
หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
วัคซีนโรต้า (Rotavirus Vaccine) เป็นวัคซีนสำคัญที่ช่วยปกป้องทารกและเด็กเล็กจากโรคท้องร่วงอย่างรุนแรงที่เกิดจากเชื้อ ไวรัสโรต้า (Rotavirus) ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของโรคอุจจาระร่วงในเด็กทั่วโลก โรคนี้สามารถทำให้เด็กเกิดภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และในบางกรณีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ไวรัสโรต้าเป็นเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายได้ง่ายมาก โดยหลักผ่านทาง อุจจาระ-สู่-ปาก (fecal-oral route) นั่นคือ เชื้อไวรัสจะถูกขับออกมากับอุจจาระของผู้ติดเชื้อ และสามารถปนเปื้อนไปกับอาหาร น้ำ หรือบนพื้นผิวต่างๆ แล้วเข้าสู่ร่างกายของผู้อื่นโดยการสัมผัสหรือรับประทาน แม้การล้างมือจะช่วยได้ แต่เชื้อโรต้ามีความทนทานสูงและสามารถอยู่รอดได้นานในสิ่งแวดล้อม ทำให้การแพร่กระจายเป็นไปอย่างรวดเร็วในชุมชนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก
อาการของการติดเชื้อไวรัสโรต้า:
หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1-3 วัน ทารกหรือเด็กเล็กที่ติดเชื้อไวรัสโรต้าจะเริ่มมีอาการ:
อาเจียน: มักเป็นอาการแรกและเป็นอยู่ประมาณ 2-3 วัน
ท้องร่วงรุนแรง: มีอุจจาระเป็นน้ำ ถ่ายบ่อย อาจนานถึง 5-7 วัน
ไข้: มักมีไข้ร่วมด้วย
ปวดท้อง: อาจมีอาการปวดเกร็งท้อง
ภาวะที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ การขาดน้ำ (dehydration) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงจากทั้งการอาเจียนและท้องร่วง หากทารกมีอาการซึม ปากแห้ง ตาโหล ไม่ปัสสาวะ หรือปัสสาวะน้อยลง ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
วัคซีนโรต้าเป็น วัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ผลิตจากเชื้อไวรัสโรต้าที่ถูกทำให้อ่อนกำลังลงจนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ยังคงกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี วัคซีนนี้มีลักษณะพิเศษคือให้โดยการ รับประทาน (Oral Vaccine) ไม่ใช่การฉีด
ปัจจุบันมีวัคซีนโรต้าหลักๆ 2 ชนิดที่ใช้แพร่หลายทั่วโลกและในประเทศไทย:
Monovalent Rotavirus Vaccine (RV1 หรือ Rotarix®):
ครอบคลุมไวรัสโรต้า 1 สายพันธุ์หลัก (G1P[8]) แต่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันข้ามสายพันธุ์ได้
ให้จำนวน 2 โดส
หยอดครั้งแรกที่อายุ 1.5 – 3.5 เดือน และโดสที่สองห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ต้องได้รับโดสสุดท้ายก่อนอายุ 6 เดือน (บางประเทศขยายถึง 8 เดือน)
Pentavalent Rotavirus Vaccine (RV5 หรือ RotaTeq®):
ครอบคลุมไวรัสโรต้า 5 สายพันธุ์ (G1, G2, G3, G4 และ P[8])
ให้จำนวน 3 โดส
หยอดครั้งแรกที่อายุ 2 เดือน, โดสที่สองที่ 4 เดือน, และโดสที่สามที่ 6 เดือน ห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ต้องได้รับโดสสุดท้ายก่อนอายุ 8 เดือน
ข้อควรจำ: การรับวัคซีนโรต้ามีช่วงอายุที่กำหนดชัดเจนสำหรับโดสแรกและโดสสุดท้าย หากพ้นช่วงอายุที่กำหนดแล้ว จะไม่สามารถรับวัคซีนได้ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่เพิ่มขึ้น (เช่น ลำไส้กลืนกัน) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทราบตารางการให้วัคซีนที่เหมาะสมสำหรับบุตรหลานของคุณ
วัคซีนโรต้ามีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคท้องร่วงจากโรต้าไวรัสชนิดรุนแรงและลดอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้อย่างชัดเจน ช่วยชีวิตเด็กเล็กได้จำนวนมากทั่วโลก
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย: มักไม่รุนแรง เช่น มีไข้เล็กน้อย อาเจียนเล็กน้อย หรือท้องร่วงไม่มาก และหายได้เองภายใน 1-2 วัน
ความเสี่ยงต่อภาวะลำไส้กลืนกัน (Intussusception): เป็นผลข้างเคียงที่พบได้ น้อยมาก (ประมาณ 1 ใน 20,000 ถึง 1 ใน 100,000 โดส) โดยเฉพาะในช่วง 7 วันแรกหลังได้รับวัคซีนโดสแรกหรือโดสที่สอง และมักเกิดในทารกที่รับวัคซีนช้าเกินกว่าช่วงอายุที่แนะนำ ปัจจุบันวัคซีนโรต้ารุ่นใหม่มีความเสี่ยงต่ำกว่ารุ่นก่อนมากและถือว่าประโยชน์ของการป้องกันท้องร่วงรุนแรงมีมากกว่าความเสี่ยงนี้
เนื่องจากวัคซีนโรต้าเป็นวัคซีนเชื้อเป็นและมีข้อจำกัดด้านอายุ จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่สำคัญ:
ข้อห้ามเด็ดขาด:
ประวัติภาวะลำไส้กลืนกันมาก่อน (เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ)
ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารแต่กำเนิด ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข (เช่น ลำไส้อุดตัน หรือความผิดปกติที่เพิ่มความเสี่ยงต่อลำไส้กลืนกัน)
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (ทั้งจากโรค เช่น SCID, HIV/AIDS ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก หรือจากการได้รับยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง เช่น เคมีบำบัด, สเตียรอยด์ขนาดสูง)
ประวัติแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ต่อวัคซีนโรต้าโดสก่อนหน้า หรือต่อส่วนประกอบในวัคซีน (เช่น เจลาติน, แลคโตส)
อายุเกินกว่าที่กำหนด สำหรับโดสแรกหรือโดสสุดท้ายของวัคซีนแต่ละชนิด
ข้อควรระวัง:
กำลังเจ็บป่วยเฉียบพลัน มีไข้สูง ควรเลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน
กำลังมีอาการท้องร่วงหรืออาเจียนรุนแรง ควรเลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน
ทารกคลอดก่อนกำหนด (โดยเฉพาะผู้ที่คลอดก่อน 28 สัปดาห์) สามารถรับวัคซีนได้ แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
การให้นมบุตรไม่เป็นข้อห้าม
การติดเชื้อไวรัสโรต้าอาจไม่ใช่แค่การท้องร่วงธรรมดา แต่สามารถนำไปสู่การขาดน้ำรุนแรง การต้องนอนโรงพยาบาล และเป็นภาระต่อครอบครัวและระบบสาธารณสุข การให้วัคซีนโรต้าแก่บุตรหลานตั้งแต่ยังเล็กตามคำแนะนำของแพทย์ จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุดในการลดความรุนแรงของโรคท้องร่วง และปกป้องชีวิตของเด็กๆ ให้เติบโตอย่างแข็งแรง
ปรึกษาแพทย์หรือกุมารแพทย์ เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัคซีนโรต้าที่เหมาะสมกับบุตรหลานของคุณ และวางแผนการฉีดวัคซีนอย่างถูกต้อง
วัคซีนโรต้าไวรัสเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine) ที่ให้โดยการรับประทาน (oral vaccine) เพื่อป้องกันโรคอุจจาระร่วงอย่างรุนแรงในทารกและเด็กเล็กที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโรต้า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยและเสียชีวิตในเด็กทั่วโลก วัคซีนโรต้ามีหลายยี่ห้อ (เช่น Rotarix, RotaTeq) แต่มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่คล้ายคลึงกัน
เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็นและมีลักษณะเฉพาะในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในลำไส้ จึงมีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัดเป็นพิเศษ
ข้อห้ามหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ห้ามให้วัคซีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ หากมีข้อห้ามเหล่านี้ ไม่ควร ได้รับวัคซีนโรต้าไวรัส:
ประวัติการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis):
เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก, หน้าบวม, ความดันโลหิตต่ำ, ผื่นลมพิษทั่วตัว) หลังจากได้รับวัคซีนโรต้าไวรัสในโดสก่อนหน้า
ประวัติการแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในวัคซีนอย่างรุนแรง: วัคซีนโรต้าบางชนิดอาจมีส่วนประกอบของเจลาติน หรือน้ำยาง (latex) หรือสารเสริมอื่นๆ หากมีประวัติแพ้สารเหล่านี้อย่างรุนแรง ถือเป็นข้อห้าม
ประวัติภาวะลำไส้กลืนกัน (Intussusception) มาก่อน:
ภาวะลำไส้กลืนกันคือภาวะที่ลำไส้ส่วนหนึ่งเลื่อนเข้าไปในลำไส้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
การศึกษาบางชิ้นพบว่ามีความเสี่ยงเล็กน้อยที่วัคซีนโรต้าอาจเพิ่มความเสี่ยงของลำไส้กลืนกัน โดยเฉพาะในสัปดาห์แรกหลังได้รับวัคซีนโดสแรกหรือโดสที่สอง แม้ความเสี่ยงจะต่ำมาก แต่หากมีประวัติเคยเป็นลำไส้กลืนกันมาก่อน ถือเป็นข้อห้ามเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารแต่กำเนิดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข:
เช่น โรคลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด (Hirschsprung's disease) ที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัดรักษา, การอุดตันของลำไส้, หรือความผิดปกติทางกายวิภาคของลำไส้ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อลำไส้กลืนกัน
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดลำไส้กลืนกันได้ง่ายอยู่แล้ว การให้วัคซีนอาจไปกระตุ้นหรือเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้นอีก
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (Severe Immunodeficiency):
เป็นข้อห้ามที่สำคัญสำหรับวัคซีนเชื้อเป็น ไม่ว่าจะเกิดจาก:
โรคประจำตัว: เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (Primary immunodeficiency) ที่รุนแรง (เช่น Severe Combined Immunodeficiency - SCID), ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก
การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน: เช่น ยาสเตียรอยด์ในขนาดสูง, ยาเคมีบำบัด, ยาชีวภาพที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน
ห้ามให้ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ไวรัสในวัคซีนอาจเพิ่มจำนวนในร่างกายผู้ป่วยและก่อให้เกิดอาการของโรครุนแรงได้
ภาวะอุจจาระร่วงเฉียบพลัน หรืออาเจียนรุนแรง:
หากทารกกำลังมีอาการอุจจาระร่วงเฉียบพลัน หรืออาเจียนอย่างรุนแรง ควรเลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อน
เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจลดประสิทธิภาพของวัคซีน (วัคซีนถูกขับออกก่อนที่จะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เต็มที่) และอาจทำให้การวินิจฉัยอาการข้างเคียงของวัคซีนสับสนกับอาการของโรคที่เป็นอยู่
ข้อควรระวังหมายถึงภาวะหรือเงื่อนไขที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ก่อนการให้วัคซีน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง:
การเจ็บป่วยเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือมีไข้สูง:
หากมีอาการป่วยเฉียบพลัน หรือมีไข้สูง (นอกเหนือจากอุจจาระร่วง/อาเจียน) ควรเลื่อนการให้วัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายป่วย
ทารกคลอดก่อนกำหนด (Premature infants):
ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด (โดยเฉพาะผู้ที่คลอดก่อน 28 สัปดาห์) การตอบสนองต่อวัคซีนอาจแตกต่างกันไป
สามารถให้วัคซีนโรต้าได้ตามกำหนดเวลาปกติ แม้จะคลอดก่อนกำหนด แต่ควรให้ในโรงพยาบาลหรือภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อสังเกตอาการไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะภาวะหยุดหายใจชั่วคราว (apnea) ในบางราย
การให้วัคซีนในทารกที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง:
ไวรัสโรต้าในวัคซีนสามารถถูกขับออกมาทางอุจจาระของผู้รับวัคซีนได้เป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์หลังหยอดวัคซีน
หากทารกที่ได้รับวัคซีนอาศัยอยู่ร่วมกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัด, ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ) ควรเพิ่มความระมัดระวังเรื่องสุขอนามัย โดยเฉพาะการล้างมือให้สะอาดหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมทารกที่ได้รับวัคซีน เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อ
ในบางกรณีที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรงมาก แพทย์อาจพิจารณาให้งดวัคซีนโรต้าในเด็กที่อาศัยอยู่ร่วมกับผู้ป่วยกลุ่มนั้น
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง "ไม่รุนแรง":
เช่น ผู้ป่วย HIV ที่ควบคุมโรคได้ดีและมี CD4 สูง
ในกรณีเหล่านี้ การให้วัคซีนอาจพิจารณาได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้การให้วัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญแก่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้ง เช่น:
ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือแพ้วัคซีนในอดีต (โดยเฉพาะอาการแพ้อย่างรุนแรง)
ประวัติการป่วยเป็นลำไส้กลืนกัน
ประวัติความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารแต่กำเนิด
โรคประจำตัว หรือภาวะสุขภาพใดๆ ที่กำลังเป็นอยู่ (โดยเฉพาะโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรค HIV, โรคเกี่ยวกับลำไส้)
ยาที่กำลังรับประทานอยู่ ทั้งยาประจำตัว ยาสมุนไพร และอาหารเสริม (โดยเฉพาะยากดภูมิคุ้มกัน)
มีอาการเจ็บป่วยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ ท้องเสีย หรืออาเจียน
ทารกคลอดก่อนกำหนดหรือไม่
มีบุคคลในครอบครัวหรือผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรงหรือไม่
การปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนการให้วัคซีนจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว