jrprint

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน

adv

 

ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สามารถแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ต้องผ่านเกณฑ์การพิจารณาต่อไปนี้

โดย วรรษชล คัวดรี้
20.04.2021
ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สามารถแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ต้องผ่านเกณฑ์การพิจารณาต่อไปนี้

ตลอดเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา ประเทศไทยยังคงมีการพบตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในขณะนี้นอกเหนือจากประเด็นเรื่องวัคซีนป้องกัน เรื่องของความสามารถในการรองรับผู้ป่วยของโรงพยาบาลเองก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ ที่เราเชื่อว่าทุกคนคอยติดตามความคืบหน้าและวิธีการพิจารณาแก้ปัญหาอยู่ตลอด 

 

จากความสามารถในการแพร่ระบาดเชื้อที่รวดเร็ว ผู้ที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ควรได้รับการจัดแยกเพื่อดูแลรักษา และเพื่อเป็นการควบคุมการระบาดของโรค ทางรัฐได้จัดสถานที่ ได้แก่ โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) เพื่อรองรับ ซึ่งด้วยตัวเลขที่สูงขึ้นและระยะเวลาที่ต้องกักตัวผู้ป่วยเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันนั้น ทำให้สถานที่อาจจะไม่เพียงพอ ทำให้หากยกกรณีของต่างประเทศขึ้นมาเป็นแนวทาง การพิจารณาแยกตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการจึงเป็นทางเลือกหนึ่ง 

 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2564 กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศว่าด้วย ‘แนวทางการพิจารณาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เหมาะสมกับการแยกตัวที่บ้าน (Home Isolation)’ โดยมีสาระสำคัญคือ โรงพยาบาลอาจพิจารณาให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใช้ที่พักอาศัยเป็นสถานที่แยกตัวได้ แต่ต้องผ่านเกณฑ์ต่างๆ ที่ทั้งผู้ป่วย และโรงพยาบาลต้องพิจารณาดังต่อไปนี้ 

 

 

เกณฑ์การพิจารณาผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อการแยกตัว 

และ 7. ยินยอมแยกตัวในที่พักของตนเอง

 

การดำเนินการของโรงพยาบาล 

ตารางแสดงรายการตรวจสอบ สำหรับพิจารณาผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อการแยกตัวที่บ้าน (Home Isolation)

 

เพื่อให้เข้าใจแนวทาง จากตารางด้านขวามือได้แบ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาออกเป็น 3 ส่วน ผู้ป่วยและโรงพยาบาลต้องตอบใช่ทุกข้อถึงจะได้รับการพิจารณาให้แยกตัวที่บ้านได้ หากมีข้อใดข้อหนึ่งที่ไม่ครบเกณฑ์ ให้ทางโรงพยาบาลพิจารณารักษาในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนาม 

 

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

 

สำหรับการแยกกักตัวที่บ้าน หรือแยกตัวรักษาโรคโควิด-19 เป็นแนวทางที่มีการใช้กันในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อังกฤษ และอีกหลายประเทศในยุโรป เนื่องจากจำนวนเตียงใน รพ.ที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก ๆ ได้ทั้งหมด

ในขณะนี้ผู้ป่วยที่มีอาการเบา หรือไม่มีอาการนั้น มีความแข็งแรงเพียงพอที่จะสามารถพักอาศัย โดยการแยกรักษาตัวที่บ้านได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เตียงโรงพยาบาล เพื่อให้เตียงในโรงพยาบาลว่าง สำหรับรองรับผู้ป่วยที่มีอาการมากกว่า หรือจำเป็นมากกว่า นั่นเอง

ข้อดีของ Home Isolation :

ข้อเสียของ Home Isolation :

ข้อแนะนำ : ในการระบาดในระลอกใหม่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา แนวโน้มของผู้ป่วยโควิด-19 พบปริมาณเชื้อค่อนข้างสูง (ค่า CT ต่ำ) ซึ่งทำให้เชื้อแพร่กระจายได้มาก รวมถึงในขณะเดียวกันส่งผลให้เชื้อลงปอดได้ง่ายขึ้น การทำ Home Isolation จึงจำเป็นจะต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง


เกณฑ์ในการพิจารณาผู้ป่วยแยกตัวของไทย

แนวทางที่สาธารณสุขได้มีการพิจารณาไว้ ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ในรายละเอียดไว้คือ จะมีการประเมินความพร้อมของตัวผู้ป่วยเอง ได้แก่

ซึ่งจะมีการพิจารณาความพร้อมของสถานที่ ความเป็นอยู่อาศัยในการแยกตัว ของผู้ป่วยด้วยว่ามีความพร้อมหรือไม่ ในส่วนของ

หากมีความพร้อมทั้งในแง่ของทางร่างกาย และสถานที่แล้ว ก็จะมีการดำเนินการให้ผู้ป่วยสามารถทำการแยกตัวรักษาอยู่ที่บ้าน หรือ Home Isolation ได้ โดยจะมีการดำเนินในขั้นตอนของโรงพยาบาล เพื่อเข้าสู่กระบวนการแยกตัว หรือ Home Isolation โดยจะมีขั้นตอนคือ

ลักษณะที่พักอาศัยที่เหมาะสม

สำหรับผู้ป่วยที่ต้องดูแล-สังเกตอาการตนเอง

….

ข้อควรปฏิบัติของผู้ป่วยที่ทำ Home Isolation

แนวทางในการแยกกักของต่างประเทศ

สหรัฐฯ จะมีการแยกกักผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการเบา หรือไม่มีอาการแต่ตรวจพบเชื้อ โดยมี

ซึ่งในแนวทางการแยกกักตัวในต่างประเทศก็จะคล้ายในแนวทางเดียวกันคือ เน้นให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียว ไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน เลี่ยงการสัมผัสสัตว์เลี้ยง หรือการปฏิสัมพันธ์กัน จำกัดการติดต่อโดยตรงระหว่างกัน

ปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อมีผู้ป่วยเข้าแยกกักอยู่ในบ้าน

สำหรับในการแยกกักในบ้านเดียวกัน โดยมีผู้ที่ไม่ป่วย หรือ ผู้ดูแลอาศัยอยู่ด้วยกันนั้น จำเป็นจะต้องมีมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้ผู้ดูแลหรือ ผู้ที่อยู่ร่วมกันติดเชื้อไปด้วย โดยคำแนะนำของ CDC สหรัฐฯ หรือ NHS ของสหราชอาณาจักร ได้ระบุถึงมาตรการเหล่านี้ไว้คือ ให้ผู้ดูแล หรือผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมบ้านเดียวกับผู้ป่วยที่แยกกัก ให้มีช่วยเหลือ ดูแลผู้ป่วยตามเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป ที่ได้แนะนำไว้ เช่น ดูแลเรื่องของยา อาหาร น้ำดื่ม ต่าง ๆ หากมีพื้นที่ที่ใช้ร่วมกันควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก มีการทำความสะอาด กำจัดฝุ่นละออง

เลี่ยงการรวมตัวกัน รวมถึงการงดเยี่ยม จากผู้อื่น ที่จะแวะเดินทางมายังที่พักที่มีการกักตัวผู้ป่วยด้วย หากมีพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้ร่วมกัน ครวรมีการทำความสะอาดอย่างเข้มงวดในพื้นที่เหล่านั้น แยกห้องน้ำ ของใช้ต่าง ๆ เท่าที่จำเป็นออกมาจากผู้ป่วย-ผู้ที่ไม่ป่วย และใส่หน้ากากอนามัยอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ให้เตรียมพร้อมเบอร์โทรฉุกเฉินไว้ใกล้ตัว ทันทีที่ผู้ป่วยมีอาการ คือ

ให้รีบโทรไปแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที

เตรียมความพร้อมด้านสุขภาพจิต

สำหรับการเข้ารับการกักตัว หรือการแยกตัวรักษาอยู่บ้านนั้น จะใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน ทำให้โอกาสที่จะเกิดปัญหาเรื่องของความไม่สบายใจ อาการหงุดหงิด หรือเหงาเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะหากไม่มีพื้นที่ให้สามารถผ่อนคลาย หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้

ดังนั้นสิ่งที่สามารถทำได้สำหรับผู้เข้ารับการแยกตัวรักษาโควิด-19 คือ

กรณีที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องให้นมบุตร

ในหลายประเทศมีการพบผู้ป่วยที่มีบุตรซึ่งจำเป็นต้องให้นมแม่ แม้ว่าไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลยืนยันว่า เชื้อโควิด-19 จะติดต่อกันทางน้ำนม แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงจากการสัมผัสใกล้ชิดอยู่ด้วยกัน หรือผ่านทางอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีการสัมผัสร่วมกัน จึงควรปรึกษาแพทย์ และเลี่ยง หรือฆ่าเชื้อต่าง ๆ ให้มั่นใจก่อนที่จะมีการใช้ขวดนม เครื่องปั้มนม และส่งให้กับบุคคลอื่น

เช้าวันนี้ (9 เมษายน) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ในประเทศไทยเพิ่มอีก 559 ราย แสดงให้เห็นว่ายังคงมีการระบาดอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ ขณะนี้โรงพยาบาลต้องรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก บางโรงพยาบาลมีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับรับรองผู้ป่วยติดเชื้อได้ทุกคน ทำให้มีผู้ป่วยที่ตรวจพบว่าติดเชื้อต้องกลับเข้ารักษาตัวที่บ้าน ซึ่งหลายคนอาจจะยังสงสัยว่าทำได้หรือไม่ และมีหลักการ วิธีการปฏิบัติอย่างไรบ้าง จึงจะไม่เป็นอันตรายต่อครอบครัว 

 

THE STANDARD ปรึกษา นพ.ชนาธิป ไชยเหล็ก ชวนคุณหมอตอบทุกข้อสงสัย เกี่ยวกับ ‘Home Isolation’ เพื่อให้ผู้ที่ติดเชื้อและผู้ใกล้ชิดรักษาตัวที่บ้านได้อย่างถูกวิธี

 

สำหรับผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 สามารถกลับไปรักษาที่บ้านได้หรือไม่ 

คำตอบคือได้ ในกรณีนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมีจุดประสงค์เพื่อรักษาคนไข้ตามอาการ รวมถึงโรคแทรกซ้อน และเพื่อควบคุมโรคเพื่อไม่ให้แพร่ระบาดต่อไปยังผู้ใกล้ชิด

 

ทั้งนี้ เราแบ่งคนไข้ตามที่แพทย์ประเมินออกได้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

 

 

เฉพาะ กลุ่ม A เท่านั้นที่แพทย์สามารถอนุญาตให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน หรือเรียกว่า Home Isolation ได้ เพื่อสังเกตอาการและควบคุมเพื่อไม่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค 

 

Home Isolation และ Self-Quarantine 

ผู้ติดเชื้อจะต้องแยกตัวเองจากผู้อื่นเป็นเวลา 10 วัน – จากรายงานการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบว่า เชื้อที่อยู่ในตัวผู้ติดเชื้อมีความสามารถในการแพร่สู่ผู้อื่นภายในระยะเวลา 10 วัน เท่ากับว่าหลัง 10 วันเชื้อจะหมดความสามารถในการแพร่ แต่ยังสามารถอยู่ในตัวผู้ติดเชื้อได้ ซึ่งคำแนะนำคือให้ดูอาการและป้องกันโรคแทรกซ้อนต่อไป ในขณะที่ Self-Quarantine คือวิธีปฏิบัติสำหรับผู้ที่สัมผัสผู้ติดเชื้อ ให้ตรวจดูอาการ 14 วัน ตามระยะเวลาของการเกิดการติดเชื้อ 

 

กฎหลักสำหรับ Home Isolation

ไม่ว่าคุณจะอยู่บ้านคนเดียว อยู่กับครอบครัว หรืออยู่คอนโด กฎเหล็ก 3 ข้อที่ยังคงต้องปฏิบัติเหมือนเดิมคือ ‘สวมใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือให้สะอาด และเว้นระยะห่าง’ หลังจากนั้นออกแบบพื้นที่ตามไลฟ์สไตล์ ดังนี้ 

 

 

 

 

ผู้ป่วยโควิด-19 สามารถรักษาตัวที่บ้านได้ หากรู้จักวิธี Home Isolation อย่างถูกต้อง

 

 

สำหรับใช้กับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค หรือผู้ป่วยเข้าข่ายหรือผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการไม่รุนแรงและ มีลักษณะดังต่อไปนี้
1. ไม่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
2. ที่พักอาศัยนั้นต้องมีลักษณะสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมมีอากาศที่ถ่ายเทดี สามารถแยกห้องนอนห้องน้ำของผู้ป่วยและสมาชิกในบ้านได้ มีอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อทั้งของผู้ป่วยและผู้สัมผัสใกล้ชิดเช่น หน้ากากอนามัย ถุงมือ ฯลฯ
3. สามารถติดต่อกับโรงพยาบาลได้ดี ดูแลตนเองได้ และเดินทางมาโรงพยาบาลได้สะดวก
4. ข้อพิจารณาอื่นๆ ให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา

สามารถให้ผู้ป่วยดูแลรักษาตัวที่บ้านได้โดยให้ปฏิบัติดังนี้
1. ผู้ป่วยหยุดเรียน หยุดงาน และพักอยู่กับบ้านจนกว่าอาการจะหายเป็นปกติไม่มีไข้ ไอ น้ำมูก อย่างน้อย 1 วันเพื่อลดการแพร่เชื่อ
2. เมื่อมีไข้ให้รับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล และยารักษาตามอาการ เช่น ยาละลายเสมหะ ยาลดน้ำมูกตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
3. เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำสะอาดอุ่นเล็กน้อยเป็นระยะ โดยการเช็ดแขนขาย้อนเข้าหาลำตัว เน้นการ เช็ดตัวลดไข้บริเวณหน้าผาก ซอกรักแร้ ขาหนีบ ข้อพับแขนขา และใช้ผ้าห่มปิดหน้าอกระหว่างเช็ดแขนขา เพื่อไม่ให้หนาวเย็นจนเกินไป หากผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่นต้องหยุดเช็ดตัวและห่มผ้า ให้อบอุ่นทันที
4. ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มากๆ งดดื่มน้ำเย็นจัด
5. พยายามรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก และผลไม้ให้พอเพียง
6. นอนพักผ่อนมากๆ ในห้องที่อากาศไม่เย็นเกินไป และมีอากาศถ่ายเทสะดวก

แนะนำผู้ป่วยว่า หากมีอาการมากขึ้น เช่น ไข้สูง เหนื่อยมากขึ้น แน่นหน้าอก หอบ หายใจ ไม่สะดวก กินไม่ได้ ให้รีบมาโรงพยาบาลทันที โดยสามารถแจ้งที่โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 (เบอร์โทร 02-5144141-9) เพราะโรคนี้อาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของความเจ็บป่วยหากมีอาการรุนแรงมากขึ้นควรเรียกให้รถของโรงพยาบาลไปรับเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หรือถ้าเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวให้เปิดหน้าต่างขณะเดินทาง
ให้ผู้สัมผัสปฏิบัติดังนี้
1. ผู้สัมผัสควรหยุดเรียนหยุดงานและพักอยู่กับบ้านจนกว่าจะครบ 14 วันหลังการสัมผัส
2. ผู้สัมผัสควรนอนแยกห้องไม่ออกไปนอกบ้าน ไม่เดินทางไปที่ชุมชนหรือที่สาธารณะ
3. รับประทานอาหารแยกจากผู้อื่น
4. ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ร่วมกับผู้อื่น
5. หากมีอาการไอให้ สวมหน้ากากอนามัย หรือ ปิดปากจมูกด้วยกระดาษทิชชูทุกครั้งที่ไอจาม โดยปิดถึงคาง แล้วทิ้งทิชชูลงในถุงพลาสติกและปิดปากถุงให้สนิทก่อนทิ้งหรือ ใช้แขนเสื้อปิดปากจมูกเมื่อไอหรือจาม และทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือน้ำและสบู่ทันที
6. เมื่ออยู่กับผู้อื่นต้องสวมหน้ากากอนามัย และอยู่ห่างจากคนอื่นๆ ในบ้านประมาณ 1-2 เมตรหรืออย่างน้อยประมาณหนึ่งช่วงแขน
7. หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดบุคคลอื่นในที่พักอาศัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ
8. ทุกคนในบ้านควรล้างมือบ่อยครั้งที่สุด เพื่อลดการรับและแพร่เชื้อ
9. ทำความสะอาดเสื้อผ้าผ้า ปูเตียง ผ้าขนหนู ฯลฯ ด้วยสบู่หรือผงซักฟอกธรรมดาและน้ำ หรือซักผ้าด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิน้ำ 60-90 ๐C
10. เฝ้าระวังอาการเจ็บป่วยของผู้สัมผัสใกล้ชิดหรือสมาชิกในบ้าน ภายในระยะเวลา 14 วัน หลังสัมผัสผู้ป่วย โดยวัดไข้และรายงานอาการต่อทีมสอบสวนโรคทุกวัน

หมายเหตุ : ในกรณีที่ผู้สัมผัสใกล้ชิดเป็นมารดาให้นมบุตร ยังสามารถให้นมบุตรได้เนื่องจากปริมาณไวรัสที่ผ่านทางน้ำนมมีน้อยมาก แต่มารดาควรสวมหน้ากากอนามัยและล้างมืออย่างเคร่งครัดทุกครั้งก่อนสัมผัสหรือให้นมบุตร

การป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นๆในบ้าน
1. ผู้ป่วยควรนอนแยกห้องไม่ออกไปนอกบ้านไม่เดินทางไปที่ชุมชนหรือที่สาธารณะจนกว่าจะหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วันเพื่อให้พ้นระยะการแพร่เชื้อ
2. รับประทานอาหารแยกจากผู้อื่นหากอาการทุเลาแล้วอาจรับประทานอาหารร่วมกันได้แต่ต้องใช้ช้อนกลางทุกครั้ง
3. ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวเช่นผ้าเช็ดหน้าผ้าเช็ดตัวแก้วน้ำหลอดดูดน้ำร่วมกับผู้อื่น
4. หากมีอาการไอให้ สวมหน้ากากอนามัยหรือ ปิดปากจมูกด้วยกระดาษทิชชูทุกครั้งที่ไอจามโดยปิดถึงคางแล้วทิ้งทิชชูลงในถุงพลาสติกและปิดปากถุงให้สนิทก่อนทิ้งหรือ ใช้แขนเสื้อปิดปากจมูกเมื่อไอหรือจาม และทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจลหรือน้ำและสบู่ทันที
5. เมื่ออยู่กับผู้อื่นต้องสวมหน้ากากอนามัยและอยู่ห่างจากคนอื่นๆ ในบ้านประมาณ 1-2 เมตร หรืออย่างน้อยประมาณหนึ่งช่วงแขน
6. ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดบุคคลอื่นในที่พักอาศัยโดยเฉพาะผู้สูงอายุผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ
7. ผู้ดูแลผู้ป่วยต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่อดูแลเสร็จต้องถอดหน้ากากอนามัยลงในถังขยะและ ทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจลหรือน้ำและสบู่ทันที
8. ทุกคนในบ้านควรล้างมือบ่อยครั้งที่สุดเพื่อลดการรับและแพร่เชื้อ
9. ทำความสะอาดบริเวณที่ผู้ป่วยพักเช่นเตียงโต๊ะบริเวณของใช้รอบ ๆ ตัวของผู้ป่วยรวมถึงห้องน้าด้วยน้ำยาฟอกขาว 596 โซเดียมไฮโปคลอไรท์ (น้ายาฟอกขาว 1 ส่วนต่อน้า 99 ส่วน)
10. ทำความสะอาดเสื้อผ้าผ้าปูเตียงผ้าขนหนู ฯลฯ ด้วยสบู่หรือผงซักฟอกธรรมดาและน้ำหรือชักผ้าด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิน้ำ 60-90 ๐c
11. เฝ้าระวังอาการเจ็บป่วยของผู้สัมผัสใกล้ชิดหรือสมาชิกในบ้านภายในระยะเวลา 14 วันหลังสัมผัสผู้ป่วย

หมายเหตุ : ในกรณีที่ผู้ป่วยหรือผู้สัมผัสใกล้ชิดเป็นมารดาให้นมบุตรยังสามารถให้นมบุตรได้เนื่องจากปริมาณไวรัสที่ผ่านทางน้านมมีน้อยมากแต่มารดาควรสวมหน้ากากอนามัยและล้างมืออย่างเคร่งครัด ทุกครั้งก่อนสัมผัสหรือให้นมบุตร

ข้อดี-ข้อเสียของการแยกกักที่บ้าน (Home Isolation) ทางออกของปัญหา ‘เตียงเต็ม’

โดย นพ.ชนาธิป ไชยเหล็ก
11.04.2021
ข้อดี-ข้อเสียของการแยกกักที่บ้าน (Home Isolation) ทางออกของปัญหา ‘เตียงเต็ม’

194, 250, 334, …, 789 และล่าสุด 967 นั่นคือจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ที่เพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดปัญหาตามมาคือ ‘เตียงเต็ม’ โรงพยาบาลไม่สามารถรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลได้อีก จนส่งผลย้อนกลับไปถึง ‘น้ำยาหมด’ ที่โรงพยาบาลเอกชนใช้อ้างว่าไม่สามารถตรวจหาเชื้อได้ ก็เพราะไม่มีเตียงรองรับถ้าตรวจพบเชื้อขึ้นมา

 

การแก้ไขปัญหาเตียงเต็มมี 2 วิธี คือ

 

หลายคนน่าจะเคยเห็นภาพการสร้าง ‘โรงพยาบาลสนาม’ ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน จนมาถึงการสร้าง ‘ศูนย์ห่วงใยคนสาคร’ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสนามที่สร้างขึ้นในพื้นที่ของสนามกีฬา วัด หรือสถานที่ของเอกชน เช่น วัฒนาแฟคตอรี่ จำนวน 1,000 เตียง เพื่อรองรับการระบาดระลอกใหม่ที่ จ.สมุทรสาคร เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

 

แต่ถ้าไม่ได้มีการวางแผนเตรียมไว้ก่อน จะต้องใช้เวลาในการสร้างอย่างน้อย 1 สัปดาห์ (แรงงานข้ามชาติที่สมุทรสาครในช่วงแรกครบกำหนดแยกกัก 10 วัน ก่อนที่โรงพยาบาลสนามจะสร้างเสร็จ) ผู้ป่วยบางรายในรอบนี้จึงประสบปัญหา ‘เตียงเต็ม’ ทำให้ต้องสังเกตอาการที่บ้านไปก่อน วิธีการนี้เหมาะสมหรือไม่ และมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไรบ้าง

 

ความเหมาะสมของการแยกกักที่บ้าน

 

สมมติว่านาย ก. ได้รับการตรวจหาเชื้อแล้วพบว่าเป็นโควิด-19 การดูแลนาย ก. จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ

 

‘การรักษา’ โควิด-19 จะขึ้นกับความรุนแรงของโรค อย่างที่ทุกคนทราบว่าโรคนี้ส่วนใหญ่ (มากกว่า 80%) มีอาการเล็กน้อย จะเป็นการรักษาตามอาการ คือ ถ้ามีไข้ แพทย์ก็จ่ายยาลดไข้ ถ้าไอก็รับประทานยาแก้ไอ ผู้ป่วยบางคนจึงรู้สึกว่าเหมือนไปนอนโรงพยาบาลเล่น ส่วนแพทย์และพยาบาลก็แทบไม่ต้องดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้มากนัก

 

แต่ถ้านาย ก. เป็นผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว ก็จะเสี่ยงต่ออาการรุนแรง แพทย์จะจ่ายยาต้านไวรัส ส่วนถ้ามีภาวะปอดอักเสบก็จะเริ่มต้องใช้ทรัพยากรของโรงพยาบาลมากขึ้น ทั้งการให้ออกซิเจนชดเชย การใส่ท่อช่วยหายใจ จนถึงเครื่องพยุงการทำงานของหัวใจและปอด (ECMO) ซึ่งต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางหลายสาขา

 

ดังนั้น ในแง่ของการรักษา ผู้ป่วยกลุ่มแรกสามารถรักษาที่บ้านได้ แต่จะต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หรือมีระบบติดตามผู้ป่วยทางไกล ถ้ามีอาการแย่ลง เหนื่อยหอบมากขึ้น จะต้องรีบมาโรงพยาบาล ส่วนผู้ป่วยกลุ่มหลังไม่สามารถรักษาที่บ้านได้ ซึ่งแนวทางนี้ไม่ต่างจากโรคอื่น เช่น ไข้หวัดใหญ่ แพทย์ก็จะจ่ายยากลับให้ไปสังเกตอาการที่บ้านก่อน พร้อมกับคำแนะนำว่า ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 2-3 วัน ให้กลับมาพบแพทย์อีกครั้ง แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย หรือพบภาวะปอดอักเสบ แพทย์ก็จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาลตั้งแต่ครั้งแรกที่มาตรวจ

 

ส่วนที่ 2 คือ ‘การควบคุมโรค’ เพราะโควิด-19 สามารถติดต่อกันได้ง่าย นาย ก. สามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้อีก 2-3 ราย หากจะควบคุมไม่ให้เกิดการระบาด จึงจำเป็นต้องแยกกัก (Isolation) แยกผู้ป่วยไม่ให้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่นไว้จนกว่าจะพ้นระยะแพร่เชื้อ ซึ่งตามแนวทางของกรมการแพทย์คือ 10 วัน หรือ 14 วันถ้าสงสัยว่าติดเชื้อที่มีการกลายพันธุ์

 

ถ้ารักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยจะถูกแยกจากผู้ป่วยรายอื่นในห้องความดันลบ (Negative Pressure) ถ้าจำนวนห้องไม่พอ ก็จะย้ายผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยไปที่หอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Cohort Ward) ซึ่งต่อมามีแนวคิดดัดแปลงห้องในโรงแรมให้เป็นห้องผู้ป่วย (Hospitel) หรือโรงพยาบาลสนาม ซึ่งมักใช้อาคารหรือโดมขนาดใหญ่ดัดแปลงเป็นหอผู้ป่วยแทน

 

ดังนั้น ในแง่ของการควบคุมโรค การแยกกักที่บ้านก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่เหมาะสำหรับบ้านที่มีห้องนอนและห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วน ไม่ปะปนกับสมาชิกคนอื่น อากาศถ่ายเทสะดวก หรือผู้ป่วยสามารถเว้นระยะห่างจากสมาชิกคนอื่นได้ เช่น แยกรับประทานอาหาร แยกของใช้ส่วนตัว สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่เข้ามาในพื้นที่ส่วนกลาง

 

ข้อดีของการแยกกักที่บ้าน

 

สำหรับผู้ป่วยที่สามารถดูแลตัวเองและแยกจากผู้อื่นได้ การรักษาที่บ้านน่าจะสะดวกต่อผู้ป่วย เพราะที่บ้านมีของที่จำเป็น / ไม่จำเป็นต้องใช้ครบอยู่แล้ว และสบายใจกว่าการนอนรวมกันในโรงพยาบาลสนาม ส่วนระบบสาธารณสุขก็สามารถลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ ที่อาจจัดสรรไปดูแลผู้ป่วยโรคอื่นหรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงได้อย่างเต็มที่ และลดความต้องการเตียงลงได้

 

ข้อเสียของการแยกกักที่บ้าน

 

สมาชิกในครอบครัวที่พบผู้ป่วยโควิด-19 มีอัตราการติดเชื้อ 16.6% ซึ่งสูงกว่าซาร์สและเมอร์ส ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2 สายพันธุ์ก่อนหน้า การแยกกักที่บ้านจะทำให้สมาชิกคนอื่นในบ้านสัมผัสเชื้อเป็นเวลานาน และอาจติดเชื้อตามมาได้ ยิ่งถ้ามีกลุ่มเสี่ยงต่ออาการรุนแรง เช่น ผู้สูงอายุ ภายในบ้านก็จะเป็นวิธีการที่ไม่ปลอดภัย

 

ทิชชูหรือจานชามช้อมส้อมพลาสติกที่ผู้ป่วยใช้จะถือเป็น ‘ขยะติดเชื้อ’ ซึ่งต้องแยกทิ้งลง ‘ถุงแดง’ และต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าไปเก็บเพื่อนำไปทำลายให้เหมาะสม หรือถ้าอยู่คอนโดมิเนียม ควรแจ้งแม่บ้านให้ระมัดระวังในการจัดการขยะด้วย และอาจตามมาด้วยความกังวลของคนในคอนโดมิเนียมหรือคนในชุมชน ที่อาจไม่เข้าใจวิธีการแยกกักที่บ้าน

 

นอกจากนี้ การนับเวลา ‘กักกัน’ (Quarantine) ผู้สัมผัสในครอบครัวอาจต้องขยายวันครบกำหนดออกไป เพราะจะเริ่มนับก็ต่อเมื่อแยกจากผู้ป่วยแล้ว ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ ผู้ป่วยยังอาศัยอยู่ในบ้าน และจะพ้นระยะแพร่เชื้อในวันที่ 10 + 14 วัน รวมเป็น 24 วันนับจากวันที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการ ก็จะทำให้ต้องลาเรียน / ลางานนานกว่าการแยกกักที่โรงพยาบาล

 

ข้อสรุปสำหรับการแยกกักที่บ้าน

 

วันนี้ (11 เมษายน) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกร​มควบคุมโรค กล่าวถึงกรณี ‘เตียงเต็ม’ ว่า ไทยมีนโยบายนำผู้ติดเชื้อมารักษาในโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้มีการประสานงานให้บริหารเตียงอย่างเป็นระบบ โดยประชาชนสามารถประสานมาได้หากยังไม่ได้เตียง ตามสายด่วนกรมการแพทย์ 1668 ทุกวัน เวลา 08.00-22.00 น. 

 

โดยคาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นใน 1-2 วัน เพราะวันนี้ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ได้เปิดโรงพยาบาลสนาม 470 เตียง โดยจะย้ายผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่ได้รับการรักษาจนอาการดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ไปยังโรงพยาบาลสนาม ขณะที่ทางกองทัพก็มีโรงพยาบาลสนาม ส่วนกระทรวงสาธารณสุขได้ประสานโรงพยาบาลเอกชน และโรงแรมหลายแห่งที่เป็น ASQ เพื่อจัดเป็น Hospitel

 

สำหรับกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าฯ ได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 10 เมษายนว่า เตรียมโรงพยาบาลสนามไว้ 4 แห่ง ได้แก่ 1. โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน (500 เตียง) 2. โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ (200 เตียง) 3. สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา บางบอน รองรับได้ (200 เตียง) และ 4. ศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา (350 เตียง) โดยข้อ 3. และ 4. ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ

 

ดังนั้น ในระดับนโยบายน่าจะไม่มีการประกาศให้ผู้ป่วยแยกกักที่บ้าน ซึ่งมีข้อเสียในการควบคุมโรค แต่ด้วยจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทุกวัน และถึงแม้จะมีโรงพยาบาลสนามก็อาจไม่เพียงพอ กระทรวงสาธารณสุขควรมีแผนสำรอง โดยการจัดลำดับความสำคัญว่าผู้ป่วยกลุ่มใดจำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล หรือกลุ่มใดสามารถแยกกักที่บ้านได้ตามความเหมาะสม

 

สำหรับประชาชนทั่วไป สัปดาห์นี้น่าจะยังมีผู้ป่วยที่ยังรอเตียงอยู่ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลเอกชนหรือการตรวจคัดกรองเชิงรุก ซึ่งในระหว่างนี้ขอให้แยกตัวจากคนอื่นในบ้านให้มากที่สุด และหากมีอาการแย่ลงต้องรีบไปโรงพยาบาล ส่วนสมาชิกอื่นในบ้านถือเป็น ‘ผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง’ ที่ต้องกักตัว และสังเกตอาการตนเองเช่นกัน 

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:


Prevention Steps for People Confirmed to Have, or Being Evaluated for 2019-nCoV Infection Who Receive Care at Home

Your doctors and public health staff will evaluate whether you can be cared for at home. If it is determined that you can be isolated at home, you will be monitored by staff from your local or state health department. You should follow the prevention steps below until a healthcare provider or local or state health department says you can return to your normal activities.

Stay home except to get medical care

You should restrict activities outside your home, except for getting medical care. Do not go to work, school, or public areas, and do not use public transportation or taxis.

Separate yourself from other people in your home

As much as possible, you should stay in a different room from other people in your home. Also, you should use a separate bathroom, if available.

Call ahead before visiting your doctor

Before your medical appointment, call the healthcare provider and tell them that you have, or are being evaluated for, 2019-nCoV infection. This will help the healthcare provider’s office take steps to keep other people from getting infected.

Wear a facemask

You should wear a facemask when you are in the same room with other people and when you visit a healthcare provider. If you cannot wear a facemask, the people who live with you should wear one while they are in the same room with you.

Cover your coughs and sneezes

Cover your mouth and nose with a tissue when you cough or sneeze, or you can cough or sneeze into your sleeve. Throw used tissues in a lined trash can, and immediately wash your hands with soap and water for at least 20 seconds.

Wash your hands

Wash your hands often and thoroughly with soap and water for at least 20 seconds. You can use an alcohol-based hand sanitizer if soap and water are not available and if your hands are not visibly dirty. Avoid touching your eyes, nose, and mouth with unwashed hands.

Avoid sharing household items

You should not share dishes, drinking glasses, cups, eating utensils, towels, bedding, or other items with other people in your home. After using these items, you should wash them thoroughly with soap and water.

Monitor your symptoms

Seek prompt medical attention if your illness is worsening (e.g., difficulty breathing). Before going to your medical appointment, call the healthcare provider and tell them that you have, or are being evaluated for, 2019-nCoV infection. This will help the healthcare provider’s office take steps to keep other people from getting infected. Ask your healthcare provider to call the local or state health department.

Prevention Steps for Caregivers and Household Members

If you live with, or provide care at home for, a person confirmed to have, or being evaluated for, 2019-nCoV infection, you should:

 

Prevention Steps for Close Contacts

If you have had close contact with someone who is confirmed to have, or being evaluated for, 2019-nCoV infection, you should:

 

Updated June 11, 2021
head side mask light icon

Wear a mask

Masks are required on planes, buses, trains, and other forms of public transportation traveling into, within, or out of the United States and in U.S. transportation hubs such as airports and stations. Travelers are not required to wear a mask in outdoor areas of a conveyance (like on a ferry or the top deck of a bus). CDC recommends that travelers who are not fully vaccinated continue to wear a mask and maintain physical distance when traveling.

people arrows light icon

Stay 6 feet away from others

band aid icon

Get Vaccinated

users slash icon

Avoid crowds and poorly ventilated spaces

hands wash light icon

Wash your hands often

box tissue light icon

Cover coughs and sneezes

spraybottle icon

Clean and disinfect

head side medical light icon

Monitor your health daily

 

The number of reported COVID-19 cases is rapidly increasing in all EU/EEA countries and the UK, accounting for an increasing proportion of global cases. Clinical presentation among reported cases of COVID-19 varies in severity from asymptomatic, subclinical infection and mild illness to severe or fatal illness; clinical deterioration can occur rapidly, often during the second week of illness [1]. More disease background information is available online: ECDC’s Rapid Risk Assessment [1], ECDC [2], WHO [3]. Self-isolation Suspected or confirmed COVID-19 patients presenting with a mild clinical symptomatology (mainly fever, cough, headache and malaise) will not require hospitalisation and may be safely managed at home. The majority of these cases will spontaneously recover without complications. As clinical signs and symptoms may worsen with progressive dyspnoea due to lower respiratory tract disease, mostly in the second week of illness, patients treated at home should be provided with instructions if they experience difficulty breathing. Self-isolation and home care could also be considered for symptomatic patients no longer requiring hospitalisation, or in a case of informed refusal of hospitalisation [1].

 

TECHNICAL REPORT

Infection prevention and control in the household management of people with suspected/confirmed COVID-19 3 Infection prevention and control measures applied by the patient’s caretaker to prevent transmission of infection (in the household)

 Avoid close contact with the patient as much as possible and keep a distance of at least 1 metre.

 Wash hands frequently, especially after contact with the patient and with any item that has been in contact with the patient (e.g. eating utensils, bed linen, toilet, etc.). Water and soap is effective for handwashing, alcohol-based hand-rubbing solution can also be used.

 Use disposable towels to dry your hands whenever available. If not available, change towels frequently and wash them with regular laundry detergent in a hot-water cycle (90 °C). If an item cannot be washed in a hotwater cycle, use bleach or other laundry products for decontamination of textiles.

 Wear a face mask when in the same room with the patient, or in general when in close contact with the patient. The mask should be changed every time it is worn; if this is not possible, it should be changed when it becomes soiled, dirty or wet.

 When the face mask is taken off, it should be removed by touching only the elastic bands or strings; front and inside parts should never be touched. Hands should be washed/cleaned immediately (and thoroughly) after removing the face mask.

 Wear gloves when providing care to the patient or when coming in contact with bodily fluids (e.g. mucous, faeces, urine, etc.). Gloves should be changed every time they are worn or when they become soiled, or if their integrity is compromised. Hands should be washed/cleaned immediately after removing the gloves.

 Caretakers should quarantine for 14 days after the patient has recovered and self-monitor for COVID-19-like symptoms (e.g. fever, cough). Management of household waste

 An individual waste bag should be placed in the patient’s room.

 Paper tissues and face masks used by the patient should be immediately put in the waste bag that was placed in the patient’s room.

 Gloves and face masks used by the caretaker and by the cleaner should be immediately put in a second waste bag, placed near the door to the patient’s room, when the caretaker or cleaner leave.

 The waste bags should be closed before they are removed from the patient’s room and replaced frequently; they should never be emptied in another bag.

 These waste bags can be collected together and placed in a clean general garbage bag; the closed patient waste bags can be put directly in the unsorted garbage. No special collection activity or other disposal method is necessary.

 After handling waste bags, strict hand hygiene should be performed: use water and soap or alcohol-based hand disinfectants. Contributing ECDC experts (in alfabetical order) ECDC Public Health Emergency COVID-19 Infection Prevention and Control (IPC) group: Agoritsa Baka, Orlando Cenciarelli, Bruno Ciancio, Diamantis Plachouras, Carl Suetens References 1. European Centre for Disease Prevention and Control (ECDC). Coronavirus disease 2019 (COVID-19) pandemic: increased transmission in the EU/EEA and the UK – seventh update 2020. Stockholm: ECDC; 2020. Available from:

This interim guidance is based on what is currently known about 2019 novel coronavirus (2019-nCoV) and transmission of other viral respiratory infections. CDC will update this interim guidance as needed and as additional information becomes available.

Coronaviruses are a large family of viruses, some causing illness in people and others that circulate among animals, including camels, cats and bats. Rarely, animal coronaviruses can evolve and infect people and then spread between people such as has been seen with MERS and SARS. The potential for human-to-human transmission of 2019-nCoV is unknown. The following interim guidance may help prevent this virus from spreading among people in homes and in communities.

This interim guidance is for: