siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

เพราะทั้งแอลกอฮอล์และพาราเซตามอลต่างก็ถูกเผาผลาญที่ ตับ 💊 การทานยาทั้งที่แอลกอฮอล์ยังอยู่ในร่างกายจะทำให้ตับทำงานหนักเกินไป และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด ภาวะตับอักเสบรุนแรง (Severe Hepatitis) หรือ ตับวายเฉียบพลัน (Acute Liver Failure) ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้

 


กลไกที่ทำให้เกิดอันตราย

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองนึกภาพตับของเราเป็นโรงงาน:

  1. ปกติเมื่อทานพาราเซตามอล: ตับจะเปลี่ยนยาพาราเซตามอลส่วนใหญ่ให้เป็นสารที่ไม่เป็นพิษ แต่จะมีผลพลอยได้เป็น "ของเสียอันตราย" (เรียกว่า NAPQI) เกิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งตับจะมี "ทีมกำจัดของเสีย" (สารกลูตาไธโอน - Glutathione) คอยจัดการอย่างรวดเร็ว

  2. เมื่อดื่มแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์จะเข้าไปป่วนโรงงานนี้ 2 ทาง คือ:

ดังนั้น การทานพาราเซตามอลเพื่อแก้เมาค้างจึงเปรียบเสมือนการสร้าง "พายุพิษในตับ" ⛈️ คือมีของเสียอันตรายปริมาณมหาศาล แต่ทีมกำจัดของเสียกลับมีน้อยลง ทำให้ของเสียนั้นย้อนกลับมาทำลายเซลล์ตับโดยตรง


แล้วควรใช้ยาอะไรแทน?

ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs (Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs) เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับอาการปวดหัวจากเมาค้าง เพราะถูกเผาผลาญคนละวิธีกับพาราเซตามอล

ข้อควรระวัง: ยาในกลุ่ม NSAIDs อาจมีผลข้างเคียงคือระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ ซึ่งแอลกอฮอล์ก็มีฤทธิ์ระคายเคืองกระเพาะเช่นกัน ดังนั้นควรทานหลังอาหารและดื่มน้ำตามมากๆ

สรุป: วิธีแก้เมาค้างที่ดีและปลอดภัยที่สุดคือการพักผ่อน, ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำเกลือแร่มากๆ, และทานอาหารที่ย่อยง่าย หากจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด ให้เลือกใช้ยาในกลุ่ม NSAIDs แทนพาราเซตามอลเพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายตับซ้ำสอง

 

ทบทวนวันที่

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว