โควิด-19: ความรู้ล่าสุดเกี่ยวกับเชื้อ, อาการ, การรักษา, และการป้องกัน
บทนำ: เชื้อโควิด-19 เป็นอย่างไร ก่อให้เกิดโรคและมีความรุนแรงอย่างไร
โควิด-19 เกิดจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งอยู่ในตระกูล Coronaviridae เป็นไวรัส RNA ที่ติดต่อผ่านระบบทางเดินหายใจ เชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือก เช่น จมูก, ปาก, หรือตา และจับกับตัวรับ ACE2 บนเซลล์ปอด ทำให้เกิดการอักเสบและอาจลุกลามไปสู่ปอดบวมหรือระบบอื่น ๆ ในร่างกาย ในช่วงแรกของการระบาด (ปี 2563-2564) โควิด-19 มีความรุนแรงสูง ส่งผลให้มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 2-3% โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน (มิถุนายน 2568) ความรุนแรงลดลง เนื่องจากการกลายพันธุ์ของเชื้อและภูมิคุ้มกันจากวัคซีน แต่ยังอาจรุนแรงในกลุ่มเสี่ยง
การกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 และสายพันธุ์ล่าสุด
เชื้อ SARS-CoV-2 มีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง สายพันธุ์ที่สำคัญ ได้แก่:
- Alpha (B.1.1.7): พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร (กันยายน 2563) ติดต่อได้เร็วกว่าเชื้อดั้งเดิม 50%
- Beta (B.1.351): พบในแอฟริกาใต้ (พฤษภาคม 2563) มีการหลบภูมิคุ้มกันบางส่วน
- Gamma (P.1): พบในบราซิล (พฤศจิกายน 2563) มีความสามารถในการติดเชื้อซ้ำ
- Delta (B.1.617.2): พบในอินเดีย (ตุลาคม 2563) รุนแรงและติดต่อได้สูง ครองการระบาดในปี 2564
- Omicron (B.1.1.529): พบในแอฟริกาใต้ (พฤศจิกายน 2564) ติดต่อได้สูงมากแต่ความรุนแรงลดลง มีสายพันธุ์ย่อย เช่น BA.1, BA.2, BA.5
- XBB และลูกผสม: พบในปี 2566 เป็นสายพันธุ์ย่อยของ Omicron มีการหลบภูมิคุ้มกันสูง
- สายพันธุ์ล่าสุด (มิถุนายน 2568): จากข้อมูลล่าสุดของ WHO สายพันธุ์ที่ครองการระบาดคือ KP.3 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของ Omicron (ตระกูล JN.1) มีการติดต่อสูงแต่ความรุนแรงต่ำกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า
การติดเชื้อโควิด-19
ระยะฟักตัว
ระยะฟักตัวของโควิด-19 ในสายพันธุ์ปัจจุบัน (KP.3) อยู่ที่ 2-5 วัน โดยเฉลี่ย 3 วัน ซึ่งสั้นลงจากสายพันธุ์ดั้งเดิม (5-14 วัน) เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายเร็วขึ้น
วิธีการติดเชื้อ
- ทางระบบทางเดินหายใจ: สูดดมละอองฝอย (Droplets) หรืออนุภาคขนาดเล็ก (Aerosols) ที่มีเชื้อจากการไอ, จาม, หรือพูดคุยของผู้ติดเชื้อ
- การสัมผัส: สัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อปนเปื้อน เช่น ลูกบิดประตู, แล้วสัมผัสใบหน้า, ตา, จมูก, หรือปาก
- การสัมผัสใกล้ชิด: การสัมผัสน้ำมูก, น้ำลายของผู้ติดเชื้อ
อาการของโควิด-19 (ในสายพันธุ์ปัจจุบัน)
อาการของโควิด-19 ในสายพันธุ์ KP.3 (มิถุนายน 2568) มีลักษณะคล้ายหวัดมากขึ้น เนื่องจากภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและการติดเชื้อก่อนหน้า อาการที่พบ ได้แก่:
- ไข้หรือหนาวสั่น
- เจ็บคอ
- ไอแห้ง
- น้ำมูกไหลหรือคัดจมูก
- อ่อนเพลีย
- ปวดศีรษะ
- ปวดกล้ามเนื้อ
- สูญเสียการรับรู้กลิ่นหรือรส (พบน้อยลงในสายพันธุ์ปัจจุบัน)
อาการที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อรุนแรง
- หายใจลำบากหรือหายใจถี่
- ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 94% (วัดด้วย Pulse Oximeter)
- เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก
- สับสนหรือหมดสติ
- ไข้สูงเกิน 39°C นานเกิน 3 วัน
การวินิจฉัยโควิด-19
การวินิจฉัยโควิด-19 ทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:
- RT-PCR: วิธีมาตรฐาน เก็บตัวอย่างจากโพรงจมูกหรือคอ ตรวจหา RNA ของไวรัส ผลแม่นยำสูง
- Antigen Test (ATK): ตรวจหาโปรตีนของไวรัส ผลรวดเร็วใน 15-30 นาที แต่ความแม่นยำต่ำกว่า RT-PCR
- การตรวจเลือด (Antibody Test): ใช้ตรวจภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้อ ไม่เหมาะสำหรับการวินิจฉัยการติดเชื้อเฉียบพลัน
การรักษาโควิด-19
การรักษาโควิด-19 ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ:
- อาการเล็กน้อยถึงปานกลาง:
- กักตัวที่บ้าน 7-10 วัน
- พักผ่อนให้เพียงพอ, ดื่มน้ำมาก ๆ
- กินยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล
- กินยาแก้ไอหรือยาลดน้ำมูกตามอาการ
- อาการรุนแรง:
- รักษาในโรงพยาบาล
- ให้ออกซิเจน หากระดับออกซิเจนต่ำ
- ใช้ยาต้านไวรัส เช่น Paxlovid (Nirmatrelvir/Ritonavir) หรือ Molnupiravir ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง
- ให้สเตียรอยด์ เช่น Dexamethasone หากมีการอักเสบรุนแรง
- ใส่เครื่องช่วยหายใจ หากปอดบวมรุนแรง
อาการที่บ่งบอกว่าโรคอาจรุนแรง
นอกจากอาการรุนแรงที่กล่าวไปแล้ว อาการต่อไปนี้บ่งบอกว่าโรคอาจรุนแรงขึ้นและควรพบแพทย์ทันที:
- หายใจเร็วเกิน 30 ครั้งต่อนาที
- ริมฝีปากหรือปลายนิ้วเขียว (Cyanosis)
- ความดันโลหิตต่ำหรือช็อก
- มีไข้สูงและอาการไม่ดีขึ้นหลัง 5 วัน
การป้องกันการติดเชื้อโควิด-19
- สวมหน้ากากอนามัย: โดยเฉพาะในที่แออัดหรือระบบปิด
- ล้างมือบ่อย ๆ: ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ 70%
- เว้นระยะห่าง: หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
- ระบายอากาศ: อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทดี
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้า: โดยเฉพาะตา, จมูก, ปาก
วัคซีนยังมีบทบาทป้องกันโรคหรือไม่
ในมิถุนายน 2568 วัคซีนโควิด-19 ยังคงมีบทบาทสำคัญในการลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต แม้ว่าประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้ออาจลดลงในสายพันธุ์ใหม่ เช่น KP.3 เนื่องจากการหลบภูมิคุ้มกัน วัคซีนที่ใช้ในปัจจุบัน เช่น Pfizer, Moderna (mRNA), และวัคซีนปรับปรุงสูตร (Bivalent) ยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ Omicron และสายพันธุ์ย่อยได้ดี
กลุ่มเสี่ยงคืออะไร ต้องฉีดวัคซีนหรือไม่
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังและแนะนำให้ฉีดวัคซีน ได้แก่:
- ผู้สูงอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี)
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, โรคปอดเรื้อรัง
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง, ผู้ป่วย HIV
- หญิงตั้งครรภ์
- บุคลากรทางการแพทย์
กลุ่มเสี่ยงควรฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของแพทย์ และอาจต้องฉีดเข็มกระตุ้น (Booster) ทุก 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การระบาดและสายพันธุ์ที่ครอง
สรุป
โควิด-19 ในปัจจุบัน (มิถุนายน 2568) มีความรุนแรงลดลงจากสายพันธุ์ดั้งเดิม แต่ยังคงเป็นโรคที่ต้องระวัง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง การติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการคล้ายหวัด แต่ผู้ที่มีอาการรุนแรงควรได้รับการรักษาทันที วัคซีนยังคงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันอาการรุนแรง การป้องกันด้วยการสวมหน้ากาก, ล้างมือ, และเว้นระยะห่างยังเป็นสิ่งจำเป็น หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม
เผยแพร่เมื่อ:
โดย: นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร, อายุรแพทย์, แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว