หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | ยารักษาโรค |วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
อาการ "เมาสุรา" เป็นภาวะที่คุ้นเคยกันดี แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าต้องดื่มมากแค่ไหนถึงจะเมา, ทำไมแต่ละคนเมาไม่เท่ากัน, จะสังเกตอาการคนเมาได้อย่างไร, และควรให้การดูแลเบื้องต้นแบบไหนจึงจะปลอดภัย การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้เราดื่มอย่างรับผิดชอบมากขึ้น แต่ยังอาจช่วยป้องกันอุบัติเหตุและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับคนรอบข้างได้
บทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะตอบทุกคำถามเกี่ยวกับอาการเมาสุรา
อาการ "เมา" คือผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อแอลกอฮอล์เข้าไปรบกวนการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง เราสามารถวัดระดับความเมาได้ทางวิทยาศาสตร์ผ่านค่า ระดับแอลกอฮอล์ในเลือด (Blood Alcohol Concentration - BAC) ซึ่งบอกเป็นเปอร์เซ็นต์
ยิ่งค่า BAC สูง, ผลกระทบต่อสมองและการควบคุมร่างกายก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น ตับของเราสามารถกำจัดแอลกอฮอล์ได้ในอัตราคงที่ (ประมาณ 1 ดื่มมาตรฐานต่อชั่วโมง) เมื่อเราดื่มเร็วกว่าที่ตับจะกำจัดทัน ค่า BAC ในเลือดก็จะสูงขึ้น และเราจะเริ่มมีอาการเมา
รู้ไว้ใช่ว่า: ตามกฎหมายไทย การมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (หรือ 0.05% BAC) ถือว่า "เมาแล้วขับ"
นี่คือเหตุผลว่าทำไมแต่ละคนถึงเมาไม่เท่ากัน:
1. เพศ: โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้หญิงจะเมาเร็วกว่าผู้ชาย แม้จะดื่มในปริมาณเท่ากัน เนื่องจากผู้หญิงมีปริมาณน้ำในร่างกายน้อยกว่า และมีระดับเอนไซม์ที่ใช้เผาผลาญแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหารน้อยกว่า ทำให้แอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วกว่า
2. น้ำหนักตัว : คนที่ตัวเล็กและน้ำหนักน้อย จะมีปริมาณเลือดและน้ำในร่างกายน้อยกว่า ทำให้ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดสูงขึ้นเร็วกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า
3. อาหารในกระเพาะ : การดื่มตอนท้องว่างทำให้เมาเร็วขึ้นอย่างมาก เพราะแอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การทานอาหารก่อนดื่มจะช่วยชะลอการดูดซึมแอลกอฮอล์ได้
4. ความเร็วในการดื่ม : การดื่มเร็วๆ หรือการดื่มแบบ "Binge Drinking" จะทำให้ตับทำงานไม่ทัน ส่งผลให้ค่า BAC พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
5. ชนิดของเครื่องดื่ม: เครื่องดื่มที่มีคาร์บอเนต (มีฟอง) เช่น เบียร์, แชมเปญ, หรือค็อกเทลที่ผสมโซดา อาจเร่งการดูดซึมแอลกอฮอล์ได้เล็กน้อย และเครื่องดื่มที่มีดีกรีสูงก็จะทำให้เมาเร็วกว่า
6. ความทนต่อแอลกอฮอล์ หรือ "คอแข็ง": ผู้ที่ดื่มเป็นประจำอาจรู้สึกว่าตัวเอง "คอแข็ง" และไม่แสดงอาการเมามากนัก แต่ความจริงแล้ว ค่า BAC ในเลือดของพวกเขายังคงสูงเท่ากับคนอื่น และความสามารถในการตัดสินใจหรือการขับขี่ยานพาหนะก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก
7. สุขภาพโดยรวมและยาที่ใช้: ความเหนื่อยล้า, ความเจ็บป่วย, หรือการใช้ยาบางชนิด อาจส่งผลต่อความสามารถในการเผาผลาญแอลกอฮอล์ของร่างกาย
คุณสามารถประเมินได้ว่าใครบางคนกำลังเมาสุราหรือไม่ จากสัญญาณเหล่านี้:
ระดับ BAC (mg%) | จำนวนดื่ม (โดยประมาณ)* | อาการที่ปรากฏ |
30 | เบียร์ 1 ขวดใหญ่ (2 หน่วย) | คึกคัก, ร่าเริง, พูดมาก, การตัดสินใจเริ่มบกพร่อง |
50 (ผิดกฎหมาย) | เบียร์ 2 ขวดใหญ่ (4 หน่วย) | เสียการควบคุมการเคลื่อนไหว, เดินเซ, เพิ่มความเสี่ยงอุบัติเหตุ |
150 | เบียร์ 6 ขวดใหญ่ (12 หน่วย) | พูดไม่ชัด, สับสนเรื่องเวลา-สถานที่, เดินโซซัดโซเซ |
200 | เหล้าขาว/สี 1 แบน (16 หน่วย) | สับสนมาก, ง่วงซึม, อาจเกิดภาวะ "ภาพตัด" (จำสิ่งที่ทำไปไม่ได้) |
>300 | เหล้าขาว/สี เกิน 1 แบน | อันตรายถึงชีวิต! อาจหมดสติ, หยุดหายใจ, หรือสำลักอาเจียน |
*เป็นการประมาณสำหรับผู้ชายน้ำหนักเฉลี่ย ปริมาณจริงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
หากคนใกล้ชิดของคุณเมาสุราในระดับที่ไม่รุนแรงและยังรู้สึกตัวดี ควรให้การดูแลดังนี้:
หยุดดื่มทันที: พาออกจากวงสุราและสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้ดื่มต่อ
จัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย: ดูแลไม่ให้เกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม และเก็บวัตถุอันตรายให้ห่าง
ห้ามขับรถเด็ดขาด: ยึดกุญแจรถและหาวิธีเดินทางกลับบ้านที่ปลอดภัยให้
ให้อยู่ในความดูแล: ควรมีคนคอยเฝ้าดูอาการอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสร่างเมา
ปลุกให้ตื่นได้: ต้องมั่นใจว่ายังสามารถปลุกให้รู้สึกตัวได้ง่าย หากซึมมากหรือปลุกไม่ตื่น อาจเป็นสัญญาณอันตราย
หากอาเจียน: ให้ดูแลอย่างใกล้ชิดและจัดให้นอนในท่าพักฟื้น (นอนตะแคง) เพื่อป้องกันการสำลัก
ความเชื่อผิดๆ: การดื่มกาแฟหรืออาบน้ำเย็น ไม่ได้ช่วยให้สร่างเมาเร็วขึ้น เพราะไม่ได้ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ทำได้เพียงแค่ทำให้รู้สึกตื่นตัวชั่วคราวเท่านั้น มีเพียง "เวลา" เท่านั้นที่ช่วยให้ตับกำจัดแอลกอฮอล์ออกไปได้
โดยประมาณ แอลกอฮอล์สามารถตรวจพบได้ใน:
บทสรุป: "ความเมา" ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนแก้วที่คุณดื่ม แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคลที่หลากหลาย การเข้าใจร่างกายของตัวเอง, การดื่มอย่างช้าๆ, การทานอาหารรองท้อง, และที่สำคัญที่สุดคือการ ไม่ขับขี่ยานพาหนะหลังดื่ม คือหัวใจของการสังสรรค์อย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว