siamhealth

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ

ตาขี้เกียจ Amblyopia เกิดกับตาเด็กข้างเดียว อาการตาขี้เกียจ และการแก้ไขตาขี้เกียจ

สายตาขี้เกียจคืออะไร | อาการของตาขี้เกียจ | ความเสี่ยงต่อภาวะสายตาขี้เกียจ | สาเหตุของภาวะสายตาขี้เกียจ | การรักษาภาวะสายตาขี้เกียจ | การรักษาภาวะสายตาขี้เกียจ


ตาขี้เกียจ

สายตาขี้เกียจคืออะไร

Amblyopia (เรียกอีกอย่างว่าขี้เกียจ) เป็นประเภทของการมองเห็นที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นในตาเพียงข้างเดียว ตาขี้เกียจเกิดขึ้นเนื่องจากตา และสมองไม่สามารถรับรู้การเห็นจากตาข้างเดียว เมื่อเวลาผ่านไป สมองจะอาศัยดวงตาข้างที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่การมองเห็นในดวงตาที่ไม่ดีจะแย่ลง

เรียกว่า ตาขี้เกียจ เพราะดวงตาที่ดีจะทำงานได้ดีกว่า

Amblyopia เริ่มต้นในวัยเด็ก และเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการสูญเสียการมองเห็นในเด็ก มีเด็กถึง 3 ใน 100 คน พบภาวะตาขี้เกียจนี้เฉพาะในเด็กเท่านั้น จากสถิติพบว่าเด็กที่มีอายุ 2-3 ปี พบได้ถึง 2.0–2.5% แต่การเกิดภาวะนี้จะลดลงเรื่อยๆ จนแทบไม่พบในเด็กอายุเกิน 7 ปีข่าวดีก็คือการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ได้ผลดี และมักจะป้องกันปัญหาการมองเห็นในระยะยาวได้

อาการของตาขี้เกียจ

อาการของตาขี้เกียจนั้นสังเกตได้ยาก เด็กที่มีภาวะตาขี้เกียจอาจมองเห็นความลึกได้ไม่ดี พวกเขามีปัญหาในการบอกว่าบางสิ่งอยู่ใกล้หรือไกลแค่ไหน ผู้ปกครองอาจสังเกตเห็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกมองเห็นไม่ชัดเจน เช่น การ

ในหลายกรณี ผู้ปกครองไม่ทราบว่าลูกของตนมีภาวะตาขี้เกียจ จนกว่าแพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ระหว่างการตรวจตา จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กทุกคนที่จะต้องได้รับการตรวจสายตาอย่างน้อยหนึ่งครั้งระหว่างอายุ 3 ถึง 5 ปี

ลูกของฉันมีความเสี่ยงต่อภาวะสายตาขี้เกียจหรือไม่?

เด็กบางคนเกิดมาพร้อมกับภาวะภาวะสายตาขี้เกียจและบางคนก็พัฒนาในช่วงวัยเด็ก โอกาสที่จะมีภาวะตามัวมีมากขึ้นในเด็กที่:

อะไรเป็นสาเหตุของภาวะสายตาขี้เกียจ?

ในหลายกรณี แพทย์ไม่ทราบสาเหตุของภาวะตาขี้เกียจ แต่บางครั้ง ปัญหาการมองเห็นที่แตกต่างกันของตาสองข้างอาจนำไปสู่ภาวะสายตาขี้เกียจได้

โดยปกติสมองจะใช้สัญญาณประสาทจากตาทั้งสองข้างเพื่อดู แต่ถ้าสภาพตาทำให้การมองเห็นในตาข้างหนึ่งแย่ลง สมองอาจพยายามแก้ไขโดยการปิด สัญญาณจากดวงตาทมองไม่ชัดและพึ่งพาดวงตาที่มองชัดกว่าเท่านั้น

สภาพตาบางอย่างที่อาจนำไปสู่ภาวะสายตาขี้เกียจ ได้แก่

แพทย์ของลูกจะตรวจหาภาวะตามัวอย่างไร?

ในการตรวจคัดกรองสายตาตามปกติ แพทย์ของบุตรหลานจะตรวจหาสัญญาณของภาวะสายตาขี้เกียจ เด็กทุกคนอายุ 3 ถึง 5 ปีต้องได้รับการตรวจสายตาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

การรักษาภาวะสายตาขี้เกียจ

วิธีแก้ไข หรือ รักษาภาวะตาขี้เกียจ คือ ต้องรักษาตั้งแต่เด็กๆ หรือทันทีที่ตรวจพบ โดยการรักษามีหลักอยู่ 3 ประการ ได้แก่

หากมีปัญหาด้านการมองเห็นที่ทำให้เกิดภาวะตาขี้เกียจ แพทย์อาจทำการรักษาด้านการมองเห็นก่อน ตัวอย่างเช่น แพทย์อาจแนะนำแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ (สำหรับเด็กที่สายตาสั้นหรือสายตายาว) หรือการผ่าตัด (สำหรับเด็กที่เป็นต้อกระจก)

ขั้นตอนต่อไปคือการฝึกสมองใหม่และบังคับให้ใช้ดวงตาที่มีปัญหาในการมองเห็น ยิ่งใช้สมองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้การมองเห็นดีขึ้น การรักษารวมถึง:

หลังจากที่ลูกของคุณเริ่มการรักษา การมองเห็นของพวกเขาอาจเริ่มดีขึ้นภายในสองสามสัปดาห์ แต่อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หลังจากนั้น บุตรของท่านอาจยังต้องใช้การรักษาเหล่านี้เป็นครั้งคราวเพื่อป้องกันไม่ให้ภาวะตาขี้เกียจกลับมาอีก

สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มดูแลเด็กที่มีภาวะสายตาขี้เกียจตั้งแต่เนิ่นๆ ยิ่งเร็วยิ่งดี เด็กที่โตขึ้นโดยไม่ได้รับการรักษาอาจมีปัญหาการมองเห็นตลอดชีวิต การรักษาภาวะสายตาขี้เกียจมักจะได้ผลในผู้ใหญ่น้อยกว่าในเด็ก

ดูเหมือนว่า การรักษาจะทำได้ไม่ยากนัก แต่ก็ยังมีภาวะนี้เกิดขึ้นจนเด็กโต ทั้งนี้เพราะการตรวจพบ และรับการรักษาภาวะนี้ถูกละเลยมากกว่า เพราะเด็กเล็กๆบอกไม่ได้ว่าตนเองตามองไม่เห็นหรือตามัว และภาวะนี้ไม่มีอาการเจ็บปวดหรือเคืองตาทั้งสิ้น เด็กไม่ทราบว่ามีตามัวอยู่ข้างหนึ่ง เพราะใช้แต่ตาข้างดี ซ้ำร้ายผู้ปกครองมักจะคิดว่ารอเด็กโตค่อยรักษา อันจะทำให้เวลาที่รักษาได้ผล ผ่านไป

ควรนำเด็กพบจักษุแพทย์เมื่อไร?

ข้อเสนอแนะให้ปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดภาวะตาขี้เกียจของเด็ก คือ

อนึ่ง สมาคมจักษุแพทย์และกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา แนะนำให้เด็กควรได้รับการตรวจตาจากจักษุแพทย์เป็นระยะๆ เริ่มตั้งแต่แรกคลอด อายุ 6 เดือน อายุ 3 ปี และหลังจากนั้นควรตรวจทุกปี หรือ ตามจักษุแพทย์แนะนำ หรืออย่างน้อยปีเว้นปี ทั้งนี้เพื่อเป็นการตรวจสุขภาพตาเด็ก เพื่อป้องกันโรคตาที่ป้องกันได้ และเมื่อเกิดความผิดปกติของตา จะได้พบความผิดปกติแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้นมาก แต่ถ้าพบความผิดปกติทางสายตา หรือ ของดวงตา เช่น ตาเหล่ ควรรีบนำเด็กพบจักษุแพทย์เสมอ