เป้าหมายของการตรวจโควิด

ผลตรวจ	ความหมาย
Positive	พบเชื้อโควิดในร่างกาย
Negative	ไม่พบเชื้อ (อาจเกิดจากตรวจเร็วเกินไป)
Inconclusive	ต้องตรวจซ้ำเพื่อยืนยัน

---

🔎 1.2 การตรวจแบบ Antigen Test (ATK)

หลักการ:
ตรวจหาชิ้นส่วนโปรตีนของไวรัสจากโพรงจมูกหรือคอ

ข้อดี:

• ทราบผลรวดเร็วภายใน 15–30 นาที

• ใช้งานสะดวก เหมาะสำหรับคัดกรองในชุมชน

ข้อจำกัด:

• ความแม่นยำต่ำกว่า RT-PCR

หากมีเชื้อน้อย อาจให้ผลลบลวง

• ผลบวกควรได้รับการยืนยันด้วย RT-PCR

คำแนะนำ:
ใช้ตรวจเบื้องต้นเมื่อมีอาการทางเดินหายใจหรือสงสัยติดเชื้อ แต่ไม่แทนการตรวจ RT-PCR ในกรณีต้องยืนยันทางการแพทย์

---

🧠 2. การตรวจหาภูมิคุ้มกัน (Antibody Tests)

หลักการ:
ตรวจหาภูมิคุ้มกัน (IgM, IgG) ต่อเชื้อไวรัสในเลือด เพื่อดูว่าเคยติดเชื้อหรือได้รับวัคซีนมาก่อน

ชนิดของแอนติบอดีที่ตรวจได้:

ข้อดี:

• ใช้ประเมินภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้อหรือฉีดวัคซีน

• ใช้ในการวิจัยทางระบาดวิทยา

ข้อจำกัด:

• ไม่เหมาะสำหรับวินิจฉัยการติดเชื้อเฉียบพลัน

• ค่าผลตรวจอาจต่างกันตามชุดตรวจและเวลาเก็บเลือด

---

⚙️ สรุปการตรวจโควิดแต่ละแบบ

---

💡 คำแนะนำก่อนตรวจโควิด

1. หากมีอาการทางเดินหายใจ ควรตรวจโดย RT-PCR เพื่อความแม่นยำ

2. หากเพิ่งสัมผัสผู้ติดเชื้อ ควรตรวจหลังจาก 3–5 วัน

3. อย่าตีความผลตรวจด้วยตนเอง ควรปรึกษาแพทย์เสมอ

4. การตรวจเพียงครั้งเดียวอาจไม่เพียงพอ หากสงสัยให้ตรวจซ้ำ

ผู้ที่ได้รับการตรวจควรจะทราบข้อมูลดังต่อไปนี้

• ชื่อบริษัทของของชุดตรวจ ชนิดของการตรวจว่าตรวจหาเชื้อหรือตรวจหาภูมิ ความแม่ยำของการตรวจ ข้อจำกัดของการตรวจ และการตรวจนั้นต้องใช้เงินหรือไม่รวมทั้งวิธีการตรวจและการรับผลการตรวจ

• ผู้ได้รับการตรวจจะต้องรู้ผลการตรวจและข้อควรปฏิบัติตัวว่าจะต้องทำอย่างไร และจะนำผลการตรวจนั้นไปขยายผลอย่างไรเช่นถ้าผู้ใดรับการตรวจทำงานที่บริษัทจะต้องแจ้งผลไปยังบริษัทหรือคนใกล้ชิด เพื่อให้เขาทราบว่าได้สัมผัสคนติดเชื้อ

ชนิดของการตรวจโควิด19

แบ่งการตรวจได้ 2 ชนิดคือ

1. ตรวจว่ามีการติดเชื้อหรือไม่หรือที่เรียกว่า Viral tests
2. ตรวจหาภูมิคุ้มกัน จะเป็นการบอกว่าเคยติดเชื้อโควิดมาก่อนไหมจะมีประโยชน์ในการวินิจฉัยภาวะลองโควิดและการอักเสบของหลายอวัยวะในเด็ก

ตรวจว่ามีการติดเชื้อหรือไม่หรือที่เรียกว่า Viral tests

เป็นการตรวจว่ามีการติดเชื้อโควิดหรือไม่ หากผลตรวจพบเชื้อแสดงว่ามีการติดเชื้อจะต้องมีการกักตัวคนที่ติดเชื้อ และสอบสวนโรคหากลุ่มคนที่สัมผัสใกล้ชิดเพื่อกักตัวและตรวจหาการติดเชื้อวิธีการตรวจมีได้สองวิธีคือ

• NAATs  เป็นการตรวจหาส่วนหนึ่งของไวรัสที่เรียกว่า viral ribonucleic acid (RNA) genes การตรวจนี้จะมีความไวและแม่นยำที่สุด การตรวจนี้ส่วนใหญ่จะทำในห้องปฏิบัติการใช้เวลาในการตรวจ 1-3 วันแต่ก็มีบางชนิดที่ใช้เวลาในการตรวจ15-45 นาที การตรวจจะใช้แยงจมูกเอาสารคัดหลั่งจากด้านหลังของคอ จมูกและน้ำลาย
• การตรวจAntigen tests เป็นการตรวจหาชิ้นส่วนของไวรัส การตรวจนี้มีความจำเพาะสูงแต่ความไวของการตรวจจะน้อยกว่าชนิดแรก ใช้เวลาในการตรวจไม่มากเหมาะสำหรับการคัดกรองเชิงรุก ดังนั้นผู้ป่วยที่ผลตรวจไม่พบ แต่มีประวัติสัมผัสและมีอาการจะต้องตรวจซ้ำด้วยการตรวจชนิดแรก วิธีการตรวจใช้แยงจมูกเหมือนวิธีแรก

หาผลตรวจว่าพบเชื้อจะต้องมีการสอบสวนโรคหาผู้ที่สัมผัสใกล้ชิด และมีการกักตัว

หากผลตรวจให้ผลลบแสดงว่าณ ขณะนั้นยังไม่มีการติดเชื้อ แต่ก็มีข้อพิจารณาเรื่องเวลาที่เก็บตัวอย่าง

• สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนหากมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อและไม่มีอาการหากผลตรวจเป็นลบคือไม่พบเชื้อ ให้มีการกักตัว 14 วัน

สำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ

• ให้มีการตรวจหลังจากการสัมผัสผู้ติดเชื้อแล้ว 3-5 วันและให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชนเป็นเวลา 14 วัน

ข้อแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ

• ให้สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง
• ให้สามหน้ากากาอนามัยหากอาศัยอยู่กับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรืออยู่กับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงหากติดเชื้อโควิด หรือสมาชิกในบ้านมีคนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
• ให้มีการตรวจหาเชื้อโควิดหากมีอาการของโรคโควิด
• ให้มีการตรวจหาเชื้อโควิดหลังจากสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่ติดเชื้อโควิดเป็นเวลาแล้ว 5-7 วัน และสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชนเป็นเวลา14 วันหรือจนกระทั้งผลตรวจเป็นลบ
• หากผลตรวจโควิดให้ผลบวกจะต้องกันตัว 14 วัน

หากผลตรวจให้ผลลบในคนที่ไม่มีอาการและไม่มีประวัติกับผู้ที่เป็นโควิดก็ไม่ต้องทำอะไร