การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็กและวัยรุ่น
ผู้ใดควรได้รับวัคซีนป้องกันโควิด
ในระยะแรกของการให้วัคซีนในเด็กและวัยรุ่น ได้กำหนดให้ผู้มีโรคประจำตัว ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค โควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง และอาจเสียชีวิตได้ เป็นผู้มีความเร่งด่วนอันดับต้นให้ได้รับวัคซีน ชนิด mRNA ของ บริษัท Pfizer BioNTech จำนวน 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ขึ้นไป ได้แก่
- เด็กและวัยรุ่นอายุ 16 - 18 ปี ทุกรายที่ไม่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีน
- เด็กอายุ 12 ปี - 16 ปี ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง มีโรคประจำตัว ที่อาจเกิดโรคโควิด-19 รุนแรง อาจถึงขึ้นเสียชีวิต ได้แก่
- 1. บุคคลที่มีโรคอ้วน
- เด็กอายุ 12-13 ปีที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร หรือ มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัมขึ้นไป
- เด็กอายุ 13-15 ปีที่มีีน้ำหนัก 80 กิโลกรัมขึ้นไป
- เด็ก อายุ 15-18 ปีที่มีน้ำ 90 กิโลกรัมขึ้นไป หรือเด็กอ้วนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น)
- 2. โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งโรคหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
- 3. โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
- 4. โรคไตวายเรื้อรัง
- 5. โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
- 6. โรคเบาหวาน
- 7. กลุ่มโรคพันธุกรรมเช่น
- รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์
- เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง
- เด็กที่มีพัฒนาการช้า
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ติดตามข้อมูลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน โควิด-19 ในเด็กและวัยรุ่น เพื่อให้คำแนะนำเพิ่ม ทั้งนี้โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และประโยชน์ทางด้านสุขภาพของเด็กเป็นสำคัญดังนี้ เด็กและวัยรุ่นที่มีสุขภาพดี อายุ 12 ปี ถึงน้อยกว่า 16 ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีน ชนิด mRNA ของบริษัท Pfizer BioNTechโดย
- เด็กและวัยรุ่นชาย รับวัคซีน เข็มที่1และ ชะลอการให้เข็มที่ 2ไปก่อน จนกว่าจะมีคำแนะนำเพิ่มเติม (เนื่องจากการฉีดเข็ม 2ในเด็กกลุ่มนี้ มีความเสี่ยงสูงกว่าเข็มแรก จากกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจ อักเสบ ซึ่งพบน้อยมาก ดูรายละเอียดในคำอธิบาย หน้า 3)
- เด็กและวัยรุ่นหญิง สามารถรับวัคซีน 2เข็มห่างกัน อย่างน้อย 3 สัปดาห์ (ดูรายละเอียด ในคำอธิบาย หน้า 3)
ชนิดของวัคซีนที่แนะนำในเด็กและวัยรุ่น
ขณะนี้ (วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2564) มีวัคซีนที่มีในประเทศไทยที่ได้ขึ้นทะเบียนให้ใช้ เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป คือ วัคซีนชนิด mRNA ของบริษัท Pfizer-BioNTech แนะนำให้ใช้วัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในเด็ก อายุต่ำกว่า 18 ปี จากองค์การอาหารและยาแล้วเท่านั้น
คำอธิบาย
ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่ 1เมษายนถึง 15 กันยายน 2564 พบมีรายงานโรค โควิด-19 ในเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปีรวม 184,225 ราย มีรายงานการเสียชีวิต 31ราย พบรายงานจำนวนผู้ป่วย สูงสุดในช่วงเดือนสิงหาคม และมีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยลดลงในเดือนกันยายน สอดคล้องไปกับสถานการณ์โรค โควิด-19 ของประเทศไทย โดยพบมีรายงานผู้ป่วยโรคโควิด-19ในเด็กทุกกลุ่มอายุ แต่พบจำนวนผู้ป่วยสูงสุดในกลุ่มอายุ 12 ถึง 18 ปี ในช่วงระหว่างวันที่9 ถึง 15 กันยายน พบรายงานผู้ป่วยเด็กทั้งหมด 16,427ราย จำแนก
อายุ |
จำนวน(ร้อยละ |
เสียชีวิต |
แรกเกิด-1เดือน |
74(0.5) |
|
1เดือน-1ปี |
1335(8.1) |
1 |
1ปี-6ปี |
3876(23.6) |
|
6ปี-12ปี |
5174(31.5) |
|
12-18ปี |
5968(36.3) |
3 |
แม้ว่าอัตราการเสียชีวิตผู้ป่ วยโรคโควิด-19 ในเด็กจะต่ำ แต่พบมีรายงานผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะการอักเสบของ อวัยวะหลายระบบในร่างกายที่สัมพันธ์กับการติดโรคโควิด-19 (Multisystem inflammatory syndrome in children, MIS-C) ในเด็กจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอาการรุนแรงแม้ว่าเป็นเด็กที่ปกติแข็งแรงดี และในขณะนี้เด็กและผู้ปกครองจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการที่เด็กไม่ได้ไปโรงเรียนเป็นระยะเวลานาน ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยจึงมีคำแนะนำเพิ่มเติมในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ดังต่อไปนี้
- แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ได้รับการรับรองโดยองค์การอาหารและยา (อย.) ให้ใช้ในเด็ก และวัยรุ่นตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งในขณะนี้(วันที่ 22 กันยายน 2564) มีวัคซีนชนิดเดียวที่มีในประเทศไทย คือชนิด mRNA ของ Pfizer-BioNTech และเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564วัคซีนชนิด mRNA ของ Moderna ได้รับการรับรองเพิ่มเติม (แต่ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนนี้ในประเทศไทย) สำหรับวัคซีนชนิดเชื้อตาย ของ Sonipharm และ Sinovac อยู่ในระหว่างการพิจารณาข้อมูลเรื่องการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในเด็ก และขณะนี้ยังไม่ได้รับการรับรองให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่น
- แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ชนิด mRNA ที่ได้รับการรับรองโดย อย.2เข็มห่างกัน 3-4 สัปดาห์
- ในเด็กและวัยรุ่นทุกคนที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป
- และเด็กและวัยรุ่นทุกคนที่อายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคโควิด-19 รุนแรงซึ่งเป็นคำแนะนำที่ให้ไว้ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2564
- ในเด็กและวัยรุ่นผู้หญิง ที่แข็งแรงดีอายุตั้งแต่ 12 ปี-16 ปีให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ชนิด mRNA 2 เข็มห่างกัน 3-4 สัปดาห์
- สำหรับในเด็กและวัยรุ่นชายที่แข็งแรงดีในช่วงอายุ 12 ปี-16 ปีแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ชนิด mRNA เข็มแรกเพียงเข็มแรกเข็มเดียว และชะลอการฉีดเข็มสองไว้ก่อนจนกว่าจะมีข้อมูลความความปลอดภัยของวัคซีนนี้เพิ่มเติม ทั้งนี้เนื่องจากการฉีดวัคซีนกัน ป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด mRNA มีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงเรื่องกล้ามเนื้อและเยื่อหัวใจอักเสบได้สูงสุด ในเด็กและวัยรุ่นชายในกลุ่มอายุนี้และมักพบสัมพันธ์กับภายหลังการฉีดวัคซีนเข็มสอง โดยรายงานจาก ระบบ Vaccine Adverse Event Reporting System (VAERS) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึง18 มิถุนายน 2564 ในสหรัฐอเมริกา รายงานอัตราการเกิดอาการข้างเคียงของระบบหัวใจในเด็กและวัยรุ่นชาย ในกลุ่มอายุ 12-16 ปีในอัตรา 162.2 ต่อการฉีดวัคซีนเข็มสองหนึ่งล้านโด๊ส ในขณะที่รายงานอัตรา อาการข้างเคียงของระบบหัวใจในเด็กและวัยรุ่นในเด็กหญิงกลุ่มอายุเดียวกันพบในอัตราที่ต่ำกว่ามากคือ 13 ต่อการฉีดวัคซีนเข็มสองหนึ่งล้านโด๊ส ในขณะที่พบว่าการฉีดวัคซีนชนิด mRNA ของ Pfizer-BioNTech 1เข็ม และ 2 เข็ม มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 จากสายพันธุ์เดลต้าได้ร้อยละ 36และ88 และป้องกันการติดโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้สูงถึงร้อยละ 94 และ 96 ตามลำดับ คำแนะนำนี้จึงพิจารณาให้เด็กและวัยรุ่นหญิงได้รับประโยชน์จากวัคซีนเต็มที่จากการ ฉีด 2 เข็ม ในขณะที่เด็กผู้ชายจะต้องมีการประเมินประโยชน์และความเสี่ยงเพิ่มเติมเมื่อได้ข้อมูลในบริบท ของประเทศไทยเพิ่มขึ้น ก่อนจะให้คำแนะนำในการฉีดเข็มต่อไป
- แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ในเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปี-16 ปีที่อาศัยร่วมบ้านกับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แก่ครูและบุคลากรทุกระดับในโรงเรียนและสถานศึกษาทุกคน และสมาชิกร่วมบ้านของบุคลากรทุกคน และแนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่ผู้ปกครองและสมาชิกในครอบครัวของเด็กทุกคน
- ส่งเสริมให้มีมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัดในโรงเรียนและสถานศึกษาตามคำแนะนำ ของกรมควบคุมโรค
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็กและวัยรุ่นเป็นความสมัครใจของตัวเด็กและผู้ปกครองซึ่งควรได้รับการยอมรับ เด็กและวัยรุ่นทุกคน ควรได้ไปโรงเรียนและร่วมทำกิจกรรมต่างๆของโรงเรียนได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าเด็กและวัยรุ่นจะได้รับการฉีดวัคซีนหรือไม่ หรือได้รับวัคซีนชนิดใด โดยต้องรักษามาตรการการ ป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
- แนะนำให้งดออกกำลังกายอย่างหนักหรือการทำกิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ภายหลังจากการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคโควิด-19ชนิด mRNA เนื่องจากมีรายงานการเกิดผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบภายหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ชนิด mRNA ซึ่งถึงแม้จะพบในอัตราที่ ต่ำแต่เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน จึงแนะนำให้เด็กและวัยรุ่นทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและ วัยรุ่นชายที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งโด๊สที่1 และ2ให้งดการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรม อย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ภายหลังจากการฉีดวัคซีน และในเวลาดังกล่าวนี้หากมีอาการเจ็บแน่น หน้าอก หายใจเหนื่อยหรือหายใจไม่อิ่ม ใจสั่นหน้ามืดเป็นลม ควรรีบไปพบแพทย์โดยหากแพทย์สงสัย ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ควรพิจารณาทำการตรวจค้นเพิ่มเติม หากมีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ในเด็กและวัยรุ่นมากขึ้น
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยจะมีคำแนะนำเพิ่มเติมในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในอนาคต ต่อไป สามารถติดตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยได้ที่ www.thaipediatrics.org


เอกสำรอ้ำงอิง
1. Hoeg TB, et al. medRxiv preprint doi: https://doi.org/10.1101/2021.08.30.21262866
2. Bernal JL, et al. NEJM July 21, 2021 DOI: 10.1056/NEJMoa2108891
3. https://khub.net/web/phe-national/public-library/- /document_library/v2WsRK3ZlEig/view_file/479607329?_com_liferay_document_library_web _portlet_DLPortlet_INSTANCE_v2WsRK3ZlEig_redirect=https%3A%2F%2Fkhub.net%3A443 %2Fweb%2Fphe-national%2Fpublic-library%2F- %2Fdocument_library%2Fv2WsRK3ZlEig%2Fview%2F47960726