หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
เพื่อจะทราบชนิดของเฮโมโกลบิน (Hb) ว่า ชนิดใดที่โดดเด่นเป็นหลัก และอาจจะแสดงจำนวนของชนิดอื่นเป็นเปอร์เซ็นต์ให้เห็นโดยครบถ้วนด้วยก็ได้
จำนวนเปอร์เซ็นต์ของ Hb แต่ละชนิด อาจช่วยแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติอันเป็นพยาธิสภาพของโรคเลือดโดยตรง
คำอธิบายอย่างสรุป
วัดขนาดของอนุภาคของสารที่แขวนลอยในของเหลวได้ จึงทำให้สามารถตรวจแยกให้เห็นความแตกต่างของเฮโมโกลบินแต่ละชนิดจากเลือดที่มีความไม่ปกติหลายประเภท ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากพันธุกรรมได้
(RBC)
นับว่าเป็นความปกติของเฮโมโกลบินทั้งหมดของเลือด
จำนวนที่ไม่มากนัก แต่หากจำนวน Hb F มีมากกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ในร่างกายผู้ใดที่อายุเกิน 3 ขวบ จะได้รับการวินิจฉัยว่า เฮโมโกลบินในเลือดมีความผิดปกติ
เลือดแดงเป็นรูปเคียว (sickle cell anemia) นับเป็นความผิดปกติที่เม็ดเลือดแดงควรจะมีรูปร่างเป็นจานกลมแบน (biconcave disk) โปรดดูรูปที่ 3
พันธุ์ เช่น ชาวอเมริกันผิวดำ ในเม็ดเลือดแดงที่มี Hb C จะมีอายุสั้นกว่าปกติ (เม็ดเลือดแดงปกติจะมีอายุประมาณ 120 วัน) และเม็ดเลือดแดง Hb C ยังมีโอกาศแตกสลายง่ายกว่าเม็ดเลือดแดงปกติ
และชนิดบีตาจำนวน 3 ตัว แทนที่จะมีแอลฟา (α) 2 ตัว และบีตา (β) 2 ตัว ตามที่ควรจะมีปกติของ Hb A1 โดยทั่วไป ดังนั้น ผู้ที่มี Hb H โดดเด่น จึงเสี่ยงที่จะเป็นโรคโลหิตจางชนิด "H disease"
EDTA คือ น้ำยาที่ระบุให้เติมลงในเลือด เพื่อป้องกันมิให้เลือดแข็งตัว
จุกสีม่วง คือ ฝาครอบหลอดเลือด แสดงรหัสเลือดว่าจะตรวจสอบเลือดในเรื่องใด
ค่าปกติของเฮโมลโกลบินแต่ละชนิด (ที่ควรตรวจพบ)
ผู้ใหญ่/สูงอายุ มีตัวเลขโดยประมาณ ดังนี้
Hb A1 : 95 – 98 %
Hb A2 : 2 – 3 %
Hb F : 0.8-2 %
Hb S : 0 %
Hb C : 0 %
เด็ก (พิจารณาเฉพาะ Hb F)
แรกเกิด Hb F : 50 - 80 %
<6 เดือน Hb F : < 8 %
>6 เดือน Hb F : 1 - 2 %
ค่าที่ผิดปกติแต่ละชนิดของ Hb
อาจแสดงผลว่า เกิดโรคเลือดชนิดจ่าง ๆ จากการพิเคราะห์ค่า Hb ของผลตรวจเลือด ดังนี้
Hb S 80 – 100 %
Hb A1 0 %
Hb A2 2 – 3 %
Hb F 2 %
โรคโลหิตจางชนิดที่เรียกว่า "Sickle Cell Anemia"
ขลุกขลัก และอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการอุดตันทำให้เนื้อเยื่อบางแห่งขาดเลือดไปเลี้ยง หากเกิดที่หลอดเลือดหัวใจ หรือสมองอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
บุตรทุกคน เป็น "พาหะโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว" (sickle Cell Trait) กล่าวคือ ตนเองไม่มีอาการใด ๆ แต่พร้อมที่ส่งต่อโรคให้บุตรของตนเองต่อไป
Trait" กรณีอย่างนี้ บุตรทุกคนที่เกิดมา 50 เปอร์เซ็นต์ (หรือ 1 คนใน 2 คน) จะเกิดโรค Sickle Cell Anemia หรือ Sickle Cell Trait อย่างใดอย่างหนึ่ง
เปอร์เซ็นต์ (หรือ 1 คนใน 4 คน) มีโอกาสเป็น Sickle Cell Disease
Hb S 20 – 40 %
Hb A1 60 - 80 %
Hb A2 2 – 3 %
Hb F 2 %
Hb C 90 – 100 %
Hb A1 0 %
Hb A2 2 – 3 %
Hb F 2 %
ร่องรอยโรคนี้อยู่ในกลุ่มชาวอเมริกันผิวดำ
(mild anemia) โดยมีจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำกว่าระดับปกติ มีม้ามขนาดใหญ่ และอาจมีนิ่วในถุงน้ำดี (gallstone) ร่วมด้วย
Hb A1 65 – 90 %
Hb A2 2 – 3 %
Hb H 5 – 30 %
ระดับปานกลางไปจนถึงร้ายแรง
จะเรียกโรคนี้ว่า "Hemoglobin H-constant Spring Disease" ซึ่งอาจจะแสดงอาการของโรคโลหิตจางที่ร้ายแรงมากขึ้น พร้อม ๆ กับแสดงอาการดีซ่าน (jaundice) ผิวเหลือง มีม้ามโต อาจเกิดนิ่วในถุงน้ำดี (gallstone)
แมลงสาบ) และถั่วฟาว่า (fava bean)
Hb A1 5 – 20 %
Hb A2 2 – 3 %
Hb H 65 – 100 %
บีตา 2 ตัว ที่เป็นปกติอยู่ร่วมกันได้ 4 ตัว อย่างสมดุล
ในบุคคลผู้ใดซึ่งมียีนชนิดใดก็ตามที่ผิดปกติไปถึง 2 ตัวหรือมากกว่า จะมีผลทำให้เกิดโรค
Thalassemia Major
"Cooley's anemia"
ประมาณ 2 ปี อาการสำคัญที่อาจสังเกตเห็นด้วยตาโดยง่าย เช่น
ฯลฯ
transfusion) แต่วิธีการนี้ก็อาจมีปัญหาที่ติดตามมา คือ การตกค้างสะสมของธาตุเหล็กในร่างกาย ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อหัวใจและตับ จำเป็นต้องได้รับยาขับธาตุเหล็กต่อไป
HbA1 50 – 85 %
HbA2 4 – 6 %
Hb H 1 – 3 %
ผิดปกติที่ยีนตัวใดตัวหนึ่งเพียง 1 ตัว ก็จะมีผลให้เกิดโรคที่เรียกว่า "Thalassemia Minor"
ด้านสุขภาพใด ๆ ให้เห็น แต่บุคคลผู้นี้ก็อาจเป็นพาหะถ่ายทอดอย่างเงียบ (silent carrier) ในทางพันธุกรรมไปสู่บุตร-หลาน ได้ต่อไป
และอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปสู่บุตรหลานได้เช่นเดียวกัน
เฉพาะอาการนี้อาจเรียกโรคนี้ได้อีก 2 ชื่อคือ โรค "bata Thalassemia trait" หรือโรค "bata
Thalassemia Minor"