Hb Typing…. การตรวจเพื่อหาสาเหตุโลหิตจาง
วัตถุประสงค์ของการตรวจ Hb Typing
เพื่อจะทราบชนิดของเฮโมโกลบิน (Hb) ว่า ชนิดใดที่โดดเด่นเป็นหลัก และอาจจะแสดงจำนวนของชนิดอื่นเป็นเปอร์เซ็นต์ให้เห็นโดยครบถ้วนด้วยก็ได้
จำนวนเปอร์เซ็นต์ของ Hb แต่ละชนิด อาจช่วยแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติอันเป็นพยาธิสภาพของโรคเลือดโดยตรง
คำอธิบายอย่างสรุป
- โดยเครื่องมือวิทยาศาสตร์การแพทย์รุ่นใหม่ ที่เรียกว่า "Hemoglobin Electrophoresis" ซึ่งสามารถ
วัดขนาดของอนุภาคของสารที่แขวนลอยในของเหลวได้ จึงทำให้สามารถตรวจแยกให้เห็นความแตกต่างของเฮโมโกลบินแต่ละชนิดจากเลือดที่มีความไม่ปกติหลายประเภท ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากพันธุกรรมได้
- ชนิดของเฮโมโกลบิน (Hb) ที่สำคัญซึ่งอาจตรวจพบได้มี 6 ชนิด ดังนี้
- Hb A1 เป็นเฮโมโกลบินส่วนใหญ่ที่แสดงคุณสมบัติให้เห็นถึงความเป็นปกติของเม็ดเลือดแดง
(RBC)
- Hb A2 เป็นเฮโมโกลบินส่วนน้อย (2-3%) ในกรณีที่แสดงค่าว่ามีจำนวนน้อยจริง จึงอาจจะ
นับว่าเป็นความปกติของเฮโมโกลบินทั้งหมดของเลือด
- Hb F เป็นเฮโมโกลบินของทารก (Fetus = ทารกที่ยังอยู่ในครรภ์) ซึ่งจะยังคงมีในผู้ใหญ่ด้วย
จำนวนที่ไม่มากนัก แต่หากจำนวน Hb F มีมากกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ในร่างกายผู้ใดที่อายุเกิน 3 ขวบ จะได้รับการวินิจฉัยว่า เฮโมโกลบินในเลือดมีความผิดปกติ
- Hb S เป็นเฮโมโกลบินที่มีลักษณะไม่ปกติ แสดงภาวะเสี่ยงที่จะเกิดโรคโลหิตจาง เนื่องจากเม็ด
เลือดแดงเป็นรูปเคียว (sickle cell anemia) นับเป็นความผิดปกติที่เม็ดเลือดแดงควรจะมีรูปร่างเป็นจานกลมแบน (biconcave disk) โปรดดูรูปที่ 3
- Hb C เป็นเฮโมโกลบินที่ผิดรูปแบบอีกชนิดหนึ่งที่มักจะเกิดมีในบุคคลที่มีบรรพรุษข้ามสาย
พันธุ์ เช่น ชาวอเมริกันผิวดำ ในเม็ดเลือดแดงที่มี Hb C จะมีอายุสั้นกว่าปกติ (เม็ดเลือดแดงปกติจะมีอายุประมาณ 120 วัน) และเม็ดเลือดแดง Hb C ยังมีโอกาศแตกสลายง่ายกว่าเม็ดเลือดแดงปกติ
- Hb H เป็นเฮโมโกลบินที่ผิดปกติค่อนข้างร้ายแรงอีกชนิดหนึ่งเพราะมียีนชนิดแอลฟา 1 ตัว
และชนิดบีตาจำนวน 3 ตัว แทนที่จะมีแอลฟา (α) 2 ตัว และบีตา (β) 2 ตัว ตามที่ควรจะมีปกติของ Hb A1 โดยทั่วไป ดังนั้น ผู้ที่มี Hb H โดดเด่น จึงเสี่ยงที่จะเป็นโรคโลหิตจางชนิด "H disease"
- ข้อความที่พ่วงต่อท้ายจากหัวข้อ Hb Typing ว่า "EDTA Blood จุกสีม่วง"
EDTA คือ น้ำยาที่ระบุให้เติมลงในเลือด เพื่อป้องกันมิให้เลือดแข็งตัว
จุกสีม่วง คือ ฝาครอบหลอดเลือด แสดงรหัสเลือดว่าจะตรวจสอบเลือดในเรื่องใด
ค่าปกติของเฮโมลโกลบินแต่ละชนิด (ที่ควรตรวจพบ)
ผู้ใหญ่/สูงอายุ มีตัวเลขโดยประมาณ ดังนี้
Hb A1 : 95 – 98 %
Hb A2 : 2 – 3 %
Hb F : 0.8-2 %
Hb S : 0 %
Hb C : 0 %
เด็ก (พิจารณาเฉพาะ Hb F)
แรกเกิด Hb F : 50 - 80 %
<6 เดือน Hb F : < 8 %
>6 เดือน Hb F : 1 - 2 %
ค่าที่ผิดปกติแต่ละชนิดของ Hb
อาจแสดงผลว่า เกิดโรคเลือดชนิดจ่าง ๆ จากการพิเคราะห์ค่า Hb ของผลตรวจเลือด ดังนี้
- โรค Sickle Cell Disease
- ในผลเลือดอาจแสดงค่า Hb ดังนี้
Hb S 80 – 100 %
Hb A1 0 %
Hb A2 2 – 3 %
Hb F 2 %
- คำอธิบายโดยย่อ
- เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างคล้ายเคียว (เกี่ยวข้าว) ทำให้พาออกซิเจนไปได้น้อยกว่าปกติ จึงเกิด
โรคโลหิตจางชนิดที่เรียกว่า "Sickle Cell Anemia"
- เม็ดเลือดแดงรูปร่างคล้ายเคียว (ไม่กลมแบน) จึงผ่านหลอดเลือดขนาดเล็กด้วยความ
ขลุกขลัก และอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการอุดตันทำให้เนื้อเยื่อบางแห่งขาดเลือดไปเลี้ยง หากเกิดที่หลอดเลือดหัวใจ หรือสมองอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
- อาจเกิดอาการเจ็บปวด มีแผลเน่าเปื่อย ขามีแผลเรื้อรังทุกสาเหตุเพราะเลือดไปไม่ถึง
- Sickle Cell Disease อาจติดต่อผ่านทางพันธุกรรม โดยมีหลักการย่อ ๆ ว่า
- หากบิดาหรือมารดา คนหนึ่งคนใดเป็น "Sickle Cell Anemia" แต่อีกคนหนึ่งปกติ จะมีผลทำให้
บุตรทุกคน เป็น "พาหะโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว" (sickle Cell Trait) กล่าวคือ ตนเองไม่มีอาการใด ๆ แต่พร้อมที่ส่งต่อโรคให้บุตรของตนเองต่อไป
- หากบิดาหรือมารดา คนหนึ่งคนใดเป็น "Sickle Cell Anemia" และอีกคนหนึ่งก็เป็น "Sickle Cell
Trait" กรณีอย่างนี้ บุตรทุกคนที่เกิดมา 50 เปอร์เซ็นต์ (หรือ 1 คนใน 2 คน) จะเกิดโรค Sickle Cell Anemia หรือ Sickle Cell Trait อย่างใดอย่างหนึ่ง
- หากทั้งบิดาและมารดาล้วนเป็น Sickle Cell Trait ด้วยกันทั้งคู่ จะมีผลทำให้บุตรที่เกิดมา 25
เปอร์เซ็นต์ (หรือ 1 คนใน 4 คน) มีโอกาสเป็น Sickle Cell Disease
- โรค Sickle Cell Trait
- ในผลเลือดอาจแสดงค่า Hb ดังนี้
Hb S 20 – 40 %
Hb A1 60 - 80 %
Hb A2 2 – 3 %
Hb F 2 %
- คำอธิบายโดยย่อ
- ตนเองไม่เกิดอาการป่วยใด ๆ คงมีสุขภาพปกติเช่นคนทั่วไป
- แต่อาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมให้แก่บุตรในลำดับถัดไป
- โรค Hemoglobin C Disease
- ในผลเลือดอาจแสดงค่า Hb ดังนี้
Hb C 90 – 100 %
Hb A1 0 %
Hb A2 2 – 3 %
Hb F 2 %
- คำอธิบายโดยย่อ
- Hb C disease มีต้นกำเนิดมาจากชนเชื้อสายแอฟริกันตะวันตก ปัจจุบันจึงมักปรากฏ
ร่องรอยโรคนี้อยู่ในกลุ่มชาวอเมริกันผิวดำ
- อาการทั่วไปของโรคมักไม่ร้ายแรงมากนัก เพียงแต่แสดงให้เห็นโรคโลหิตจางอ่อน ๆ
(mild anemia) โดยมีจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำกว่าระดับปกติ มีม้ามขนาดใหญ่ และอาจมีนิ่วในถุงน้ำดี (gallstone) ร่วมด้วย
- Hb C disease อาจมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมคล้ายคลึงกับ Hb S disease
- โรค Hemoglobin H Disease
- ในผลเลือดดอาจแสดงค่า Hb ดังนี้
Hb A1 65 – 90 %
Hb A2 2 – 3 %
Hb H 5 – 30 %
- คำอธิบายโดยย่อ
- อาจเกิดจากยีนของ Hb ที่ผิดปกติไปถึง 3 ตัว ในจำนวน 4 ตัว จึงทำให้เกิดโรคโลหิตจางใน
ระดับปานกลางไปจนถึงร้ายแรง
- มักมีอาการเหนื่อยอ่อนมากกว่าปกติ
- หากแอลฟายีนที่มีเหลือเพียงตัวเดียว มีโครงสร้างทางเคมีที่เกาะกันเป็นสายยาวกว่าปกติ ก็
จะเรียกโรคนี้ว่า "Hemoglobin H-constant Spring Disease" ซึ่งอาจจะแสดงอาการของโรคโลหิตจางที่ร้ายแรงมากขึ้น พร้อม ๆ กับแสดงอาการดีซ่าน (jaundice) ผิวเหลือง มีม้ามโต อาจเกิดนิ่วในถุงน้ำดี (gallstone)
- สิ่งที่เป็นของแสลงหรือเป็นพิษสำหรับโรค Hb H disease ก็คือ ลูกเหม็น (mothball, ใช้ไล่
แมลงสาบ) และถั่วฟาว่า (fava bean)
- กรดฟอลิก (folic acid) อาจใช้กินเพื่อเยียวยาโรคนี้ได้บ้าง
- โรค Thalassemia Major
- ในผลเลือดอาจแสดงค่า Hb ดังนี้
Hb A1 5 – 20 %
Hb A2 2 – 3 %
Hb H 65 – 100 %
- คำอธิบายโดยย่อ
- โดยธรรมดาในเฮโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงจะปรากฏยีน (gene) ชนิดแอลฟา 2 ตัว และ
บีตา 2 ตัว ที่เป็นปกติอยู่ร่วมกันได้ 4 ตัว อย่างสมดุล
ในบุคคลผู้ใดซึ่งมียีนชนิดใดก็ตามที่ผิดปกติไปถึง 2 ตัวหรือมากกว่า จะมีผลทำให้เกิดโรค
Thalassemia Major
- หากยีนที่ผิดปกติ 2 ตัวนั้นเป็นชนิดบีตายีนทั้งคู่ ก็อาจได้ชื่อให้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
"Cooley's anemia"
- Thalassemia เป็นโรคที่ได้รับการสืบทอดจากทางพันธุกรรม
- Thalassemia Major ถือว่าเป็นโรคโลหิตจางชนิดร้ายแรง จะปรากฏอาการภายหลังคลอด
ประมาณ 2 ปี อาการสำคัญที่อาจสังเกตเห็นด้วยตาโดยง่าย เช่น
- อาการดีซ่าน (jaundice) ผิวเหลือง ตัวเหลือง ตาเหลือง
- เหนื่อยหอบง่าย
- ม้ามโต
- เฉยเมย
- ฟันขึ้นไม่เป็นระเบียบ
- เจริญเติบโตช้า
- หายใจสั้นและถี่
- มีปัญหาโรคตับ
- มีอาการของโรคหัวใจ
ฯลฯ
- หนทางแก้ไขที่สำคัญอย่างหนึ่งซึ่งแพทย์มักช่วยผู้ป่วยก็คือการให้ (ถ่าย) เลือด (blood
transfusion) แต่วิธีการนี้ก็อาจมีปัญหาที่ติดตามมา คือ การตกค้างสะสมของธาตุเหล็กในร่างกาย ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อหัวใจและตับ จำเป็นต้องได้รับยาขับธาตุเหล็กต่อไป
- โรค Thalassemia Minor
- ในผลเลือดอาจแสดงค่า Hb ดังนี้
HbA1 50 – 85 %
HbA2 4 – 6 %
Hb H 1 – 3 %
- คำอธิบายโดยย่อ
- ในจำนวนยีนทั้ง 4 ตัว ของเฮโมโกลบิน (แอลฟา 2 ตัว และ บีตา 2 ตัว) หากเกิดความ
ผิดปกติที่ยีนตัวใดตัวหนึ่งเพียง 1 ตัว ก็จะมีผลให้เกิดโรคที่เรียกว่า "Thalassemia Minor"
- หากยีนตัวที่ผิดปกติ 1 ตัวนั้นเป็นชนิดแอลฟา ก็จะไม่ปรากฏการแสดงความผิดปกติใน
ด้านสุขภาพใด ๆ ให้เห็น แต่บุคคลผู้นี้ก็อาจเป็นพาหะถ่ายทอดอย่างเงียบ (silent carrier) ในทางพันธุกรรมไปสู่บุตร-หลาน ได้ต่อไป
- หากยีนตัวที่ผิดปกติ 1 ตัวนั้นเป็นชนิดบีตา ก็อาจปรากฏอาการของโรคโลหิตจางอย่างอ่อน
และอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปสู่บุตรหลานได้เช่นเดียวกัน
เฉพาะอาการนี้อาจเรียกโรคนี้ได้อีก 2 ชื่อคือ โรค "bata Thalassemia trait" หรือโรค "bata
Thalassemia Minor"