jrprint

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน

adv

a

 

ไวรัสโคโรน่า ‘สายพันธุ์ใหม่’ คืออะไร
Severe acute respiratory syndrome coronavirus (SARs-CoV-2) คือเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 
โรคที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ซึ่งพบเป็นครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน มีชื่อว่า โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) – ‘CO’ มาจากคำว่า Corona, ‘VI’ มาจาก Virus, และ ‘D’ มาจาก Disease ที่แปลว่า ‘โรค’ โดยก่อนหน้านี้เราเอ่ยถึงโรคดังกล่าวว่า ‘โรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019’ หรือ ‘2019-nCoV’
ไวรัสโควิด-19 เป็นไวรัสชนิดใหม่ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับตระกูลของไวรัสที่เป็นต้นเหตุของโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome – SARS) หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง รวมทั้งโรคหวัดธรรมดาบางประเภท 

เชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่สองสายพันธ์คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B เป็นสายพันธุ์ที่พบได้ทั่วโลก แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักจะรุนแรงมากกว่า เพราะมีโอกาสระบาดใหญ่ทั่วโลกอย่าง เช่นไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ 2009 อันที่จริงแล้ว ไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งปี แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ครั้งนี้เป็นไข้หวัดตามฤดูกาล โดยส่วนมากจะระบาดในช่วงฤดูหนาว เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะเจริญเติบโตได้ดีในอากาศเย็น ซึ่งพบมากที่สุดช่วงเดือนธันวาคมและมกราคม และฤดูฝน คือ ช่วงเดือนสิงหาคม อาการของไข้หวัดใหญ่จะเป็นแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงมากถึง 40 องศาเซลเซียส ปวดเมื่อยตามตัว คัดจมูก มีน้ำมูก เจ็บคอและไอ หากมีภาวะแทรกซ้อนก็จะเกิดภาวะปอดอักเสบได้ ระยะเวลาป่วยประมาณ 6-7 วัน ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B สามารถพบได้ทุกช่วงวัย แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยง ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือ ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่มีดัชนีมวลกายเยอะหรือโรคอ้วน หากเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็มีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงกว่าปกติ

นอกจากเชื้อไข้หวัดสายพันธ์ A และ B ก็ยังมีการติดเชื้อ โคโรน่าไวรัส และเกิดระบาดถึงสองครั้งได้แก่ ไข้หวัดมรณะหรือ SARS และไข้หวัด MERSประเทศจีนได้รายงานการระบาดของไข้หวัดโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 nCoV ที่เมื่อง อู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย และมีหลักฐานว่าติดต่อจากคนสู่คน และระบาดไปยังหลายเมืองของจีน นอกจากนั้นก็ยังพบผู้ป่วยคนจีนที่เดินทางไปยังหลายประเทศ โดยมีอาการสำคัญคือ ไข้ น้ำมูกไหล ไอ หากรุนแรงจะมีอาการปอดบวม ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบวิธีการแพร่เชื้อ


โคโรน่าไวรัสเป็นไวรัสขนาดใหญ่ และ เป็นกลุ่มใหญ่ ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน คล้ายมงกุฎ จึงเรียกว่าโคโรนาไวรัส พบได้ทั้งใน คน และ สัตว์ จำนวนมาก โคโรน่าไวรัสโดยปกติไม่ค่อยทำให้เกิดโรคในคน แต่ก็อาจจะเกิดระบาดได้ ที่เกิดโรคในคน แต่เดิมมี 6 ชนิด เป็นสายพันธุ์ที่พบดั้งเดิม ทำให้เกิดโรคหวัด และทางเดินหายใจอยู่เป็นประจำถิ่น แล้ว มี 4 ชนิด และอุบัติใหม่ ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ แบบเฉียบพลันคือ SARS-Cov โคโรน่าไวรัส และ MERS-CoV ซึ่งเป็นโรคที่ค่อนข้างรุนแรง มีอัตราการเสียชีวิตสูง 10 และ 30 % ตามลำดับ จุดกำเนิดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ปอดบวมอู่ฮั่น ผู้ป่วยกลุ่มแรกที่พบ ส่วนใหญ่มีแหล่งสัมผัส จากตลาดสดที่มีการขายอาหารทะเล และสัตว์สิ่งมีชีวิต โคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่เช่นเดียวกันกับ ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ มีได้ทั้งแบบไม่มีอาการ มีอาการทางเดินหายใจอักเสบแบบเฉียบพลัน จนถึงปอดบวมและโรคแทรกซ้อนระยะฟักตัวของโรค โดยทั่วไปโคโรน่าไวรัส จะมีระยะฟักตัวประมาณ 2 ถึง 7 วัน ในทางปฏิบัติการเฝ้าสังเกตอาการหลังสัมผัสโรค หรือมาจากแหล่งระบาดของโรค เราจึงใช้ 2 เท่า คือ 14 วัน


อาการของไข้หวัดสายพันธ์ใหม่

ผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการบางรายบอกว่า ไม่ได้กลิ่นอาหารที่ตัวเองกำลังปรุงอยู่ ทั้งไม่อาจจะรู้รสอาหารขณะที่รับประทานได้ บางคนไม่ได้กลิ่นแชมพูที่ใช้สระผมเป็นประจำ แม่ลูกอ่อนที่ติดเชื้อบางคนไม่ได้กลิ่นของเสียในผ้าอ้อมของลูก ทั้งที่กำลังส่งกลิ่นแรง

อาการ

องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จะมีอาการเริ่มแรกคือ มีไข้ ตามมาด้วยอาการไอแห้ง ๆ หลังจากนั้นราว 1 สัปดาห์จะมีปัญหาหายใจติดขัด ผู้ป่วยอาการหนักจะมีอาการปอดบวมอักเสบร่วมด้วย หากอาการรุนแรงมากอาจทำให้อวัยวะภายในล้มเหลว

ขณะที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า หากผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงการระบาดของโรคมีอาการไข้ ร่วมกับอาการทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ควรรีบพบแพทย์ทันที

อาการ

 

Symptoms of the new coronavirus include fever, cough and difficulty breathing. These symptoms are similar to those caused by SARS, according to a recent study published in the journal The Lancet.

Despite sharing some symptoms that were similar to SARS, there "are some important differences," such as the absence of upper respiratory tract symptoms like runny nose, sneezing and sore throat and intestinal symptoms like diarrhea, which affected 20% to 25% of SARS patients, lead author Bin Cao, from the China-Japan Friendship Hospital and the Capital Medical University, both in Beijing, said in a statement. 

Researchers are looking at patterns among the growing number of coronavirus patients around the world to discover how typical symptoms progress.

According to data from China, most common symptoms so far are a fever, dry cough, and shortness of breath, but COVID-19 patients may develop only one or two of these conditions over the course of their illness.

Research from the Chinese Center for Disease Control has suggested that about 80% of coronavirus cases are mild, but even mild cases can be painful and long-lasting. About 15% of patients in China developed severe cases, and about 5% became critically ill.

Read more: The top scientist at J&J told us how the $350 billion pharma giant will have a coronavirus vaccine ready at 'warp speed', then pump out 1 billion doses

A February report from the World Health Organization found that out of nearly 56,000 laboratory-confirmed cases studied in China, about 88% of patients developed a fever and more than two-thirds developed a dry cough. The share of patients who developed shortness of breath (19%) was close to the share who developed a sore throat, headache, and body aches or joint pain (about 14%).

To dig deeper into these findings, a few Chinese hospitals — one in the city of Wuhan and two in Wenzhou — identified pattern of symptoms among their COVID-19 patients:

The first symptoms, however, generally don't come right after a person has been infected. The virus' average incubation period is about five days, but it can range from two to 14 days, according to the US Centers for Disease Control and Prevention.

Once symptoms do arrive, some early signs should be treated with more caution than others.

"Body aches wouldn't be the first thing that I would ask about," Megan Coffee, an infectious-disease clinician who analyzed the Wenzhou data, told Business Insider. "I would of course always ask about shortness of breath before anything, because that's somebody who has to be immediately helped."

Coffee said shortness of breath typically presented itself eight to 10 days into the course of the illness, but not all shortness of breath constitutes a severe case.

"It's really important to have a primary-care doctor or someone you can talk to about your case so that you can decide whether you need to go to the emergency room or not," she said. "Right now we're having to focus on everybody who needs intubation and critical care."


ความรุนแรงของโรค

ปัจจุบันนักวิจัยประเมินว่า ในจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 1,000 คน มีผู้เสียชีวิต ราว 5-40 คน หากจะระบุตัวเลขคาดการณ์ที่เฉพาะเจาะจงลงไปอีกก็คือ 9 คน ในผู้ติดเชื้อ 1,000 คน หรือเกือบ 1%

ขณะที่นายแมตต์ ฮานค็อก รัฐมนตรีสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร ระบุเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า "การประเมินที่ดีที่สุด" ของรัฐบาลคือ อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ "2% หรือ น่าจะต่ำกว่านั้น"

แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของอายุ เพศ สุขภาพโดยทั่วไป และระบบสาธารณสุขที่ผู้ป่วยเข้ารับบริการ

ผลการวิเคราะห์ข้อมูลคนไข้ 56,000 คน ที่จัดทำขึ้นโดยองค์การอนามัยโลก บ่งชี้ว่า ผู้ได้รับเชื้อ 4 ใน 5 คน จะมีอาการป่วยไม่รุนแรง โดย :

ส่วนอัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำที่ 1-2%

เรามีความเสี่ยงแค่ไหน

ถ้าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ กลุ่มคนที่มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่า ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และอาจจะรวมถึงผู้ชายด้วย

การวิเคราะห์ขนาดใหญ่ครั้งแรกในผู้ติดเชื้อมากกว่า 44,000 ในประเทศจีน พบว่า อัตราการเสียชีวิตในผู้สูงอายุสูงกว่าคนวัยกลางคนถึง 10 เท่า

อัตราการเสียชีวิตในคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ต่ำที่สุด โดยมีผู้เสียชีวิต 8 คนในจำนวนผู้ติดเชื้อ 4,500 คน

ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือปัญหาในการหายใจ มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนปกติอย่างน้อย 5 เท่า

และผู้ชายมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลต่อกันและกัน และเราก็ยังไม่เห็นภาพที่สมบูรณ์ของความเสี่ยงในคนแต่ละประเภทในแต่ละพื้นที่

ผลการวิเคราะห์จากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของจีน (CCDC) ชี้ว่า แม้อัตราการติดเชื้อโรคโควิด-19 ระหว่างชายและหญิงจะไม่ต่างกันมากนัก แต่อัตราการเสียชีวิตนั้นทิ้งห่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีจำนวนคนไข้ชายที่เสียชีวิต 2.8% ในขณะที่คนไข้หญิงเสียชีวิต 1.7%

สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ชายเป็น "เพศอ่อนแอกว่า" ในเรื่องของภูมิต้านทานโรค แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบชัดว่าเหตุใดผู้หญิงจึงแข็งแกร่งกว่าผู้ชายในแง่นี้ ทั้งยังสามารถพัฒนาภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพดีกว่า และอยู่คงทนนานปีกว่าอีกด้วย

 

ตัวฉันเสี่ยงแค่ไหน

คนบางกลุ่มมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่า ถ้าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และอาจจะรวมถึงผู้ชายด้วย

ในการวิเคราะห์ขนาดใหญ่ครั้งแรกในผู้ติดเชื้อมากกว่า 44,000 ในประเทศจีน อัตราการเสียชีวิตในผู้สูงอายุสูงกว่าคนวัยกลางคนถึง 10 เท่า

กราฟิกPresentational white space

อัตราการเสียชีวิตในคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ต่ำที่สุด โดยมีผู้เสียชีวิต 8 คนในจำนวนผู้ติดเชื้อ 4,500 คน

ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือปัญหาในการหายใจ มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนปกติอย่างน้อย 5 เท่า

และผู้ชายมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลต่อกันและกัน และเราก็ยังไม่เห็นภาพที่สมบูรณ์ของความเสี่ยงในคนแต่ละประเภทในแต่ละพื้นที่

Image copyrightGETTY IMAGESคำบรรยายภาพมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่บนเรือสำราญไดมอนด์ พรินเซส (Diamond Princess) ในญี่ปุ่น อย่างน้อย 621 คน

ความเสี่ยงของคนในที่ที่ฉันอาศัยอยู่เป็นอย่างไร

กลุ่มชายวัย 80 ปี ในจีน มีความเสี่ยงที่ต่างไปจากกลุ่มคนอายุเดียวกันในยุโรปและแอฟริกาอย่างมาก

การพยากรณ์โรคยังขึ้นอยู่กับการรักษาที่ได้รับด้วย

ในทางกลับกัน นั่นก็ขึ้นอยู่กับขั้นของการระบาดและการรักษาที่ทำได้

ถ้ามีการระบาดเพิ่มขึ้น ระบบสาธารณสุขก็อาจจะต้องรองรับผู้ติดเชื้อจำนวนมาก แต่มีเพียงบางพื้นที่เท่านั้นที่มีห้องไอซียูหรือมีเครื่องช่วยหายใจจำนวนมาก

Image copyrightGETTY IMAGESคำบรรยายภาพคนไข้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในอังกฤษกำลังได้รับการรักษาตัวที่ศูนย์เฉพาะทางของโรงพยาบาลรอยัลฟรี (Royal Free Hospital) ในกรุงลอนดอน

อันตรายกว่าไข้หวัดใหญ่ ?

เราไม่สามารถเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตได้ เพราะคนจำนวนมากที่มีอาการไม่รุนแรงไม่ไปพบแพทย์ ดังนั้น เราไม่รู้ว่ามีผู้ติดเชื้อที่เป็นไข้หวัดใหญ่ หรือติดเชื้อไวรัสชนิดใหม่อื่น ๆ กี่คนในแต่ละปี

แต่ไข้หวัดใหญ่ก็ยังเป็นโรคที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในสหราชอาณาจักรในช่วงฤดูหนาวของทุกปี

เมื่อได้ข้อมูลมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์ก็จะได้ภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าใครจะมีความเสี่ยงมากที่สุด ถ้าเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในสหราชอาณาจักรขึ้น

คำแนะนำที่ดีที่สุดจาก องค์การอนามัยโลกคือ คุณสามารถป้องกันตัวเองจากไวรัสที่ติดต่อทางระบบทางเดินหายใจทุกชนิดได้ด้วยการล้างมือ เลี่ยงการเข้าใกล้คนที่ไอหรือจาม และพยายามอย่าสัมผัสตา จมูกและปาก

กราฟิก

 


เราจะป้องกันตัวได้อย่างไร

ปัจจุบันยังไม่ทราบชัดเจนว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจายจากคนสู่คนได้อย่างไร แต่เชื้อไวรัสชนิดคล้ายกันแพร่ผ่านทางละอองของเหลวที่ออกมาจากการไอและจาม

คำแนะนำที่ดีที่สุดจาก องค์การอนามัยโลกคือ เราสามารถป้องกันตัวเองจากไวรัสที่ติดต่อทางระบบทางเดินหายใจทุกชนิดได้ด้วยการล้างมือ เลี่ยงการเข้าใกล้คนที่ไอหรือจาม และพยายามอย่าสัมผัสใบหน้า ดวงตา จมูก และปาก

กราฟิก

สถานการณ์ในไทย

กระทรวงสาธารณสุขประกาศ "โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019" หรือ "โรคโควิด-19" เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.

กระทรวงสาธารณสุขรายงาน จำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 รายใหม่ในประเทศไทยเพิ่มอีก 102 ราย เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ทำให้ยอดสะสมของผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในประเทศไทยอยู่ที่ 2,169 ราย โดยมีผู้รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,472 ราย ส่วนผู้ป่วยอีก 674 รายรักษาหายแล้ว และมีผู้เสียชีวิต 23 ราย

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก สธ. กล่าวว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่พบในกรุงเทพฯ เป็นคนวัยหนุ่มสาวที่มีอาการเล็กน้อย จึงออกไปใช้ชีวิตตามปกติ

นอกจากนี้ นพ.ทวีศิลป์ยังได้ขอความร่วมมือประชาชนทุกคนว่าอย่าเดินทางกลับภูมิลำเนา แม้ว่าจะมีการหยุดงาน เนื่องจากอาจแพร่เชื้อสู่คนในต่างจังหวัดได้ ขณะที่คนในต่างจังหวัดก็ไม่ควรเดินทางข้ามจังหวัด เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

หน้ากากป้องกัน เจลทำความสะอาด และเครื่องฟอกอากาศหลากชนิด กลายเป็นของหายาก ขาดแคลน หรือราคาพุ่งสูงขึ้นหลายเท่า โรงพยาบาลหลายแห่งเรียกร้องรัฐบาลให้ช่วยจัดหาหน้ากากอนามัยในเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ส่วนหน่วยงานรัฐหลายแห่งออกมาสอนให้คนทั่วไปเย็บหน้ากากผ้าไว้ใช้เอง

ปัจจุบันนักวิจัยประเมินว่า ในจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 1,000 คน มีผู้เสียชีวิต ราว 5-40 คน หากจะระบุตัวเลขคาดการณ์ที่เฉพาะเจาะจงลงไปอีกก็คือ 9 คน ในผู้ติดเชื้อ 1,000 คน หรือเกือบ 1%

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายแมตต์ ฮานค็อก รัฐมนตรีสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร กล่าวว่า "การประเมินที่ดีที่สุด" ของรัฐบาลคือ อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ "2% หรือ น่าจะต่ำกว่านั้น"

แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของอายุ เพศ สุขภาพโดยทั่วไป และระบบสาธารณสุขที่ผู้ป่วยเข้ารับบริการ

การหาอัตราเสียชีวิตยากแค่ไหน

มันเป็นเรื่องยากขนาดการทำปริญญาเอกเลยทีเดียว แค่นับจำนวนผู้ติดเชื้อก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ส่วนใหญ่ไม่ถูกนับรวม เพราะว่า ผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมักไม่ไปพบแพทย์

อัตราการเสียชีวิตแตกต่างกันตามรายงานจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่น่าจะเป็นเพราะไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีหลากหลายรูปแบบ

จากการวิจัยของ อิมพีเรียล คอลเลจ (Imperial College) แห่งสหราชอาณาจักร อัตราการเสียชีวิตที่แตกต่างกันเป็นเพราะว่า ในแต่ละประเทศมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อในกรณีที่มีอาการไม่รุนแรงได้ดีไม่เท่ากัน เพราะเป็นเรื่องยากที่จะคัดกรองผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้

กราฟิก

ดังนั้น ผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้ถูกตรวจพบจะส่งผลให้มีการประเมินอัตราการเสียชีวิตสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงก็ได้ เพราะกว่าที่ผู้ติดเชื้อจะหายดีหรือเสียชีวิตจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง

ถ้าเรานับรวมผู้ติดเชื้อทุกคนที่อาการยังไม่นิ่ง เราก็จะประเมินอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะไม่ได้นับรวมผู้ติดเชื้อที่อาจเสียชีวิตในภายหลังได้

นักวิทยาศาสตร์ได้รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับแต่ละคำถาม เพื่อทำให้เห็นภาพรวมของอัตราการเสียชีวิต

ยกตัวอย่าง พวกเขาประเมินสัดส่วนผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรงตั้งแต่ มีอาการเล็กน้อย กำหนดกลุ่มคนที่มีการสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เช่น คนที่ถูกส่งตัวกลับมาทางเครื่องบิน เป็นต้น

คำตอบต่าง ๆ ที่ได้จากหลักฐานแต่ละชิ้น จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภาพรวมได้

ถ้าคุณใช้เพียงข้อมูลจากมณฑลหูเป่ย์ของจีน ซึ่งอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าทุกที่ในจีน อัตราการเสียชีวิตโดยรวมก็จะแย่กว่ามาก ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงระบุตัวเลขประมาณการทั้งแบบเป็นช่วงและแบบเฉพาะเจาะจงด้วย

แต่กระนั้น มันก็ไม่ได้ทำให้เห็นภาพทั้งหมด เพราะอัตราการเสียชีวิตไม่ได้มีแค่อัตราเดียว

 

สถานการณ์การระบาดทั่วโลกล่าสุดเป็นอย่างไร

ความรุนแรงของโรค

แม้ขณะนี้สถานการณ์ของโรคทางเดินหายใจโควิด-19 กำลังยกระดับเข้าใกล้การแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลก แต่ดูเหมือนว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนทุกเพศทุกวัยอย่างเท่าเทียมกัน โดยนอกจากจะมีรายงานว่าเด็กมีอัตราการติดเชื้อน้อยกว่าผู้ใหญ่มากแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าผู้หญิงป่วยและเสียชีวิตจากโรคนี้ในสัดส่วนที่น้อยกว่าผู้ชายอีกด้วย

ผลการวิเคราะห์ล่าสุดจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (CDC) ของจีน ชี้ว่าแม้อัตราการติดเชื้อโรคโควิด-19 ระหว่างชายและหญิงจะไม่ต่างกันมากนัก แต่อัตราการเสียชีวิตนั้นทิ้งห่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีจำนวนคนไข้ชายที่เสียชีวิต 2.8% ในขณะที่คนไข้หญิงเสียชีวิต 1.7%

ในการระบาดของเชื้อไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจหลายครั้งที่ผ่านมา ผู้ชายมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงมากเช่นกัน ทั้งจากโรคซาร์ส (SARS) และโรคเมอร์ส (MERS) โดยวารสารการแพทย์ Annals of Internal Medicine รายงานเมื่อปี 2003 ว่าอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคซาร์สของผู้ชายในฮ่องกงสูงกว่าผู้หญิงถึง 50% เลยทีเดียว

สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ชายเป็น "เพศอ่อนแอกว่า" ในเรื่องของภูมิต้านทานโรค แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบชัดว่าเหตุใดผู้หญิงจึงแข็งแกร่งกว่าผู้ชายในแง่นี้ ทั้งยังสามารถพัฒนาภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพดีกว่า และอยู่คงทนนานปีกว่าอีกด้วย

ดร. จานีน เคลย์ตัน ผู้อำนวยการแผนกวิจัยสุขภาพสตรี สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ บอกว่า "มีบางอย่างที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้หญิงทรงพลังมากกว่า แต่บางทีสิ่งนี้ก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้ภูมิคุ้มกันตื่นตัวและทำงานมากเกินไป จน 80% ของผู้ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเองก็เป็นผู้หญิง"

มีข้อสันนิษฐานว่า ผู้หญิงมีภูมิคุ้มกันโรคสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากคุณสมบัตินี้จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับทารกแรกเกิด ซึ่งต้องรับสารแอนติบอดีต่อต้านเชื้อโรคจากน้ำนมมารดาโดยตรง ในระหว่างที่ภูมิคุ้มกันของทารกยังอ่อนแอและอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา

ผู้หญิงอาจมีภูมิคุ้มกันโรคสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากคุณสมบัตินี้จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับทารกแรกเกิดImage copyrightGETTY CREATIVE STOCKคำบรรยายภาพผู้หญิงอาจมีภูมิคุ้มกันโรคสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากคุณสมบัตินี้จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับทารกแรกเกิด

ฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง ยังมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วย ส่วนโครโมโซม X ซึ่งเพศหญิงมีอยู่ถึงสองตัว ก็มียีนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอยู่จำนวนมากเช่นกัน ในขณะที่เพศชายมีโครโมโซม X เพียงตัวเดียวเท่านั้น

ในการทดสอบแพร่เชื้อไวรัสโรคซาร์สให้กับหนูทดลองจำนวนหนึ่ง ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไอโอวาของสหรัฐฯ พบว่า หนูตัวผู้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าหนูตัวเมีย แม้ได้รับเชื้อในปริมาณน้อยกว่า โดยภูมิคุ้มกันร่างกายของหนูตัวผู้ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมและกำจัดไวรัสได้ช้ากว่า ทำให้ล้มป่วยและเกิดความเสียหายที่ปอดรุนแรงกว่าหนูตัวเมียมาก

เมื่อทีมผู้วิจัยทดลองฉีดยาสกัดกั้นการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจนกับหนูตัวเมีย หรือทดลองผ่าตัดเอารังไข่ของพวกมันออก ปรากฏว่าหนูตัวเมียสามารถติดเชื้อไวรัสโรคซาร์สได้ง่ายขึ้นและมีอัตราการตายสูงขึ้น ในขณะที่การทดลองฉีดยายับยั้งฮอร์โมนเพศของหนูตัวผู้ ไม่มีผลกระทบต่อภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นแต่อย่างใด

พฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่แตกต่างกันระหว่างชายและหญิงในบางวัฒนธรรม ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ผู้ชายป่วยและเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้ง่ายกว่า ตัวอย่างเช่นประเทศจีนนั้นมีจำนวนผู้สูบบุหรี่สูงที่สุดในโลกถึง 316 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่มีเพียง 2% ของประชากรหญิงจีนทั้งหมดเท่านั้นที่มีพฤติกรรมแบบเดียวกัน

A man lowers his face mask to smoke a cigarette in Beijing on February 17, 2020Image copyrightAFP/GETTY IMAGESคำบรรยายภาพจีนมีจำนวนผู้สูบบุหรี่สูงที่สุดในโลกถึง 316 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย

นอกจากสุขภาพปอดที่ย่ำแย่แล้ว การที่ชายจีนมีภาวะความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าผู้หญิง ยังทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นหากป่วยด้วยโรคโควิด-19 อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่ความเสี่ยงเสียชีวิตในอัตราที่สูงกว่า

ศ. อะกิโกะ อิวาซากิ ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยลของสหรัฐฯ บอกด้วยว่า ผู้ชายอาจมีความประมาทและมั่นใจว่าตนเองจะปลอดภัยจากโรคร้ายมากเกินไป โดยพบหลักฐานที่ยืนยันถึงทัศนคติแบบนี้ในการวิจัยล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์จีนซึ่งชี้ว่า ผู้ชายอายุมากมีแนวโน้มจะมาเข้ารับการตรวจรักษาโรคโควิด-19 ที่โรงพยาบาลช้าเกินไป จนมักจะมีอาการอยู่ในขั้นรุนแรงแล้ว ซึ่งทำให้โอกาสรอดชีวิตลดน้อยลงอย่างมาก

แม้ขณะนี้สถานการณ์ของโรคทางเดินหายใจโควิด-19 กำลังยกระดับเข้าใกล้การแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลก แต่ดูเหมือนว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนทุกเพศทุกวัยอย่างเท่าเทียมกัน โดยนอกจากจะมีรายงานว่าเด็กมีอัตราการติดเชื้อน้อยกว่าผู้ใหญ่มากแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าผู้หญิงป่วยและเสียชีวิตจากโรคนี้ในสัดส่วนที่น้อยกว่าผู้ชายอีกด้วย

ผลการวิเคราะห์ล่าสุดจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (CDC) ของจีน ชี้ว่าแม้อัตราการติดเชื้อโรคโควิด-19 ระหว่างชายและหญิงจะไม่ต่างกันมากนัก แต่อัตราการเสียชีวิตนั้นทิ้งห่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีจำนวนคนไข้ชายที่เสียชีวิต 2.8% ในขณะที่คนไข้หญิงเสียชีวิต 1.7%

ในการระบาดของเชื้อไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจหลายครั้งที่ผ่านมา ผู้ชายมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงมากเช่นกัน ทั้งจากโรคซาร์ส (SARS) และโรคเมอร์ส (MERS) โดยวารสารการแพทย์ Annals of Internal Medicine รายงานเมื่อปี 2003 ว่าอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคซาร์สของผู้ชายในฮ่องกงสูงกว่าผู้หญิงถึง 50% เลยทีเดียว

สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ชายเป็น "เพศอ่อนแอกว่า" ในเรื่องของภูมิต้านทานโรค แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบชัดว่าเหตุใดผู้หญิงจึงแข็งแกร่งกว่าผู้ชายในแง่นี้ ทั้งยังสามารถพัฒนาภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพดีกว่า และอยู่คงทนนานปีกว่าอีกด้วย

ดร. จานีน เคลย์ตัน ผู้อำนวยการแผนกวิจัยสุขภาพสตรี สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ บอกว่า "มีบางอย่างที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้หญิงทรงพลังมากกว่า แต่บางทีสิ่งนี้ก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้ภูมิคุ้มกันตื่นตัวและทำงานมากเกินไป จน 80% ของผู้ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเองก็เป็นผู้หญิง"

มีข้อสันนิษฐานว่า ผู้หญิงมีภูมิคุ้มกันโรคสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากคุณสมบัตินี้จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับทารกแรกเกิด ซึ่งต้องรับสารแอนติบอดีต่อต้านเชื้อโรคจากน้ำนมมารดาโดยตรง ในระหว่างที่ภูมิคุ้มกันของทารกยังอ่อนแอและอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา

ผู้หญิงอาจมีภูมิคุ้มกันโรคสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากคุณสมบัตินี้จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับทารกแรกเกิดImage copyrightGETTY CREATIVE STOCKคำบรรยายภาพผู้หญิงอาจมีภูมิคุ้มกันโรคสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากคุณสมบัตินี้จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับทารกแรกเกิด

ฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง ยังมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วย ส่วนโครโมโซม X ซึ่งเพศหญิงมีอยู่ถึงสองตัว ก็มียีนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอยู่จำนวนมากเช่นกัน ในขณะที่เพศชายมีโครโมโซม X เพียงตัวเดียวเท่านั้น

ในการทดสอบแพร่เชื้อไวรัสโรคซาร์สให้กับหนูทดลองจำนวนหนึ่ง ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไอโอวาของสหรัฐฯ พบว่า หนูตัวผู้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าหนูตัวเมีย แม้ได้รับเชื้อในปริมาณน้อยกว่า โดยภูมิคุ้มกันร่างกายของหนูตัวผู้ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมและกำจัดไวรัสได้ช้ากว่า ทำให้ล้มป่วยและเกิดความเสียหายที่ปอดรุนแรงกว่าหนูตัวเมียมาก

เมื่อทีมผู้วิจัยทดลองฉีดยาสกัดกั้นการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจนกับหนูตัวเมีย หรือทดลองผ่าตัดเอารังไข่ของพวกมันออก ปรากฏว่าหนูตัวเมียสามารถติดเชื้อไวรัสโรคซาร์สได้ง่ายขึ้นและมีอัตราการตายสูงขึ้น ในขณะที่การทดลองฉีดยายับยั้งฮอร์โมนเพศของหนูตัวผู้ ไม่มีผลกระทบต่อภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นแต่อย่างใด

พฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่แตกต่างกันระหว่างชายและหญิงในบางวัฒนธรรม ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ผู้ชายป่วยและเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้ง่ายกว่า ตัวอย่างเช่นประเทศจีนนั้นมีจำนวนผู้สูบบุหรี่สูงที่สุดในโลกถึง 316 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่มีเพียง 2% ของประชากรหญิงจีนทั้งหมดเท่านั้นที่มีพฤติกรรมแบบเดียวกัน

A man lowers his face mask to smoke a cigarette in Beijing on February 17, 2020Image copyrightAFP/GETTY IMAGESคำบรรยายภาพจีนมีจำนวนผู้สูบบุหรี่สูงที่สุดในโลกถึง 316 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย

นอกจากสุขภาพปอดที่ย่ำแย่แล้ว การที่ชายจีนมีภาวะความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าผู้หญิง ยังทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นหากป่วยด้วยโรคโควิด-19 อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่ความเสี่ยงเสียชีวิตในอัตราที่สูงกว่า

ศ. อะกิโกะ อิวาซากิ ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยลของสหรัฐฯ บอกด้วยว่า ผู้ชายอาจมีความประมาทและมั่นใจว่าตนเองจะปลอดภัยจากโรคร้ายมากเกินไป โดยพบหลักฐานที่ยืนยันถึงทัศนคติแบบนี้ในการวิจัยล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์จีนซึ่งชี้ว่า ผู้ชายอายุมากมีแนวโน้มจะมาเข้ารับการตรวจรักษาโรคโควิด-19 ที่โรงพยาบาลช้าเกินไป จนมักจะมีอาการอยู่ในขั้นรุนแรงแล้ว ซึ่งทำให้โอกาสรอดชีวิตลดน้อยลงอย่างมาก

แม้ขณะนี้สถานการณ์ของโรคทางเดินหายใจโควิด-19 กำลังยกระดับเข้าใกล้การแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลก แต่ดูเหมือนว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนทุกเพศทุกวัยอย่างเท่าเทียมกัน โดยนอกจากจะมีรายงานว่าเด็กมีอัตราการติดเชื้อน้อยกว่าผู้ใหญ่มากแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าผู้หญิงป่วยและเสียชีวิตจากโรคนี้ในสัดส่วนที่น้อยกว่าผู้ชายอีกด้วย

ผลการวิเคราะห์ล่าสุดจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (CDC) ของจีน ชี้ว่าแม้อัตราการติดเชื้อโรคโควิด-19 ระหว่างชายและหญิงจะไม่ต่างกันมากนัก แต่อัตราการเสียชีวิตนั้นทิ้งห่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีจำนวนคนไข้ชายที่เสียชีวิต 2.8% ในขณะที่คนไข้หญิงเสียชีวิต 1.7%

ในการระบาดของเชื้อไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจหลายครั้งที่ผ่านมา ผู้ชายมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงมากเช่นกัน ทั้งจากโรคซาร์ส (SARS) และโรคเมอร์ส (MERS) โดยวารสารการแพทย์ Annals of Internal Medicine รายงานเมื่อปี 2003 ว่าอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคซาร์สของผู้ชายในฮ่องกงสูงกว่าผู้หญิงถึง 50% เลยทีเดียว

สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ชายเป็น "เพศอ่อนแอกว่า" ในเรื่องของภูมิต้านทานโรค แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบชัดว่าเหตุใดผู้หญิงจึงแข็งแกร่งกว่าผู้ชายในแง่นี้ ทั้งยังสามารถพัฒนาภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพดีกว่า และอยู่คงทนนานปีกว่าอีกด้วย

ดร. จานีน เคลย์ตัน ผู้อำนวยการแผนกวิจัยสุขภาพสตรี สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ บอกว่า "มีบางอย่างที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้หญิงทรงพลังมากกว่า แต่บางทีสิ่งนี้ก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้ภูมิคุ้มกันตื่นตัวและทำงานมากเกินไป จน 80% ของผู้ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเองก็เป็นผู้หญิง"

มีข้อสันนิษฐานว่า ผู้หญิงมีภูมิคุ้มกันโรคสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากคุณสมบัตินี้จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับทารกแรกเกิด ซึ่งต้องรับสารแอนติบอดีต่อต้านเชื้อโรคจากน้ำนมมารดาโดยตรง ในระหว่างที่ภูมิคุ้มกันของทารกยังอ่อนแอและอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา

ผู้หญิงอาจมีภูมิคุ้มกันโรคสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากคุณสมบัตินี้จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับทารกแรกเกิดImage copyrightGETTY CREATIVE STOCKคำบรรยายภาพผู้หญิงอาจมีภูมิคุ้มกันโรคสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากคุณสมบัตินี้จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับทารกแรกเกิด

ฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง ยังมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วย ส่วนโครโมโซม X ซึ่งเพศหญิงมีอยู่ถึงสองตัว ก็มียีนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอยู่จำนวนมากเช่นกัน ในขณะที่เพศชายมีโครโมโซม X เพียงตัวเดียวเท่านั้น

ในการทดสอบแพร่เชื้อไวรัสโรคซาร์สให้กับหนูทดลองจำนวนหนึ่ง ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไอโอวาของสหรัฐฯ พบว่า หนูตัวผู้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าหนูตัวเมีย แม้ได้รับเชื้อในปริมาณน้อยกว่า โดยภูมิคุ้มกันร่างกายของหนูตัวผู้ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมและกำจัดไวรัสได้ช้ากว่า ทำให้ล้มป่วยและเกิดความเสียหายที่ปอดรุนแรงกว่าหนูตัวเมียมาก

เมื่อทีมผู้วิจัยทดลองฉีดยาสกัดกั้นการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจนกับหนูตัวเมีย หรือทดลองผ่าตัดเอารังไข่ของพวกมันออก ปรากฏว่าหนูตัวเมียสามารถติดเชื้อไวรัสโรคซาร์สได้ง่ายขึ้นและมีอัตราการตายสูงขึ้น ในขณะที่การทดลองฉีดยายับยั้งฮอร์โมนเพศของหนูตัวผู้ ไม่มีผลกระทบต่อภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นแต่อย่างใด

พฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่แตกต่างกันระหว่างชายและหญิงในบางวัฒนธรรม ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ผู้ชายป่วยและเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้ง่ายกว่า ตัวอย่างเช่นประเทศจีนนั้นมีจำนวนผู้สูบบุหรี่สูงที่สุดในโลกถึง 316 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่มีเพียง 2% ของประชากรหญิงจีนทั้งหมดเท่านั้นที่มีพฤติกรรมแบบเดียวกัน

A man lowers his face mask to smoke a cigarette in Beijing on February 17, 2020Image copyrightAFP/GETTY IMAGESคำบรรยายภาพจีนมีจำนวนผู้สูบบุหรี่สูงที่สุดในโลกถึง 316 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย

นอกจากสุขภาพปอดที่ย่ำแย่แล้ว การที่ชายจีนมีภาวะความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าผู้หญิง ยังทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นหากป่วยด้วยโรคโควิด-19 อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่ความเสี่ยงเสียชีวิตในอัตราที่สูงกว่า

ศ. อะกิโกะ อิวาซากิ ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยลของสหรัฐฯ บอกด้วยว่า ผู้ชายอาจมีความประมาทและมั่นใจว่าตนเองจะปลอดภัยจากโรคร้ายมากเกินไป โดยพบหลักฐานที่ยืนยันถึงทัศนคติแบบนี้ในการวิจัยล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์จีนซึ่งชี้ว่า ผู้ชายอายุมากมีแนวโน้มจะมาเข้ารับการตรวจรักษาโรคโควิด-19 ที่โรงพยาบาลช้าเกินไป จนมักจะมีอาการอยู่ในขั้นรุนแรงแล้ว ซึ่งทำให้โอกาสรอดชีวิตลดน้อยลงอย่างมาก

สถานการณ์ของโรคระบาดที่มีชื่ออยู่โลกออนไลน์ตลอดทุกวัน และยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นอย่าง “ไวรัสโคโรนา” หรือ “โควิด-19” ทำให้ใครหลายคนเป็นกังวล และคอยติดตามข่าวสารกันอยู่ตลอดถึงจำนวนผู้ติดเชื้อ อัตราการเสียชีวิต รวมไปถึงการป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจากการติดเชื้ออันตรายนี้

มีเรื่องอะไรที่เราควรรู้เกี่ยวกับ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 บ้าง Sanook Health ชวนมาไล่ดูไปทีละข้อพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

ไวรัสโคโรนา หรือไควิด-19 คืออะไร?

ไวัรสโคโรนา (Coronavirus) เป็นไวรัสที่ถูกพบครั้งแรกในปี 1960 แต่ยังไม่ทราบแหล่งที่มาอย่างชัดเจนว่ามาจากที่ใด แต่เป็นไวรัสที่สามารถติดเชื้อได้ทั้งในมนุษย์และสัตว์ ปัจจุบันมีการค้นพบไวรัสสายพันธุ์นี้แล้วทั้งหมด 6 สายพันธุ์ ส่วนสายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดหนักทั่วโลกตอนนี้เป็นสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยพบมาก่อน คือ สายพันธุ์ที่ 7 จึงถูกเรียกว่าเป็น “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” และในภายหลังถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “โควิด-19” (COVID-19) นั่นเอง ดังนั้น ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และโควิด-19 จึงหมายถึงไวรัสชนิดเดียวกัน

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 มาจากไหน?

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 แรกเริ่มเดิมทีถูกค้นพบจากสัตว์ก่อน โดยเป็นสัตว์ทะเลที่มีการติดเชื้อไวรัสนี้แล้วคนที่อยู่ใกล้ คลุกคลีกับสัตว์เหล่านี้ก็ติดเชื้อไวรัสมาอีกที โดยเริ่มจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน โดยมีข้อสงสัยว่ามาจากตลาดที่ค้าขายสัตว์ทะเล และสัตว์หายากเหล่านี้

อาการเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 

ข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก ระบุว่าอาการโควิด-19 ที่สังเกตได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองมี 5 อาการหลัก ๆ ด้วยกัน ดังนี้

บางรายมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ โดย ทางด้านแพทย์อาจจะตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยการเอกซ์เรย์ปอด แล้วพบว่าปอดบวมอักเสบร่วมด้วย หากมีอาการหนักมาก ๆ (พบว่าติดเชื้อในระยะหลัง ๆ แล้ว) อาจอันตรายถึงอวัยวะภายในต่าง ๆ ล้มเหลว

อันตรายของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19

แม้ว่าอาการโดยทั่วไปจะดูเหมือนเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา แต่ที่กลัวกันทั่วโลกเป็นเพราะเชื้อไวรัสนี้เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่มียาปฏิชีวนะตัวไหนที่สามารถรักษาให้หายได้โดยตรง การรักษาเป็นไปแบบประคับประคองตามอาการเท่านั้น

นอกจากนี้ อันตรายที่ทำให้เสี่ยงถึงชีวิต จะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิต้านทานโรคของเราไม่แข็งแรง หรือเชื้อไวรัสเข้าไปทำลายการทำงานของปอดได้ จนทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายลุกลามมากขึ้น รวดเร็วขึ้น

กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19

หากมีอาการโควิด 19 ควรทำอย่างไร ?

หากสงสัยว่าตัวเองอาจติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ควรทำอย่างไร ?

หากตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีอาการของโรค หรือเพิ่งกลับจากประเทศที่เสี่ยงติดเชื้อมา สามารถขอตรวจโรคกับทางโรงพยาบาลได้ มีทั้งแบบฟรี และแบบมีค่าใช้จ่าย

**หากไม่มีอาการใด ๆ เลย ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจ

ตรวจเชื้อโควิด-19 ฟรี หากผู้เข้าตรวจตรงตามเกณฑ์เหล่านี้

สามารถเข้ารับการตรวจฟรีได้ที่โรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข

และสามารถเช็กโรงพยาบาลอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ กรมควบคุมโรค โทร 1422

ตรวจเชื้อโควิด-19 แบบมีค่าใช้จ่าย

ตัวอย่างค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลต่าง ๆ ในการตรวจร่างกาย และตรวจเชื้อโควิด-19

หมายเหตุ : ค่าใช้จ่ายอาจเปลี่ยนแปลงตามระดับความเสี่ยงของการติดเชื้อ

วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ทางกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ การดำรงอยู่ ของ เชื้อไวรัสโควิด 19 ที่มีโอกาสอยู่บนพื้นต่างๆ โดยได้อ้างอิงจาก นพ.พิเชษฐ บัญญติ แพทย์เวชศาสตร์ผ้องกัน รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า

อ่านข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโควิด 19 เพิ่มเติม

ผู้ป่วย COVID-19 จะมีอาการอย่างไร?

88% มีไข้
68% ไอแห้งๆ
38% ไม่มีเรี่ยวแรง
33% ไอแบบมีเสมหะ
18% หายใจลำบาก
14% เจ็บคอ
14% ปวดหัว
14% ปวดกล้ามเนื้อ
11% หนาวสั่น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

CORONAVIRUS LIVE UPDATES 4 hours ago

 

ไวรัสโควิด-19 เป็นไวรัสชนิดใหม่ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับตระกูลของไวรัสที่เป็นต้นเหตุของโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome – SARS) หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง รวมทั้งโรคหวัดธรรมดาบางประเภท โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19)
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19)ได้ระบาดมาถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว เชื้อนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ และทำให้มีผู้เสียชีวิต เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยมีมากเกินอัตรากำลังของแพทย์ที่จะดูแลได้ ท่านที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จะสายพันธุ์ใหม่หรือเก่าท่านต้องดูแลตัวเองในเบื้องต้น หากพบว่าอาการไม่ดี หรือเป็นนานท่านจะต้องปรึกษาแพทย์
Severe acute respiratory syndrome coronavirus (SARs-CoV-2) คือเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 
โรคที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ซึ่งพบเป็นครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน มีชื่อว่า โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19)– CO มาจากคำว่า Corona, ‘VI’ มาจาก Virus, และ ‘D’ มาจาก Disease ที่แปลว่า ‘โรค’ โดยก่อนหน้านี้เราเอ่ยถึงโรคดังกล่าวว่า ‘โรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019’ หรือ ‘2019-nCoV’ ความรุนแรงของโรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ จะมีความรุนแรงน้อยกว่า MERS และ SARS อัตราตายของ MERS อยู่ที่ 30 % ของ SARS อยู่ที่ประมาณ 10 % แต่ของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่อยู่ที่น้อยกว่า 3%โรครุนแรงน้อยกว่า ดังนั้น ผู้ที่ติดเชื้ออีกจำนวนมาก ที่อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย ไม่ได้เป็นปอดบวมทุกราย ดังนั้นผู้ป่วยจึงสามารถเดินทางไปได้ไกล และสามารถแพร่โรค ทำให้เกิดการระบาดในวงกว้าง และสามารถระบาดได้ทั่วโลก pandemic.เช่นโรคระบาดทั่วไป การกระจายของโรค จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และอำนาจในการกระจายโรค โรคที่มีความรุนแรงน้อย จะกระจายได้มากกว่า การติดเชื้อในอากาศ จะได้มากกว่าการติดเชื้อด้วยการสัมผัสฝอยละออง ปอดบวมอู่ฮั่น เป็นโรคที่ติดโดยการสัมผัสฝอยละออง

13.เมื่อเป็นโรคใหม่ ทุกคนไม่มีภูมิต้านทาน จึงมีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อได้ทุกคน ถ้าสัมผัสโรค ส่วนความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับอายุ ในเด็กความรุนแรงของโรคจะน้อยกว่า ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ หรือกล่าวได้ว่าความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นตามอายุนั้นเอง

14.ในการระบาดของโรค โรคจะหยุดเมื่อมีการติดเชื้อไปจำนวนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับอำนาจการกระจายของโรค ถ้าอำนาจการกระจายของโรค เท่ากับไข้หวัดใหญ่ หรือ 1 คนกระจายไปได้ 2 คน เมื่อมีผู้ติดเชื้อหรือมีภูมิต้านทานแล้วอย่างน้อย 50% โรคว่าจะสงบ แล้วหลังจากนั้นไวรัสนี้ ก็จะเป็นโรคประจำถิ่น endemic หรือตามฤดูกาลต่อไป (seasonal) และการติดเชื้อจะเกิดการระบาดได้เป็นหย่อมอย่าง เช่นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ระบาดมา 10 ปีแล้วโรคนี้ก็ยังไม่หยุด ยังมีการระบาดในนักเรียนอยู่เป็นระยะระยะในประเทศไทย ในปัจจุบัน ณ วันนี้ยังไม่มียาต้านไวรัสใช้รักษา และไม่มีวัคซีนในการป้องกัน การป้องกันที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย การล้างมือจะป้องกัน การติดเชื้อได้เป็นอย่างดี “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” จึงยังใช้ได้เสมอในการป้องกันโรค ที่ติดต่อทางไปฝอยละออง การเดินสวนกันไปมา ไม่ทำให้เกิดการติดโรคนี้ แต่การอยู่ในระยะใกล้ ในการพูดคุยหรือมีการในจาม และมีฝอยละอองกระเด็นมาถูกบริเวณใบหน้า จะทำให้เกิดการติดโรคนี้ได้ การสัมผัสจะต้องหมั่นล้างมือ ผู้ที่ไม่สบายเป็นโรคทางเดินหายใจทุกราย ควรใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค สำหรับคนปกติ ถ้าต้องการป้องกันโรค การใช้หน้ากากอนามัยชนิด N95 จะต้องใช้ให้ถูกวิธี ในคนปกติ ถ้าใช้ถูกวิธีค่อนข้างจะอึดอัดมาก บุคลากรทางการแพทย์มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องใช้ รวมทั้งชุดในการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดโรค ในภาวะปกติที่โรคยังไม่ระบาด ควรดำเนินชีวิตแบบปกติ รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกาย ให้สม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ใครมีโรคประจำตัวก็หมั่นดูแลรักษา ขณะนี้มีข่าวออกมาในสื่อสังคมมากมาย มีทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง การเสพสื่อ จะต้องวิเคราะห์สังเคราะห์ ก่อนที่จะส่งต่อออกไป การตื่นตระหนก ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น การรับสถานการณ์ควรรับแบบมีสติ และรอบคอบ ใช้องค์ความรู้ต่างๆที่เกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา เข้ามาประกอบการ


เชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายได้อย่างไร

เชื้อไวรัสถ่ายทอดผ่านการสัมผัสโดยตรงกับฝอยละออง (Droplet) จากลมหายใจของผู้ติดเชื้อ (ที่เกิดจากการไอและจาม) การสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน ไวรัส COVID-19 อาจอยู่รอดบนพื้นผิวเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่ก็ถูกทำลายได้ด้วยสารฆ่าเชื้อทั่วไป

จะเห็นได้ว่าการติดเชื้อส่วนใหญ่มาจากคนป่วย สำหรับคนที่ได้รับเชื้อแต่ไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อได้แต่น้อยกว่าผู้ที่มีอาการ

พื้นที่แบบไหนเสี่ยงต่อการระบาด

หากเราติดตามข่าวจะพบว่าเกิดการระบาดในชุมชนใหญ่คือโบสถ์ในเกาหลีใต้ สนามมวย และสถานบันเทิงในไทย การประกอบกิจทางศาสนาในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย นอกจากนั้นติดประปรายในรถตู้ และเครื่องบิน เมื่อพิจารณาแล้วการระบาดในชุมชนจะมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ การที่คนอยู่รวมกลุ่มกัน อยู่ในสถานที่ปิดไม่มีการถ่ายเทของอากาศ ไม่มีการป้องกันการติดเชื้อส่วนบุคคล สถานที่ดังกล่าวไม่มีมาตรการป้องกันการระบาด ตัวอย่างสถานที่ที่เราควรหลีกเลี่ยงในช่วงระบาดได้แก่

โรคไวรัสโคโรน่ามีอาการอย่างไร

ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ระบุว่า อาการของผู้ป่วย โควิด-19 ส่วนใหญจะเกิดหลังจากได้รับเชื้อ 2-14 วันโดยอาการเริ่มแรกส่วนใหญ่จะเริ่มจากมีไข้ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจหอบเหนื่อย ถ่ายเหลวท้องเสีย หากผู้ป่วยมีร่างกายไม่แข็งแรงหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ จะทำให้มีความรุนแรงถึงขั้นวิกฤตและเสียชีวิตได้ อาการที่สำคัญได้แก่

การยืนยันผลการวินิจฉัย จำเป็นต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจหาพันธุกรรมของไวรัส

เชื้อโควิด19จะมีอานานแค่ไหน

นักวิจัยสังเกตความสามารถทำให้ติดเชื้อของ SARS-CoV-2 ตามพื้นผิวต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป

ทว่างานวิจัยนี้ยังมีความผันแปรมาก และต้องตีความอย่างรัดกุม งานวิจัยนี้เผยแพร่ลงวารสารวิชาการ New England Journal of Medicine ฉบับวันอังคารที่ 17 มี.ค.2020

กลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน

กลุ่มคนเหล่านี้เมื่อติดเชื้อโควิด19 จะมีอาการรุนแรงกลุ่มเหล่านี้ได้แก่ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เนื่องจาก

เมื่อเกิดการระบาดของโรคในชุมชนซึ่งจะใช้เวลาหลายเดือนกว่าโรคจะสงบ ดังนั้นกลุ่มคนเหล่านี้จะต้องป้องกันตนเองมิให้ติดเชื้อนี้ดังต่อไปนี้

เฝ้ามองสัญญาณเตือนอาการที่แสดงว่าป่วยมาก

หากเกิดอาการดังกล่าวให้แจ้งแพทย์

อุปกรณ์หรือสถานที่สำหรับการดูแลผู้ป่วย

 

WHO’s standard recommendations for the general public to reduce exposure to and transmission of a range of illnesses are as follows, which include hand and respiratory hygiene, and safe food practices:

WHO technical guidance on surveillance and case definitions, laboratory guidance, clinical management for suspected novel coronavirus, home care for patients with suspected novel coronavirus, infection prevention and control, risk communications, disease commodity package, and reducing transmission from animals to humans is available on the WHO website.

 

เชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่สองสายพันธ์คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B เป็นสายพันธุ์ที่พบได้ทั่วโลก แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักจะรุนแรงมากกว่า เพราะมีโอกาสระบาดใหญ่ทั่วโลกอย่าง เช่นไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ 2009 อันที่จริงแล้ว ไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งปี แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ครั้งนี้เป็นไข้หวัดตามฤดูกาล โดยส่วนมากจะระบาดในช่วงฤดูหนาว เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะเจริญเติบโตได้ดีในอากาศเย็น ซึ่งพบมากที่สุดช่วงเดือนธันวาคมและมกราคม และฤดูฝน คือ ช่วงเดือนสิงหาคม อาการของไข้หวัดใหญ่จะเป็นแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงมากถึง 40 องศาเซลเซียส ปวดเมื่อยตามตัว คัดจมูก มีน้ำมูก เจ็บคอและไอ หากมีภาวะแทรกซ้อนก็จะเกิดภาวะปอดอักเสบได้ ระยะเวลาป่วยประมาณ 6-7 วัน ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B สามารถพบได้ทุกช่วงวัย แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยง ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือ ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่มีดัชนีมวลกายเยอะหรือโรคอ้วน หากเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็มีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงกว่าปกติ

นอกจากเชื้อไข้หวัดสายพันธ์ A และ B ก็ยังมีการติดเชื้อ โคโรน่าไวรัส และเกิดระบาดถึงสองครั้งได้แก่ ไข้หวัดมรณะหรือ SARS และไข้หวัด MERSประเทศจีนได้รายงานการระบาดของไข้หวัดโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 nCoV ที่เมื่อง อู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย และมีหลักฐานว่าติดต่อจากคนสู่คน และระบาดไปยังหลายเมืองของจีน นอกจากนั้นก็ยังพบผู้ป่วยคนจีนที่เดินทางไปยังหลายประเทศ โดยมีอาการสำคัญคือ ไข้ น้ำมูกไหล ไอ หากรุนแรงจะมีอาการปอดบวม ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบวิธีการแพร่เชื้อ


โคโรน่าไวรัสเป็นไวรัสขนาดใหญ่ และ เป็นกลุ่มใหญ่ ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน คล้ายมงกุฎ จึงเรียกว่าโคโรนาไวรัส พบได้ทั้งใน คน และ สัตว์ จำนวนมาก โคโรน่าไวรัสโดยปกติไม่ค่อยทำให้เกิดโรคในคน แต่ก็อาจจะเกิดระบาดได้ ที่เกิดโรคในคน แต่เดิมมี 6 ชนิด เป็นสายพันธุ์ที่พบดั้งเดิม ทำให้เกิดโรคหวัด และทางเดินหายใจอยู่เป็นประจำถิ่น แล้ว มี 4 ชนิด และอุบัติใหม่ ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ แบบเฉียบพลันคือ SARS-Cov โคโรน่าไวรัส และ MERS-CoV ซึ่งเป็นโรคที่ค่อนข้างรุนแรง มีอัตราการเสียชีวิตสูง 10 และ 30 % ตามลำดับ จุดกำเนิดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ปอดบวมอู่ฮั่น ผู้ป่วยกลุ่มแรกที่พบ ส่วนใหญ่มีแหล่งสัมผัส จากตลาดสดที่มีการขายอาหารทะเล และสัตว์สิ่งมีชีวิต โคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่เช่นเดียวกันกับ ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ มีได้ทั้งแบบไม่มีอาการ มีอาการทางเดินหายใจอักเสบแบบเฉียบพลัน จนถึงปอดบวมและโรคแทรกซ้อนระยะฟักตัวของโรค โดยทั่วไปโคโรน่าไวรัส จะมีระยะฟักตัวประมาณ 2 ถึง 7 วัน ในทางปฏิบัติการเฝ้าสังเกตอาการหลังสัมผัสโรค หรือมาจากแหล่งระบาดของโรค เราจึงใช้ 2 เท่า คือ 14 วัน


อาการของไข้หวัดสายพันธ์ใหม่

 

Symptoms of the new coronavirus include fever, cough and difficulty breathing. These symptoms are similar to those caused by SARS, according to a recent study published in the journal The Lancet.

Despite sharing some symptoms that were similar to SARS, there "are some important differences," such as the absence of upper respiratory tract symptoms like runny nose, sneezing and sore throat and intestinal symptoms like diarrhea, which affected 20% to 25% of SARS patients, lead author Bin Cao, from the China-Japan Friendship Hospital and the Capital Medical University, both in Beijing, said in a statement. 

 


 

How many people have the new virus?

A representation of a doctor looking for symptoms of the new Wuhan coronovirus in a patient.

(Image credit: Shutterstock)

As of Jan. 25, there are nearly 1,300 confirmed cases and 41 deaths linked to the 2019-nCoV virus in China, according to The New York Times. On Jan. 24, the second person in the United States (a woman in Chicago) was confirmed to have the virus; the first case was confirmed in a man in Washington state. Both individuals had recently returned from Wuhan. 

How far has the virus spread?

Map that depicts the spread of the new coronavirus.

(Image credit: CDC)

The first cases of the pneumonia-like virus were reported in Wuhan, China on Dec. 31, 2019. Since then, the virus has spread to various other countries, including Thailand, Japan, the Republic of Korea, the United States, Australia, France, among others. 

The first U.S. case was confirmed on Jan. 21 in a man in Washington state who had recently traveled to Wuhan. On Jan. 24, officials confirmed a second case in a woman from Chicago who had also recently traveled to the Chinese city. Both cases were hospitalized, but doing well, officials said.

The CDC is also investigating more than 60 people in 22 states for a possible infection with the new virus, officials said Friday (Jan. 24). Eleven of those people have so far tested negative for the virus.

Where did the virus come from?

A new study suggests snakes may be the source of the new coronavirus causing an outbreak in China. Above, an image of Naja atra, a type of snake common in Southeastern China.

(Image credit: Shutterstock)

Since the virus first popped up in Wuhan in people who had visited a local seafood and animal market, officials could only say it likely hopped from an animal to humans. In a new study, however, researchers sequenced the genes of 2019-nCoV (as the virus is now called), and then they compared it with the genetic sequences of more than 200 coronaviruses that infect various animals around the world. Their results, detailed in the Journal of Medical Virology, suggested that 2019-nCoV likely originated in snakes

As for what kind of snake, the scientists noted there are two snakes that are common to southeastern China where the outbreak originated: the many-banded krait (Bungarus multicinctus) and the Chinese cobra (Naja atra).

However, some experts have criticized the study, saying it's unclear if coronaviruses can indeed infect snakes. 

How did the virus hop from animals to humans?

Advertisement

A woman walks in front of a closed seafood market in Wuhan, China. Officials believe the market is linked with an outbreak of pneumonia caused by a new virus.

A woman walks in front of a closed seafood market in Wuhan, China. Officials believe the market is linked with an outbreak of pneumonia caused by a new virus.  (Image credit: NOEL CELIS/AFP via Getty Images)

Some viruses are known to become capable of transmitting to humans, and this coronavirus is one of those. But how? The study published in the Journal of Medical Virology, revealing the likely snake host, also found that a change to one of the viral proteins in 2019-nCoV allows the virus to recognize and bind to receptors on certain host cells. This ability is a critical step to entering cells, and the researchers said that the change in this particular protein may have helped the virus hop to humans.

Can the virus spread between people?

coronavirus diagram, showing the virus infecting lungs.

(Image credit: Shutterstock)

Yes, in limited cases, according to the CDC, but the primary mode of transmission seems to be from animal to human. In terms of how one would catch the virus, the CDC says that human coronaviruses are most commonly spread between an infected person and others via: 

—the air (from viral particles from a cough or sneeze); 

—close personal contact (touching or shaking hands); 

—an object or surface with viral particles on it (then touching your mouth, nose or eyes before washing your hands);

 —and rarely from fecal contamination.

How would this virus cause a pandemic?

Woman sneezing at an airport, virus spread.

(Image credit: Shutterstock)

In order for this virus, or any, to lead to a pandemic in humans, it needs to do three things: efficiently infect humans, replicate in humans and then spread easily among humans, Live Science previously reported. Right now, the CDC is saying this virus passes between humans in a limited manner, but they are still investigating.

How does the virus compare to SARS and MERS?

A highly magnified picture of the Middle East Respiratory Syndrome Coronavirus (MERS-CoV).

(Image credit: CDC/Cynthia Goldsmith, Azaibi Tamin)

MERS and SARS have both been known to cause severe symptoms in people. It's unclear how the new coronavirus will compare in severity, as it has caused severe symptoms and death in some patients while causing only mild illness in others, according to the CDC. All three of the coronaviruses can be transmitted between humans through close contact. 

Advertisement

MERS, which was transmitted from touching infected camels or consuming their meat or milk, was first reported in 2012 in Saudi Arabia and has mostly been contained in the Arabian Peninsula, according to NPR. SARS was first reported in 2002 in southern China (no new cases have been reported since 2004) and is thought to have spread from bats that infected civets. The new coronavirus was likely transmitted from touching or eating an infected animal in Wuhan. 

During the SARS outbreak, the virus killed about 1 in 10 people who were infected. The death rate from 2019-nCoV isn't yet known, although most of the patients who have died from the infection have been older than 60 and have had preexisting conditions. However, more recently, a young healthy man died in Wuhan, raising concern that the virus might be more dangerous than thought, according to The Washington Post.

 

There are no specific treatments for coronavirus infections and most people will recover on their own, according to the CDC. So treatment involves rest and medication to relieve symptoms. A humidifier or hot shower can help to relieve a sore throat and cough. If you are mildly sick, you should drink a lot of fluids and rest but if you are worried about your symptoms, you should see a healthcare provider, they wrote. (This is advice for all coronaviruses, not specifically aimed toward the new virus).

There is no vaccine for the new coronavirus but researchers at the U.S. National Institutes of Health confirmed they were in preliminary stages of developing one. In addition, the drug company Regeneron announced that it is in the early stages of developing a treatment for this virus, according to NBC News

What is being done to stop the spread of the coronavirus?

Advertisement

Health officers screen arriving passengers from China with thermal scanners at Changi International airport in Singapore on Jan. 22, 2020, as authorities increased measures against the spread of the newfound coronavirus.

Health officers screen arriving passengers from China with thermal scanners at Changi International airport in Singapore on Jan. 22, 2020, as authorities increased measures against the spread of the newfound coronavirus. (Image credit: ROSLAN RAHMAN/AFP via Getty Images)

The Chinese government has stopped most of the travel to and from Wuhan as well as 12 other nearby cities, according to The New York Times. This "lockdown" affects about 35 million people, the Times reported.

Major airports in the U.S. are conducting screenings to make sure incoming passengers aren't infected. However, U.S. officials said on Friday (Jan. 24) that they are currently reevaluating the effectiveness of this screening. 

The CDC also recommends avoiding nonessential travel to Wuhan. On Jan. 23, the U.S. State Department ordered all non-emergency U.S. personnel and family to leave Wuhan, the department said in a statement.

What do we expect in the coming days?

Advertisement

A handshake.

(Image credit: Shutterstock)

Looking at what happened with MERS and SARS, it's likely that some spread of the virus from close contact between humans will continue to occur, according to CDC. More cases — possibly including some in the U.S. — will likely be identified in the coming days.

How can people protect themselves and others?

A woman wearing a face mask on a flight.

(Image credit: Shutterstock)

If traveling to Wuhan, you should avoid contact with sick people, avoid dead or alive animals, animal markets or products that come from animals such as uncooked meat, according to the CDC. You should often wash hands with soap and water for at least 20 seconds, they wrote. If you are infected by the virus you can take steps to help avoid transmitting it to others such as isolating yourself at home, separating yourself from other people in the house, wearing a face mask, covering your coughs and sneezes and washing your hands, according to the CDC

People who traveled to Wuhan and became sick with fever, cough or difficulty breathing within the following two weeks should seek medical care right away, and call ahead to inform medical staff about their recent travel.

Rachael Rettner contributed reporting.


In early 2020, a new virus began generating headlines all over the world because of the unprecedented speed of its transmission.

From its origins in a food market in Wuhan, China, in December 2019 to countries as far-flung as the United States and the Philippines, the virus (officially named SARS-CoV-2) has affected hundreds of thousands, with a rising death toll now over 17,000.

The disease caused by an infection with SARS-CoV-2 is called COVID-19, which stands for coronavirus disease 2019.

In spite of the global panic in the news about this virus, you’re unlikely to contract SARS-CoV-2 unless you’ve been in contact with someone who has a SARS-CoV-2 infection.

Let’s bust some myths. Read on to learn how this 2019 coronavirus is spread, how it’s similar and different from other coronaviruses, and how to prevent spreading it to others if you suspect you’ve contracted this virus.

HEALTHLINE’S CORONAVIRUS COVERAGE

Stay informed with our live updates about the current COVID-19 outbreak. Also, visit our coronavirus hub for more information on how to prepare, advice on prevention and treatment, and expert recommendations.

Doctors are learning new things about this virus every day. So far, we know that COVID-19 may not initially cause any symptoms for some people.

You may carry the virus for 2 days or up to 2 weeksTrusted Source  before you notice symptoms.

Some common symptoms that have been specifically linked to COVID-19 include:

These symptoms may become more severe in some people. Call emergency medical services if you or someone you care for have any of the following symptoms:

The full list of symptoms is still being investigated.

COVID-19 versus the flu

We are still learning about whether the 2019 coronavirus is more or less deadly than the seasonal flu.

This is difficult to determine because the number of total cases (including mild cases in people who don’t seek treatment or get tested) is unknown. However, early evidence suggests that this coronavirus causes more deaths than the seasonal flu.

An estimated 0.06 to 0.1 percentTrusted Source  of people who developed the flu during the 2019-2020 flu season in the United Stated died (as of March 14, 2020). This is compared to 1.2 percent of those with a confirmed case of COVID-19 in the United States, according to the Centers for Disease Control and Prevention (CDC)Trusted Source .

Here are some common symptoms of the flu:

CORONAVIRUS UPDATES
Stay on top of the COVID-19 outbreak

We'll email you once a day as our news team publishes new and updated information about the novel coronavirus, including case counts and treatment information.

Enter your email

Your privacy is important to us

Coronaviruses are zoonotic. This means they first develop in animals before developing in humans.

For the virus to pass from animal to humans, a person has to come into close contact with an animal that carries the infection.

Once the virus develops in people, coronaviruses can be spread from person to person through respiratory droplets. This is a technical name for the wet stuff that moves through the air when you cough or sneeze.

The viral material hangs out in these droplets and can be breathed into the respiratory tract (your windpipe and lungs), where the virus can then lead to an infection.

The 2019 coronavirus hasn’t been definitively linked to a specific animal.

Researchers believe that the virus may have been passed from bats to another animal — either snakes or pangolins — and then transmitted to humans. This transmission likely occurred in the open food market in Wuhan, China.

You’re at high risk for contracting SARS-CoV-2 if you come into contact with someone who’s carrying it, especially if you’ve been exposed to their saliva or been near them when they’ve coughed or sneezed.

Without taking proper prevention measures, you’re also at high risk if you:

HANDWASHING IS KEY

Washing your hands and disinfecting surfaces can help decrease your risk for catching this and other viruses.

Older people and people with certain health conditions have a higher risk for severe complications if they contract the virus. These health conditions include:

Pregnant women have a higher risk of complicationsTrusted Source  from other viral infections, but it’s not yet known if this is the case for the 2019 coronavirus.

COVID-19 can be diagnosed similarly to other conditions caused by viral infections: using a blood, saliva, or tissue sample. However, most tests use a cotton swab to retrieve a sample from the inside of your nostrils.

Tests are conducted by the CDC, some state health departments, and some commercial companies. See your state’s health department websiteTrusted Source  to find out where testing is offered near you.

Talk to your doctor right away if you think you have COVID-19 or you notice symptoms. Your doctor will advise you on whether you should stay home and monitor your symptoms, come in to the doctor’s office to be evaluated, or go to the hospital for more urgent care.

There’s currently no treatment specifically approved for COVID-19, and no cure for an infection, although treatments and vaccines are currently under study. Instead, treatment focuses on managing symptoms as the virus runs its course.

Seek immediate medical help if you think you have COVID-19. Your doctor will recommend treatment for any symptoms or complications that develop.

Other coronaviruses like SARS and MERS are also treated by managing symptoms. In some cases, experimental treatments are tested to see how effective they are. Examples of therapies used for these illnesses include:

The most serious complication of a SARS-CoV-2 infection is a type of pneumonia that’s been called 2019 novel coronavirus-infected pneumonia (NCIP).

Results from a 2020 studyTrusted Source  of 138 people admitted into hospitals in Wuhan, China, with NCIP found that 26 percent of those admitted had severe cases and needed to be treated in the intensive care unit (ICU).

About 4.3 percent of these people who were admitted to the ICU died from this type of pneumonia. It should be noted that people who were admitted to the ICU were on average older and had more underlying health conditions than people who didn’t go to the ICU.

So far, NCIP is the only complication specifically linked to the 2019 coronavirus. Researchers have seen the following complications in people who have developed COVID-19:

The best way to prevent the spread of infection is to avoid or limit contact with people who are showing symptoms of COVID-19 or any respiratory infection.

The next best thing you can do is practice good hygiene and social distancing to prevent bacteria and viruses from spreading.

Prevention tips

A coronavirus gets its name from the way it looks under a microscope.

The word corona means “crown,” and when examined closely, the round virus has a “crown” of proteins called peplomers jutting out from its center in every direction. These proteins help the virus identify whether it can infect its host.

The condition known as severe acute respiratory syndrome (SARS) was also linked to a highly infectious coronavirus back in the early 2000s. The SARS virus has since been contained.

COVID-19 vs. SARS

This isn’t the first time a coronavirus has made news — the 2003 SARS outbreak was also caused by a coronavirus.

As with the 2019 virus, the SARS virus was first found in animals before it spread to humans.

The SARS virus is thought toTrusted Source  have come from bats and then transferred to another animal, and then to humans.

Once transmitted to humans, the SARS virus began spreading quickly among people.

What makes the novel coronavirus so newsworthy is that a treatment or cure hasn’t yet been developed to help prevent its rapid spread from person to person. SARS has been successfully contained.

First and foremost, don’t panic. You don’t need to wear a mask or be quarantined unless you suspect you have contracted the virus or have a confirmed test result.

Following simple handwashing and social distancing guidelines may help protect you from being exposed to the virus.

The 2019 coronavirus probably seems scary when you read the news about new deaths, quarantines, and travel bans.

Stay calm and follow your doctor’s instructions if you’re diagnosed with COVID-19 so you can recover and help prevent it from spreading.

HEALTHLINE RESOURCES
Do you have symptoms of COVID-19? Your options for care

Call your primary care provider and discuss symptoms before visiting a healthcare facility, or click below to find a local provider. If this is an emergency, call 911, and tell the operator you have COVID-19.

 23 sourcescollapsed

FEEDBACK:
Medically reviewed by Lindsay Slowiczek, PharmD on March 25, 2020 New — Written by Tim Jewell