siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

สารให้ความหวาน: ทางเลือกแทนน้ำตาลและผลกระทบต่อสุขภาพ

สารให้ความหวานคืออะไร?

สารให้ความหวานสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภทหลัก แต่ละประเภทมีข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบที่แตกต่างกัน ดังนี้:


1. สารให้ความหวานธรรมชาติจากน้ำตาล (Natural Caloric Sweeteners)


2. สารให้ความหวานธรรมชาติไร้น้ำตาล (Natural Non-Caloric Sweeteners)


3. สารให้ความหวานสังเคราะห์ (Artificial Sweeteners)


4. น้ำตาลแอลกอฮอล์ (Sugar Alcohols)


5. สารให้ความหวานกลุ่มใหม่ (Novel Sweeteners)

หรือจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  1. สารให้ความหวานให้พลังงาน (Nutritive Sweeteners)

    • ให้พลังงานแต่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าน้ำตาลปกติ
    • ตัวอย่าง: ฟรุกโตส (Fructose), ซอร์บิทอล (Sorbitol), มอลทิทอล (Maltitol)
  2. สารให้ความหวานไม่ให้พลังงาน (Non-Nutritive Sweeteners)

    • ให้ความหวานสูงกว่าน้ำตาลหลายเท่า แต่ให้พลังงานน้อยมากหรือไม่มีเลย
    • ตัวอย่าง: แอสพาเทม (Aspartame), ซูคราโลส (Sucralose), สตีวิออลไกลโคไซด์ (Steviol Glycosides)

สารให้ความหวานยอดนิยม

  1. แอสปาร์แตม (Aspartame):

    • ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 200 เท่า
    • มีพลังงาน แต่ใช้ในปริมาณน้อย
    • ไม่ทนความร้อน ไม่เหมาะกับการอบหรือปรุงอาหารที่อุณหภูมิสูง
    • ผู้ป่วยโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ควรหลีกเลี่ยง
  2. ซูคราโลส(Sucralose)

    • ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 600 เท่า
    • ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่ให้พลังงาน
    • ทนความร้อน เหมาะกับการทำอาหารและขนมอบ
  3. สตีเวีย (Stevia):

    • ข้อดี: ไม่มีแคลอรี รสหวานจากสารสตีวิออลไกลโคไซด์ (Steviol Glycosides) เหมาะสำหรับผู้ควบคุมน้ำหนักหรือผู้ป่วยเบาหวาน
    • ข้อเสีย: มีรสขมติดลิ้นในบางคน ราคาสูงกว่าสารให้ความหวานอื่น ๆ
    • สกัดจากใบหญ้าหวาน มีความหวานมากกว่าน้ำตาล 200-300 เท่า
    • ไม่ให้พลังงาน และมีงานวิจัยสนับสนุนว่าช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด
  4. ไซลิทอล (Xylitol)

    • เป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ ให้พลังงานต่ำกว่าน้ำตาล
    • พบในหมากฝรั่งและผลิตภัณฑ์ลดน้ำตาล
    • ช่วยลดการเกิดฟันผุ แต่ถ้าบริโภคมากอาจทำให้ท้องเสีย
  5. น้ำตาลทราย (Sucrose)

    • ข้อดี: รสชาติคุ้นเคย หาได้ง่าย ให้พลังงานทันที (4 แคลอรี/กรัม) เหมาะสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน
    • ข้อเสีย: ให้พลังงานสูง หากบริโภคมากเกินไปอาจนำไปสู่โรคอ้วน ฟันผุ และโรคเบาหวานประเภท 2
  6. น้ำผึ้ง (Honey)
    • ข้อดี: มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุเล็กน้อย รสชาติเข้มข้น ใช้ปริมาณน้อยกว่าน้ำตาลทราย
    • ข้อเสีย: ยังให้แคลอรีสูง (ประมาณ 64 แคลอรี/ช้อนโต๊ะ) และน้ำตาลฟรุกโตสสูง ซึ่งอาจกระทบตับหากบริโภคมากเกินไป
  7. แซคคาริน (Saccharin)
    • ข้อดี: หวานกว่าน้ำตาล 300-400 เท่า ปราศจากแคลอรี ราคาถูก
    • ข้อเสีย: มีรสขมติดลิ้น เคยถูกสงสัยว่าเชื่อมโยงกับมะเร็งในหนูทดลอง (แต่ปัจจุบันถือว่าปลอดภัยในปริมาณที่กำหนด)
  8. อะซิซัลเฟมโพแทสเซียม (Acesulfame K)
    • ข้อดี: หวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า ไม่มีแคลอรี ทนความร้อนได้ดี
    • ข้อเสีย: รสชาติอาจไม่กลมกล่อมเท่าสารให้ความหวานอื่น บางคนกังวลถึงผลระยะยาว (แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน)

ประโยชน์ของสารให้ความหวาน

ผลเสียจากสารให้ความหวานอื่น ๆ

  1. น้ำตาลธรรมชาติ (เช่น น้ำตาลทราย, น้ำผึ้ง)
    • บริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อน้ำหนักเกิน โรคหัวใจ และภาวะดื้ออินซูลิน
    • ฟรุกโตสในน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมข้าวโพด (HFCS) หากมากเกินไปอาจสะสมเป็นไขมันในตับ
  2. สารให้ความหวานสังเคราะห์
    • ผลต่อร่างกาย: บางงานวิจัยชี้ว่าอาจรบกวนการเผาผลาญหรือความอยากอาหาร เพราะสมองอาจสับสนว่าร่างกายได้รับพลังงานจริงหรือไม่
    • ผลต่อลำไส้: สารบางชนิด (เช่น ซูคราโลส) อาจเปลี่ยนแปลงสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้
    • ความกังวลเรื่องความปลอดภัย: แม้ส่วนใหญ่จะได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) แต่บางคนยังระวังผลกระทบระยะยาว

 

ข้อควรระวังในการใช้สารให้ความหวาน

คำแนะนำ

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้เลยค่ะ

 

ข้อสรุป

สารให้ความหวานเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำตาล แต่ควรเลือกใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และเลือกประเภทที่เหมาะกับร่างกายของตนเอง การอ่านฉลากโภชนาการและศึกษาเกี่ยวกับสารแต่ละชนิดจะช่วยให้เราเลือกใช้ได้อย่างปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุด

 


 


คำแนะนำในการใช้สารให้ความหวาน

  1. ใช้อย่างเหมาะสมตามความต้องการ:
    • หากต้องการควบคุมน้ำหนักหรือระดับน้ำตาลในเลือด หญ้าหวานหรือซูคราโลสอาจเป็นตัวเลือกที่ดี
    • หากชอบรสชาติธรรมชาติและไม่กังวลแคลอรี น้ำผึ้งในปริมาณน้อยอาจเหมาะสม
  2. จำกัดปริมาณ:
    • สารให้ความหวานสังเคราะห์มีค่า ADI (Acceptable Daily Intake) ที่กำหนดโดยหน่วยงานสาธารณสุข เช่น FDA หรือ WHO ควรใช้ไม่เกินเกณฑ์นี้
    • น้ำตาลธรรมชาติแนะนำไม่เกิน 6-9 ช้อนชาต่อวัน (ตาม American Heart Association)
  3. หลีกเลี่ยงการพึ่งพามากเกินไป:
    • การใช้สารให้ความหวานมากเกินไปอาจทำให้ติดรสหวาน ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการกินในระยะยาว
  4. เลือกตามการใช้งาน:
    • อบขนม: ซูคราโลสหรือน้ำตาลทราย
    • เครื่องดื่มเย็น: หญ้าหวานหรือแอสปาร์แตม
  5. สังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย:
    • หากรู้สึกไม่สบาย (เช่น ท้องอืด ปวดหัว) หลังใช้สารให้ความหวานบางชนิด ให้ลองเปลี่ยนประเภทหรือปรึกษานักโภชนาการ

สรุป

สารให้ความหวานแต่ละชนิดมีจุดเด่นและข้อจำกัด การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ และความชอบส่วนตัว ควรบริโภคอย่างมีสติและหลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ในกรณีเฉพาะ (เช่น ผู้ป่วยเบาหวานหรือเด็ก) สามารถถามเพิ่มได้เลยค่ะ!

 


ผลเสียจากการใช้สารให้ความหวานอื่นๆ


คำแนะนำทั่วไป

  1. ใช้เท่าที่จำเป็น: แม้สารให้ความหวานจะปลอดภัย แต่ควรจำกัดปริมาณ (ตรวจสอบ ADI* เช่น แอสปาร์แตมไม่เกิน 40 มก./น้ำหนักตัว 1 กก./วัน)

  2. เลือกตามวัตถุประสงค์:

    • ผู้ป่วยเบาหวาน → สตีเวีย/อิริทริทอล

    • ลดน้ำหนัก → หลีกเลี่ยงน้ำตาลธรรมชาติ

  3. สังเกตอาการตัวเอง: หากมีท้องเสีย/ปวดหัวหลังใช้ ให้เปลี่ยนชนิด

  4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: โดยเฉพาะผู้มีโรคประจำตัวหรือตั้งครรภ์

*ADI (Acceptable Daily Intake): ปริมาณสูงสุดที่รับได้ต่อวันโดยไม่เป็นอันตราย

 

 

 

 

 

 

ทบทวนวันที่

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว