลดคอเลสเตอรอล)
  • การใช้ยาบิสฟอสโฟเนต (ยารักษากระดูกพรุนและภาวะแคลเซียมในเลือดสูง) ทางปากหรือฉีดเข้าเส้นเลือด

การทดลองทางคลินิกเพื่อป้องกันมะเร็ง

การทดลองทางคลินิกเพื่อป้องกันมะเร็งใช้ศึกษาวิธีลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด บางการทดลองทำกับคนสุขภาพดีที่ไม่เคยเป็นมะเร็งแต่มีความเสี่ยงสูง บางการทดลองทำกับผู้ที่เคยเป็นมะเร็งและพยายามป้องกันมะเร็งชนิดเดียวกันหรือมะเร็งชนิดใหม่ การทดลองอื่นทำกับอาสาสมัครสุขภาพดีที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง

จุดประสงค์ของการทดลองบางอย่างคือการหาว่าการกระทำบางอย่าง เช่น การออกกำลังกายมากขึ้น หยุดสูบบุหรี่ หรือการใช้ยา วิตามิน แร่ธาตุ หรืออาหารเสริม สามารถป้องกันมะเร็งได้หรือไม่

วิธีใหม่ในการป้องกันมะเร็งเต้านม

การทดลองทางคลินิกกำลังดำเนินการในหลายพื้นที่ ข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองสามารถดูได้ที่ส่วน Clinical Trials ของเว็บไซต์ NCI ตรวจสอบรายการทดลองป้องกันมะเร็งเต้านมที่กำลังรับผู้ป่วยได้ที่เว็บไซต์ NCI