หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
ความโกรธ (Anger) เป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เมื่อความโกรธอยู่เหนือการควบคุมและกลายเป็นการทำลายล้าง ก็อาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์, การทำงาน และคุณภาพชีวิตโดยรวม การเรียนรู้วิธีจัดการกับความโกรธอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขและสร้างสรรค์
ความโกรธ คือสภาวะทางอารมณ์ที่มีความรุนแรงแตกต่างกันไป ตั้งแต่ความหงุดหงิดเล็กน้อยไปจนถึงความเกรี้ยวกราดรุนแรง เมื่อเราโกรธ ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตสูงขึ้น รวมถึงระดับฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) และนอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) ที่เพิ่มขึ้น
สาเหตุของความโกรธ สามารถเกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน:
ปัจจัยภายนอก: เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น รถติด, การถูกวิพากษ์วิจารณ์, การรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
ปัจจัยภายใน: ความกังวล, ความห่วงใย, ความทรงจำที่เจ็บปวดในอดีต, หรือการที่ความต้องการบางอย่างไม่ได้รับการตอบสนอง
นักจิตวิทยาระบุว่าผู้ที่โกรธง่ายมักมีลักษณะนิสัยบางอย่างที่เรียกว่า "ความอดทนต่อความคับข้องใจต่ำ" (Low frustration tolerance) ซึ่งหมายถึงการที่พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่ควรต้องเผชิญกับความไม่สะดวกหรือความรำคาญใด ๆ เลย สาเหตุของความโกรธง่ายมีดังนี้:
พันธุกรรมและนิสัย: บางคนมีแนวโน้มที่จะ "หัวร้อน" ง่ายตั้งแต่เด็ก
การเลี้ยงดู: มาจากครอบครัวที่วุ่นวาย ทะเลาะเบาะแว้ง หรือสื่อสารกันด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล
ทัศนคติ: มีความเชื่อว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น, มีอัตตาสูง, มองโลกในแง่ลบ, และชอบกล่าวโทษปัจจัยภายนอก
การไม่เรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์: ความโกรธมักถูกมองในแง่ลบและถูกสอนให้เก็บกดไว้ ทำให้ไม่ได้เรียนรู้วิธีแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
การแสดงออกของความโกรธโดยสัญชาตญาณคือการตอบสนองอย่างก้าวร้าว ซึ่งเป็นกลไกการเอาตัวรอดตามธรรมชาติ แต่ในสังคมปัจจุบันมีกฎเกณฑ์และบรรทัดฐานที่ต้องควบคุมพฤติกรรมเหล่านั้น การแสดงออกของความโกรธจึงมีหลายวิธี:
การแสดงออก (Expression): เป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพที่สุด โดยการสื่อสารความต้องการของคุณอย่างชัดเจนและไม่ก้าวร้าว
การกดอารมณ์ (Suppression): คือการพยายามหยุดคิดถึงเรื่องที่ทำให้โกรธและหันไปสนใจสิ่งอื่น ข้อเสียคือความเครียดยังคงอยู่และอาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงหรือซึมเศร้าได้
การระงับอารมณ์ (Calming): คือการควบคุมทั้งพฤติกรรมภายนอกและการตอบสนองภายใน เช่น การทำให้หัวใจเต้นช้าลงและปล่อยให้ความรู้สึกสงบลง
เป้าหมายของการจัดการความโกรธคือการเรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์และตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างสร้างสรรค์ โดยสามารถทำได้ดังนี้:
1. เทคนิคการผ่อนคลาย (Relaxation):
หายใจเข้าลึก ๆ: นับถึง 10 ช้า ๆ ขณะหายใจเข้าลึก ๆ จากกะบังลม
ใช้คำที่ทำให้สงบ: พูดคำว่า "ผ่อนคลาย" หรือ "ใจเย็น ๆ" ซ้ำ ๆ ในใจ
จินตนาการ: นึกถึงภาพหรือสถานที่ที่ทำให้รู้สึกสงบและสบายใจ
ฝึกโยคะหรือสมาธิ: ช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย
2. ทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving):
หากความโกรธเกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ให้มุ่งเน้นไปที่การหาวิธีแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล
วางแผนและลงมือทำทีละขั้นตอน อย่าเพิ่งโทษตัวเองหากไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที
3. การสื่อสารที่ดีขึ้น (Better Communication):
คิดก่อนพูด: ห้ามพูดสิ่งแรกที่คิดขึ้นมา แต่ให้ช้าลงและคิดอย่างรอบคอบว่าจะสื่อสารอย่างไร
รับฟังผู้อื่น: พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อสาร
หลีกเลี่ยงการใช้คำรุนแรง: งดการใช้คำว่า "ไม่" หรือ "เสมอ" ที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้น
4. การเปลี่ยนความคิด (Cognitive Restructuring):
แทนที่ความคิดในแง่ลบที่เกินจริงด้วยความคิดที่มีเหตุผลมากขึ้น
เช่น จากเดิมที่คิดว่า "ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับฉัน!" ให้เปลี่ยนเป็น "เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ฉันจะแก้ไขมันอย่างไร?"
5. การเปลี่ยนสภาพแวดล้อม:
หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น: เช่น หากรถติดทำให้หงุดหงิด ให้ลองเปลี่ยนเส้นทางหรือเปลี่ยนเวลาเดินทาง
หาเวลาส่วนตัว: หาเวลาเงียบ ๆ ให้กับตัวเองเพื่อผ่อนคลายความเครียด
นักจิตวิทยาที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการความโกรธกล่าวว่า คนบางคน "หัวร้อน" มากกว่าคนอื่นๆ พวกเขาโกรธง่าย แสดงออกและรุนแรงกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ไม่แสดงความโกรธด้วยวิธีการก้าวร้าว แต่มักจะหงุดหงิดและไม่พอใจอยู่เสมอ คนโกรธง่ายมักไม่ด่าและโยนของ บางครั้งพวกเขาปลีกตัวออกจากสังคม บูดบึ้ง หรือเจ็บป่วยทางร่างกาย
คนที่โกรธง่ายมักจะมีลักษณะที่นักจิตวิทยาบางคนเรียกว่ามีความอดทนต่อความคับข้องใจต่ำ หมายความว่าพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่ควรต้องอยู่ภายใต้ความคับข้องใจ ความไม่สะดวก หรือความรำคาญ พวกเขาไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ และพวกเขาจะโกรธมากเป็นพิเศษหากสถานการณ์ดูไม่ยุติธรรม เช่น ถูกแก้ไขเพราะความผิดพลาดเล็กน้อย
มีงานวิจัยที่สนับสนุนว่าความโกรธมีความสัมพันธ์กับลักษณะนิสัยใจคอ สิ่งที่ทำจนเป็นนิสัย รวมไปถึงทัศนคติ รวมไปถึงปัจจัยเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้คนเรากลายเป็นคนที่แสดงความโกรธออกมารุนแรงมากกว่าคนอื่น ได้แก่
การวิจัยพบว่าการไม่ควบคุมการโกรธ และปล่อยให้มันเกิด แท้จริงแล้วเป็นการเพิ่มความโกรธและความก้าวร้าว และไม่ได้ช่วยอะไรคุณ แก้ไขสถานการณ์
วิธีที่ดีที่สุดคือการหาว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นความโกรธของคุณ จากนั้นพัฒนากลยุทธ์เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งกระตุ้นเหล่านั้นทำให้คุณรู้สึกแย
หากคุณรู้สึกว่าความโกรธของคุณควบคุมไม่ได้ และเริ่มส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์, การทำงาน, หรือชีวิตโดยรวมอย่างรุนแรง นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณควรขอคำปรึกษาจากนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อเรียนรู้เทคนิคการจัดการความโกรธที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว