siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

ยาลดไขมันไตรกลีเซอไรด์: คู่มือการลดระดับไตรกลีเซอไรด์และป้องกันโรคหัวใจ

ยาลดไขมันไตรกลีเซอไรด์: ประโยชน์ วิธีการใช้ และสิ่งที่ควรรู้

ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) เป็นชนิดของไขมันที่พบในเลือด ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย แต่เมื่อระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ดังนั้นการควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์จึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด บทความนี้จะพูดถึงยาลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ประเภท วิธีการใช้ และข้อควรระวังต่างๆ

ความสำคัญของการควบคุมไตรกลีเซอไรด์

ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงเกินไปสามารถนำไปสู่:

ประเภทของยาลดไขมันไตรกลีเซอไรด์

  1. ไฟเบรต (Fibrates)

    ไฟเบรตเป็นยาที่ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดโดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ในร่างกายให้เพิ่มการเผาผลาญไตรกลีเซอไรด์ ยานี้ยังสามารถช่วยเพิ่มระดับ HDL คอเลสเตอรอล (ไขมันดี) ในบางกรณี กลไกการทำงาน: ลดการผลิตไตรกลีเซอไรด์ในตับ และเพิ่มการขจัดไตรกลีเซอไรด์จากเลือดตัวอย่างยากลุ่มไฟเบรต ได้แก่:

    • เจ็มไฟโบรซิล Gemfibrozil หรือ Lopid
    • Clofibrate
    • เฟโนไฟเบรต Fenofibrate หรือ Tricor

    ผลข้างเคียง: ยากลุ่มนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อ ริดสีดวงทวาร ท้องเสียและในบางรายอาจมีผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับตับหรือไตได้

  2. นิเชอรอล (Niacin)

    ไนอะซิน หรือวิตามินบี 3 เป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และ LDL คอเลสเตอรอล (ไขมันไม่ดี) และยังสามารถเพิ่มระดับ HDL คอเลสเตอรอลได้ แต่การใช้ไนอะซินในปริมาณสูงจำเป็นต้องได้รับการควบคุมจากแพทย์เพราะอาจมีผลข้างเคียง ตัวอย่างไนอะซินได้แก่:

    • นีอะซินขนาดสูง (High-dose niacin)

    ผลข้างเคียง: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่ หน้าแดง ปวดท้อง และอาจส่งผลต่อตับในระยะยาวได้

    • กลไกการทำงาน: ลดการผลิตไตรกลีเซอไรด์และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลดี (HDL) ในเลือด
    • ตัวอย่างยา: ไนซิน (Niacin)
    • ผลข้างเคียง: แพ้ความร้อนในผิวหนัง แห้งตา แสบร้อน และปัญหาเกี่ยวกับตับ
  3. สแตติน (Statins)

    แม้ว่าสแตตินจะเป็นยาที่ใช้ลด LDL คอเลสเตอรอลเป็นหลัก แต่ก็สามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้บ้าง ยากลุ่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีทั้งระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับยาอื่นๆ ได้

    • กลไกการทำงาน: ลดการผลิตคอเลสเตอรอลในตับ ซึ่งส่งผลให้ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
    • ตัวอย่างยา: อะทอร์วาสแตติน (Atorvastatin) และซิมวาสแตติน (Simvastatin)
    • ผลข้างเคียง: ปวดกล้ามเนื้อ ปัญหาเกี่ยวกับตับ และการย่อยอาหารผิดปกติ
  4. ยาต้านการดูดซึมคอเลสเตอรอล (Cholesterol Absorption Inhibitors)

    • กลไกการทำงาน: ยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหาร ซึ่งช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์
    • ตัวอย่างยา: เอเซติมิเบบ (Ezetimibe)
    • ผลข้างเคียง: ปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย และปวดท้อง
  5. ยาที่มีโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids)

    น้ำมันปลา หรือกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมในการลดไตรกลีเซอไรด์ น้ำมันปลาที่มีกรดไขมัน EPA และ DHA จะช่วยลดการสร้างไตรกลีเซอไรด์ในตับ สามารถใช้ร่วมกับยาลดคอเลสเตอรอลอื่นๆ ได้ ตัวอย่างของน้ำมันปลาที่แพทย์อาจแนะนำ

    กลไกการทำงาน: ลดการผลิตไตรกลีเซอไรด์ในตับและเพิ่มการขจัดไตรกลีเซอไรด์จากเลือด

    ได้แก่:

    • ตัวอย่างยา: อีไคโคซาเพนตาโนอิกแอซิด (Eicosapentaenoic Acid, EPA) และดอกโซฮาแซนทาเพนตาโนอิกแอซิด (Docosahexaenoic Acid, DHA)

    ผลข้างเคียง: น้ำมันปลาอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาการเรอที่มีกลิ่นปลา หรือท้องเสียได้ ในบางรายอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหากใช้ในปริมาณสูง

ใครที่ควรใช้ยาลดไขมันไตรกลีเซอไรด์

การใช้ยาลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ควรพิจารณาในกรณีดังต่อไปนี้:

  1. ผู้ที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง: โดยปกติแล้วระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงกว่า 200 มก./เดซิลิตรถือว่าเป็นระดับที่ต้องการการรักษา
  2. ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด: เช่น ผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจ วาติน หรือโรคหลอดเลือดสมอง
  3. ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: เช่น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
  4. ผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติร่วมกับระดับไตรกลีเซอไรด์สูง: เช่น ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูงและคอเลสเตอรอลดีต่ำ

การใช้ยาควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

การใช้ยาลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ควรเสริมด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา:

ข้อควรระวังและผลข้างเคียง

การใช้ยาลดไขมันไตรกลีเซอไรด์อาจมีผลข้างเคียงที่ต้องระวัง ดังนี้:

สรุป

ยาลดไขมันไตรกลีเซอไรด์เป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด การใช้ยาควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์และควรเสริมด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผู้ที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงหรือมีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย

ทบทวนวันที่

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

Google
 

เพิ่มเพื่อน