
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
โรคงูสวัด (Shingles หรือ Herpes Zoster) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส วาริเซลลา-ซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus - VZV) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสในวัยเด็ก เมื่อเราเป็นอีสุกอีใสและหายแล้ว ไวรัส VZV จะไม่ได้หายไปจากร่างกาย แต่จะซ่อนตัวอยู่ในปมประสาทใกล้ไขสันหลังของเราอย่างสงบ และจะกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ไม่ว่าจะเป็นจากอายุที่มากขึ้น ความเครียด การเจ็บป่วย หรือการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เมื่อไวรัสถูกกระตุ้นขึ้นมาใหม่ มันจะเดินทางตามแนวเส้นประสาทมายังผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นแดงเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นเป็นแนวตามเส้นประสาทที่ไวรัสซ่อนตัวอยู่ และมักมีอาการปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรง
แม้โรคงูสวัดจะไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิตโดยตรง แต่ก็สร้างความทุกข์ทรมานอย่างมากจากอาการปวด และที่สำคัญคืออาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเรื้อรังได้ ทำให้ วัคซีนงูสวัด (Herpes Zoster Vaccine) มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคและลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน
อาการของโรคงูสวัดมักเริ่มต้นด้วยอาการนำ เช่น ปวดแสบปวดร้อน คัน ยิบๆ หรือชาตามผิวหนังบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย โดยที่ยังไม่มีผื่นขึ้น จากนั้นประมาณ 1-3 วัน จะมีผื่นแดงขึ้นเป็นปื้น ก่อนจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสขนาดเล็กที่เรียงตัวเป็นกลุ่มหรือเป็นแนวตามเส้นประสาทที่ถูกกระตุ้น ตุ่มน้ำเหล่านี้จะแตกออกเป็นแผลและตกสะเก็ดในเวลาต่อมา
อาการปวด เป็นอาการสำคัญของงูสวัด มักมีลักษณะปวดแสบปวดร้อน ปวดแปลบ ปวดคล้ายถูกไฟฟ้าช็อต หรือปวดลึกๆ และอาจปวดรุนแรงมากจนรบกวนการนอนหลับและการใช้ชีวิตประจำวัน
ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและพบบ่อยที่สุดของโรคงูสวัดคือ ภาวะปวดปลายประสาทเรื้อรังหลังเป็นงูสวัด (Postherpetic Neuralgia - PHN) ซึ่งเป็นอาการปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรงที่ยังคงอยู่บริเวณที่เคยเป็นงูสวัด แม้ผื่นจะหายไปแล้วก็ตาม อาการปวดนี้อาจคงอยู่นานหลายเดือน หลายปี หรือตลอดชีวิต ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่ลงอย่างมาก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ความเสี่ยงในการเกิด PHN จะสูงขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ งูสวัดยังอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ เช่น:
งูสวัดขึ้นตา (Ophthalmic Zoster): หากงูสวัดเกิดใกล้ดวงตา อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตา ตาอักเสบ หรือถึงขั้นตาบอดได้
งูสวัดขึ้นหูหรือใบหน้า (Ramsay Hunt Syndrome): หากงูสวัดเกิดที่เส้นประสาทใบหน้า อาจทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง ปากเบี้ยว หูอื้อ หรือสูญเสียการได้ยิน
การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนบริเวณผิวหนังที่เป็นผื่น
ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจมีการแพร่กระจายของไวรัสไปยังอวัยวะภายใน เช่น ปอดบวม สมองอักเสบ ตับอักเสบ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
ปัจจุบันมีวัคซีนงูสวัด 2 ชนิดหลัก ๆ ที่ใช้กัน:
ลักษณะ: ผลิตจากไวรัส VZV ที่ถูกทำให้อ่อนกำลังลง ไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ยังคงกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
ประสิทธิภาพ: ป้องกันโรคงูสวัดได้ประมาณ 50-70% และลดความเสี่ยงของ PHN ได้ประมาณ 60-70% ประสิทธิภาพจะลดลงตามอายุและเวลาที่ผ่านไป
การบริหาร: ฉีด 1 โดส
ข้อจำกัด: เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงมีข้อห้ามใช้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีประวัติแพ้เจลาตินหรือ Neomycin
ลักษณะ: เป็นวัคซีนรุ่นใหม่ที่ผลิตจากโปรตีนส่วนประกอบของเชื้อไวรัส VZV (glycoprotein E) ผสมกับสารเสริมภูมิ (adjuvant) เพื่อเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน เป็นวัคซีนเชื้อตาย ไม่มีเชื้อไวรัสมีชีวิต
ประสิทธิภาพ: สูงมาก โดยสามารถป้องกันโรคงูสวัดได้ถึง 90-97% ในทุกกลุ่มอายุ และป้องกันภาวะ PHN ได้มากกว่า 90% ประสิทธิภาพคงอยู่นานกว่าวัคซีนชนิดเชื้อเป็น
การบริหาร: ฉีด 2 โดส ห่างกัน 2-6 เดือน
ข้อดี:
ประสิทธิภาพสูงและคงทนกว่าในระยะยาว
สามารถใช้ได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (ต่างจากวัคซีนเชื้อเป็น)
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย: มักเป็นอาการเฉพาะที่ เช่น ปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด อาจมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว หรืออ่อนเพลีย ซึ่งมักหายได้เองภายใน 2-3 วัน
โดยทั่วไป แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันงูสวัดในกลุ่มคนเหล่านี้:
ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป: โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัคซีนชนิดเชื้อตาย (Shingrix®) เพราะเป็นวัยที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเป็นงูสวัดและ PHN
ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: เช่น ผู้ป่วย HIV, ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรักษา, ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน (สำหรับวัคซีนชนิดเชื้อตาย/Shingrix® เท่านั้น)
ผู้ที่เคยเป็นงูสวัดมาแล้ว: การเป็นงูสวัดไม่ได้แปลว่าจะเป็นอีกไม่ได้ วัคซีนยังคงช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการเป็นซ้ำหรือเกิด PHN
การพิจารณาข้อห้ามและข้อควรระวังขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีนงูสวัดที่เลือกใช้:
ข้อห้ามเด็ดขาด: ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีน Shingrix® เข็มก่อนหน้า หรือต่อส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีน (เช่น สารเสริมภูมิ)
ข้อควรระวัง: กำลังเจ็บป่วยเฉียบพลัน มีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดออกไปก่อน หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร (ปรึกษาแพทย์)
ข้อห้ามเด็ดขาด:
ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (จากโรคหรือยา)
หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์
ประวัติแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีน Zostavax® เข็มก่อนหน้า หรือต่อส่วนประกอบ (เช่น เจลาติน, Neomycin)
กำลังได้รับยาต้านไวรัสกลุ่มเริม (ควรหยุดยาก่อนฉีด)
ข้อควรระวัง: กำลังเจ็บป่วยเฉียบพลัน มีไข้สูง, ผู้ที่เพิ่งได้รับเลือดหรืออิมมูโนโกลบูลิน (ควรเว้นระยะเวลา)
ก่อนตัดสินใจฉีดวัคซีนงูสวัด ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เสมอ เพื่อให้ข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วนและรับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด ดังนี้:
ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือแพ้วัคซีน
โรคประจำตัว หรือภาวะสุขภาพใดๆ ที่เป็นอยู่ (โดยเฉพาะโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคผิวหนัง)
ยาที่กำลังรับประทานอยู่ (โดยเฉพาะยากดภูมิคุ้มกัน)
การตั้งครรภ์ การวางแผนตั้งครรภ์ หรือการให้นมบุตร
เคยเป็นงูสวัดหรืออีสุกอีใสมาก่อนหรือไม่
การฉีดวัคซีนงูสวัดเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคงูสวัดและลดความเสี่ยงของภาวะปวดปลายประสาทเรื้อรัง ซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และลดภาระจากการเจ็บป่วยได้เป็นอย่างมาก
แน่นอนครับ วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด (Shingles/Herpes Zoster Vaccine) เป็นวัคซีนที่มีความสำคัญในการป้องกันโรคงูสวัดและภาวะปวดปลายประสาทเรื้อรังหลังเป็นงูสวัด (Postherpetic Neuralgia - PHN) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและรุนแรง วัคซีนงูสวัดมี 2 ชนิดหลักที่มีข้อห้ามแตกต่างกัน:
วัคซีนงูสวัดชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Zoster Vaccine - ZVL หรือ Zostavax®): เป็นวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อไวรัสอีสุกอีใส/งูสวัดที่อ่อนกำลังลง
วัคซีนงูสวัดชนิดเชื้อตาย/ซับยูนิต (Recombinant Zoster Vaccine - RZV หรือ Shingrix®): เป็นวัคซีนที่ผลิตจากโปรตีนส่วนประกอบของเชื้อไวรัส และมีสารเสริมภูมิ (adjuvant)
ปัจจุบันในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก วัคซีนชนิดเชื้อตาย/ซับยูนิต (Shingrix®) เป็นที่แนะนำมากกว่า เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงกว่าและผลการป้องกันที่คงทนกว่า โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และยังสามารถใช้ได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องบางราย ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญของวัคซีนชนิดเชื้อเป็น
หมายเหตุ: วัคซีน ZVL นี้ยังคงมีการใช้ในบางพื้นที่ แต่ RZV (Shingrix®) เป็นที่นิยมและแนะนำมากกว่าในปัจจุบัน ข้อห้ามของ ZVL จะคล้ายคลึงกับวัคซีนเชื้อเป็นอื่นๆ:
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) ไม่ว่าจะเกิดจากโรคหรือยา:
เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น
ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (ตามเกณฑ์ที่กำหนด)
ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma), หรือมะเร็งอื่นๆ ที่ส่งผลต่อไขกระดูกหรือระบบน้ำเหลือง
ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด
ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง (เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, ยาเคมีบำบัด, ยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน เช่น anti-TNF agents, rituximab)
ผู้ที่เคยปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูก
ห้ามใช้ ในผู้ป่วยเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสในวัคซีนจะเพิ่มจำนวนและก่อให้เกิดอาการของโรคงูสวัดได้
หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์:
เป็นข้อห้าม เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และมีความเสี่ยงทางทฤษฎีที่เชื้อไวรัสในวัคซีนอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):
เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อวัคซีน ZVL เข็มก่อนหน้า หรือแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง เช่น เจลาติน, Neomycin
ผู้ที่ได้รับยาต้านไวรัส (Antiviral drugs) ที่ออกฤทธิ์ต่อไวรัสกลุ่มเริม (herpes viruses) เช่น acyclovir, valacyclovir, famciclovir:
ควรหยุดยาเหล่านี้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีดวัคซีนและหลีกเลี่ยงเป็นเวลา 14 วันหลังฉีด เนื่องจากยาอาจยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในวัคซีนและลดประสิทธิภาพของวัคซีน
การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง: ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน
ผู้ที่เพิ่งได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรืออิมมูโนโกลบูลิน: ควรเว้นระยะห่างตามคำแนะนำ เนื่องจากอาจรบกวนการตอบสนองของวัคซีน
การให้นมบุตร: ข้อมูลจำกัด แต่โดยทั่วไปไม่แนะนำ
วัคซีน Shingrix® เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย/ซับยูนิตที่มีความปลอดภัยสูงกว่า ZVL มาก และมีข้อห้ามที่น้อยกว่า
ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):
เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีน Shingrix® เข็มก่อนหน้า
ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: รวมถึงสารเสริมภูมิ (adjuvant system AS01B) หรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่ระบุในฉลากยาของวัคซีน
การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:
หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันความสับสนในการวินิจฉัยอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน หรือหากร่างกายอ่อนแออาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่
อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถฉีดวัคซีนได้
หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร:
ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ Shingrix® ในหญิงตั้งครรภ์ยังมีจำกัด แต่เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงไม่คาดว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่
โดยทั่วไป แนะนำให้เลื่อนการฉีดในหญิงตั้งครรภ์ออกไปก่อน หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน แต่หากมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นงูสวัด แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดได้
สามารถฉีดในหญิงให้นมบุตรได้
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน:
วัคซีน Shingrix® สามารถให้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ และแนะนำให้ฉีดในกลุ่มนี้ (ต่างจาก ZVL) เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอาจไม่สมบูรณ์เท่าคนปกติ แต่ก็ยังคงได้ประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม
ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Coagulation disorders):
เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้ง่าย
ควรแจ้งแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น การฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (หากวัคซีนบางชนิดระบุว่าสามารถทำได้) การใช้เข็มขนาดเล็ก หรือการกดบริเวณที่ฉีดให้นานขึ้น
เพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:
ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือแพ้วัคซีนในอดีต (โดยเฉพาะอาการแพ้อย่างรุนแรง หรือแพ้ส่วนประกอบของวัคซีน)
โรคประจำตัว หรือภาวะสุขภาพใดๆ ที่กำลังเป็นอยู่ (โดยเฉพาะโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคมะเร็ง, โรคเลือด)
ยาที่กำลังรับประทานอยู่ ทั้งยาประจำตัว ยาสมุนไพร และอาหารเสริม (โดยเฉพาะยากดภูมิคุ้มกัน หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด)
การตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์ รวมถึงการให้นมบุตร
มีอาการเจ็บป่วยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ
เคยเป็นโรคงูสวัด หรืออีสุกอีใสมาก่อนหรือไม่
เคยได้รับวัคซีนงูสวัดชนิดอื่นมาก่อนหรือไม่ (เช่น เคยได้รับ Zostavax มาแล้ว)
การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการฉีดวัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคงูสวัดและภาวะแทรกซ้อน
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว