ไข้เลือดออก [Dengue hemorrhagic fever-DHF]


อาการไข้เลือดออกชนิดนี้จะมีลักษณะเหมือนไข้แดงกิ่ว(ไข้เลือดออกชนิดเบา) ตรงที่มีไข้เฉียบพลัน ปวดศรีษะ ปวดตามตัว หน้าแดง คลื่นไส้อาเจียน บางรายอาจจะมีอาการเจ็บคอ คอแดง แต่อาการที่แตกต่างคือ แน่นท้อง เจ็บชายโครงข้างขวา ปวดท้อง เนื่องจากตับโต มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง แม้ว่าตับจะโตแต่มักจะไม่มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง

เกณฑ์การวินิจฉัยไข้เลือดออก [Dengue hemorrhagic fever-DHF]

  1. ไข้เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและไข้สูงลอย 2-7 วัน
  2. มีอาการไข้เลือดออกอย่างน้อยทำ toumiquet test ให้ผลบวก ร่วมกับมีอาการเลือดออกอย่างอื่น เช่นจุดเลือดตามผิวหนัง เลือดกำเดา ถ่ายเป็นเลือด
  3. ตับโต มักจะกดเจ็บ
  4. การไหลเวียนของโลหิตผิดปกติหรือเกิดช็อค

เกณฑ์การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการณ์

  1. เลือดข้นขึ้นดูจากความเข้มข้นของเลือด Hct เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับ Hct เดิมเช่นจาก 35% เป็น 42% หรือมีหลักฐานว่ามีการรั่วของพลาสม่า เช่นมีน้ำในช่องปอด น้ำในท้อง ตับโต
  2. เกล็ดเลือดต่ำกว่า 100000 เซลล์ต่อลบ.ซม
  • ผู้ป่วยที่อาการไม่มาก ไข้จะลงและหายเป็นปกติ
  • ในผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางถึงมาก ผู้ป่วยจะมีอาการแย่ลงหลังจากมีไข้ 2-3 วันไข้จะลงวันที่3-7นับจากเริ่มมีไข้ จะมีลักษณะของช็อคคือ ผิวเย็น ผิวเป็นจ้ำๆ อาจจะมีเขียวปลายมือปลายเท้า ชีพขจรเร็วและเบา บ่นแน่ท้อง บางรายมีอาการกระสับกระส่าย
  • หากรักษาไม่ทันผู้ป่วยจะมีอาการ ของช็อคชัดเจนขึ้นคือ ผิวเย็น ผิวเป็นจ้ำๆ อาจจะมีเขียวปลายมือปลายเท้า ชีพขจรเร็วและเบา วัดความดันโลหิตพบว่าความดัน systolic และ diastolic ห่างกันน้อยกว่า 20 มม.ปรอท(ปกติเท่ากับ 30 มม.ปรอท) หากรักษาได้ทันผู้ป่วยจะฟื้นอย่างรวดเร็ว
  • หากรักษาไม่ทันผู้ป่วยจะเข้าสู่ภาวะช็อคเต็มรูปแบบ ปัสสาวะไม่ออก ซึมลงหรือกระสับกระส่าย เลือดมีความเป็นกรดสูง
  • จะมีเลือดออกในทางเดินอาหาร ในสมอง

กลไกการเกิดโรคไข้เลือดออก

  • เกิดจากการที่มีการรั่วของพลาสม่าเข้าในช่องเยื่อหุ้มปอด ในช่องท้อง
  • การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เกล็ดเลือดต่ำทำให้เลือดออกง่าย

ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • เม็ดเลือดขาวมักจะปกติหรือสูงในช่วงแรก แต่เมื่อเข้าสู่วันที่ไข้จะลง เม็ดเลือดขาวจะลดลง และมี atypical lymphocytes เพิ่มมากขึ้น
  • เกล็ดเลือดมักจะต่ำกว่า 100000 ความเข้มของเลือดเพิ่มขึ้น

ข้อสำคัญที่บอกว่าไข้เลือดออกเป็นหนัก

หากไข้ลง ผู้ป่วยมีอาการแน่นท้อง ผิวเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะลดลง หายใจหอบ กระสับกระส่าย ต้องแจ้งแพทย์

ข้อแตกต่างของไข้เลือดออกในระยะนี้และระยะช็อคที่แตกต่างจากไข้แดงกิ่ว คือระยะนี้จะมีการรั่วของพลาสม่าออกจากหลอดเลือด เราจะทราบได้โดยพบว่า

  • ความเข้นข้นของเลือดเพิ่มขึ้น 20 %
  • หรือมีน้ำในช่องท้องหรือช่องเยื่อหุ้มปอด

การวินิจฉัยระยะนี้ให้ได้ตั้งแต่เริ่มเกิดอาการจะทำให้ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ ดังนั้นระยะนี้จะต้องติดตามสัญญาณชีพ การเจาะเลือดตรวจความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ การเจาะตรวจหาปริมาณเกล็ดเลือด

  • ผู้ป่วยที่มีความรุนแรงระดับ 1-2 อาจจะให้น้ำเกลือ 1-2 วัน
  • ส่วนผู้ที่มีระดับเกล็ดเลือดต่ำกว่า 50000 หรือความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือมีเลือดออก ควรที่จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล

การดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก

  • การดูและระยะไข้สูง
  • แม้ว่าระยะนี้จะมีน้ำพลาสม่าไหลออกจากหลอดเลือด แต่การให้สารน้ำต้องระวังอย่าให้เกิน ควรจะให้ทุก 2-4 ชั่วโมงและประเมิน
  • ระยะเวลาในการให้น้ำเกลือประมาณ 24-48 ชั่วโมงเพราะระยะนี้เป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสม่า
  • ในการติดตามการรักษาให้ติดตามความเข้มข้นของเลือด สัญญาณชีพ ปริมาณปัสสาวะ
  • การให้น้ำเกลือจะให้แค่เพียงพอต่อการไหลเวียนของเลือดเพื่อไปเลี้ยงอวัยวะเท่านั้น
  • ผู้ป่วยที่ขาดน้ำไม่มากอาจจะให้น้ำเกลือแร่ชนิดผงละลายน้ำดื่ม

ตาราง

ไข้เลือดออก ชนิดของไข้เลือดออก การดำเนินของโรค การดูแล การทำtourniquet การระบาด ผลการตรวจเลือด การป้องกัน ยุง การรับรู้อาการช็อกระยะเริ่มแรก วิธีการดูแลผู้ป่วย