Ciprofloxcin ซิโพรฟอกซาซิน รักษาโรคติดเชื้อ

ยา ซิโพรฟอกซาซิน Ciprofloxcin เป็นยาปฏิชีวนะใช้รักษาทางเดินปัสสาวะอักเสบ ปอดอักเสบ ข้อควรระวังในการใช้ยาเพราะอาจจะทำให้เกิดเอ็นอักเสบ หัวใจเต้นผิดปกติ ข้อบ่งชี้ในการใช้ยาเพื่อรักษาโรคติดเชื้อทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัวและใช้ยาให้ถูกวิธี


สารบัญ

 

ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่ใช้ยาซิโพรฟอกซาซิน Ciprofloxcin

  • ยานี้อาจจะเพิ่มความเสี่ยงของเอ็นอักเสบ หรือเอ็นขาด โดยเฉพาะผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี รับยา steroid ผู้ที่เปลี่ยนอวัยวะ
  • ยานี้อาจจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเพิ่มในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

หากเกิดอาการดังต่อไปนี้ให้หยุดยาและปรึกษาแพทย์

  • ลมพิษ บวมหรือชาบริเวณหน้า ลำคอ ลิ้น ริมฝีปาก ตา มือ เท้า ข้อเท้า หายใจหรือกลืนอาหารลำบาก
  • หัวใจเต้นผิดปกติ หน้ามืด เป็นลม
  • ไข้ ปวดกล้ามเนื้อ หรือ ข้อ ชัก มึนงง ประสาทหลอน ปวด ชา หรือ
  • อ่อนแรงตามส่วนต่างๆของร่างกาย

ข้อบ่งชี้ในการใช้ยาซิโพรฟอกซาซิน Ciprofloxcin

ยานี้เป็นยาปฏิชีวนะ ใช้ขจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคติดเชื้อ



ขนาดและวิธีใช้ซิโพรฟอกซาซิน Ciprofloxcin

โดยทั่วไปรับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นติดต่อกัน 5-14 วัน อาจรับประทานขณะท้องว่างหรือพร้อมอาหารและดื่มน้ำตาม 1 แก้ว สำหรับโรคหนองในแท้รับประทานครั้งเดียว 500 มก. ยานี้มีขายในรูปยาเม็ด 250 และ 500 มก. ยาฉีดความแรง 100 มก./50 มล. 200 มก./100 มล. และ 400 มก./200 มล.

การติดเชื้อ ความรุนแรง ขนาดยา ความถี่ ระยะเวลา
ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เฉียบพลันไม่มีโรคแทรกซ้อน 250 mg ทุก 12ชม 3 days
รุนแรงปานกลาง 250 mg ทุก 12ชม 7 to 14 days
รุนแรงมาก/โรคแทรกซ้อน 500 mg ทุก 12ชม 7 to 14 days
ต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง รุนแรงปานกลาง 500 mg ทุก 12ชม 28 days
ทางเดินหายใจ รุนแรงปานกลาง 500 mg ทุก 12ชม 7 to 14 days
รุนแรงมาก/โรคแทรกซ้อน 750 mg ทุก 12ชม 7 to 14 days
ไซนัสอักเสบ รุนแรงปานกลาง 500 mg ทุก 12ชม 10 days
โรคติดเชื้อผิวหนัง รุนแรงปานกลาง 500 mg ทุก 12ชม 7 to 14 days
รุนแรงมาก/โรคแทรกซ้อน 750 mg ทุก 12ชม 7 to 14 days
โรคข้อและกระดูก รุนแรงปานกลาง 500 mg ทุก 12ชม ≥ 4 to 6 weeks
รุนแรงมาก/โรคแทรกซ้อน 750 mg ทุก 12ชม ≥ 4 to 6 weeks
ติดเชื้อในช่องท้อง โรคแทรกซ้อน 500 mg ทุก 12ชม 7 to 14 days
ท้องร่วงจากการติดเชื้อ รุนแรงปานกลาง/Severe 500 mg ทุก 12ชม 5 to 7 days
Typhoid Fever รุนแรงปานกลาง 500 mg ทุก 12ชม 10 days
หนองในแท้ ไม่มีโรคแทรกซ้อน 250 mg ครั้งเดียว ครั้งเดียว
โรคกาลี 500 mg ทุก 12ชม 60 days  

การเปลี่ยนยาจากยารับประทานเป็นยาฉีดหรือจากยาฉีดเป็นยารับประทาน

Cipro ชนิดรับประทาน ชนิดให้ทางหลอดเลือด
250 mg Tablet ทุก 12ชม 200 mg I.V. ทุก 12ชม
500 mg Tablet ทุก 12ชม 400 mg I.V. ทุก 12ชม
750 mg Tablet ทุก 12ชม 400 mg I.V. q 8 h

การใช้ยา Ciprofloxcin สำหรับผู้ป่วยโรคไต

  • ผู้ที่มีอัตราการกรองของไตมากกว่า 50 มล/นาที ไม่ต้องลดยา
  • อัตราการกรองของไต 30-50 ให้ขนาดยา 250-500 มกทุก 12 ชั่วโมง
  • อัตราการกรองของไต 5-29 ให้ขยาดยา 250-500 มกทุก 18 ชั่วโมง

วิธีใช้ยา  Ciprofloxcin

  • ระหว่างที่ใช้ยา Ciprofloxacin ไม่ควรจะใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม non-steroidal anti-inflammatory painkillers (NSAIDs)
  • รับประทานยานี้ตอนท้องว่าง โดยรับประทานก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น
  • ห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
  • รับประทานยาติดต่อกันจนหมดช่วงการรักษา แม้จะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม
  • อาจเกิดอาการท้องเสียระหว่างหรือหลังจากการใช้ยานี้
  • รับประทานยานี้แล้วอาจมีอาการเวียนศีรษะหรืออ่อนเพลีย ไม่ควรขับรถหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร
  • ไม่ควรรับประทานพร้อมกับนม ยาลดกรด หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
  • สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานยานี้อาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ดังนั้นจะต้องตรวจน้ำตาลถี่ขึ้น
  • ยา Ciprofloxacin จะทำให้เกิดแพ้แสงแดดได้ง่ายดังนั้นไม่ควรจะอาบแดดหรืออยู่ในที่แสงแดดจ้าเป็นเวลานาน
  • ควรดื่มน้ำมากๆในระหว่างวัน
  • ระหว่างรับประทานยาอาจจะเกิดเชื้อราในปาก และช่องคลอด
  • หลีกเลี่ยงการทำงานหรืออยู่ในที่มีแสงแดดส่องเป็นเวลานาน

สิ่งที่ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ

  • การแพ้ยา ciprofloxacin, ยากลุ่มควิโนโลนหรือฟลูออโรควิโนโลน เช่น ofloxacin, levofloxacin, moxifloxacin, nalidixic acid หรือ norfloxacin
  • ยาอื่นๆทั้งยาที่แพทย์สั่งจ่ายและยาที่ใช้เอง วิตามิน อาหารเสริม และยาสมุนไพร ที่ท่านใช้อยู่ในขณะนี้หรือกำลังจะใช้
  • หากเป็นหรือเคยเป็นโรคเอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ โรคข้ออักเสบ โรคหืด โรคกระเพาะ สมองเป็นอัมพาต ภาวะสมองเสื่อม ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ โรคลมชัก โรคหลอดเลือดสมอง โรคตับหรือโรคไต
  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • การทำงานหรือมีกิจวัตรที่มีผลกระทบต่อเอ็นกล้ามเนื้อเป็นประจำ เช่น นักกรีฑา
  • การตั้งครรภ์ การวางแผนในการตั้งครรภ์ หรือการให้นมบุตร
  • การผ่าตัด รวมทั้งผ่าตัดฟัน
  • การเอ็กซเรย์ หรือ เอ็กซเรย์สมอง 

อาการอันไม่พึงประสงค์อื่นที่อาจเกิดระหว่างใช้ยา หากเป็นต่อเนื่อง หรือ รบกวนชีวิตประจำวัน ให้ แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ

  • รู้สึกไม่สบาย อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง แก้ไขโดยการรับประทานอาหารน้อยแต่บ่อย
  • ท้องร่วง หากเป็นไม่มากให้ดื่มน้ำเกลือแร่ทดแทนให้เพียงพอ
  • ปวดศีรษะ ให้รับประทานยาแก้ปวด

ข้อควรระวังในการใช้ยา ciprofloxacin

เอ็นอักเสบหรือเอ็นขาด Tendinitia and rupture tendon

ยา ciprofloxacin มักจะพบว่ามีการอักเสบหรือเอ็นขาดซึ่งพบมากที่ เอ็นร้อยหวาย เอ็นหัวไหล่ ข้อศอก เอ็นนิ้วหัวแม่มือ พบมากฬนผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี ใช้ยา steroid หรือมีการเปลี่ยนไตและตับ โดยมีปัจจัยกระตุ้นได้แก่ การใช้เอ็นส่วนนั้นมาก ไตวาย หากเกิดอาการบวมหรือเจ็บเอ็นดังกล่าวให้หยุดยา

กระตุ้นให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงมากขึ้น

ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงเมื่อใช้ยานี้อาจจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นควรจะหลีกเลี่ยงยากลุ่มนี้

ความปลอดภัยในคนตั้งครรภ์

ยังไม่หลักฐานความปลอดภัยในการใช้กับคนตั้งครรภ์ ดังนั้นไม่ควรใช้ สำหรับสตรีมีครรภ์ ยานี้จัดอยู่ในประเภท C


การใช้ยานี้ร่วมกับยาขยายหลอดลม Theophyllin

มีรายงานว่าการใช้ยา ciprofloxacin ร่วมกับยาขยายหลอดลมแล้วทำให้เกิดอาการชัก หรือหัวใจหยุดเต้น ซึ่งยา ciprofloxacin อาจจะกระตุ้นทำให้เกิดอาการดังกล่าว

การใช้ยา ciprofloxacin กับระบบประสาท

ยากลุ่มนี้อาจจะทำให้เกิดอาการง่วงซึม สับสน มือสั่น หรือชักดังนั้นควรใช้ยาอย่างระมัดระวัง

การแพ้ยา

ยา ciprofloxacin อาจจะทำให้เกิดการแพ้ยาซึ่งมีการแสดงออกได้หลายรูปแบบได้แก่

  • มีไข้ ผื่นตามผิวหนัง เกิด toxic epidermal necrolysis, Stevens-Johnson syndrome
  • หลอดเลือดอักเสบ vasculitis ปวดกล้ามเนื้อ
  • ปอดอักเสบ
  • ไตอักเสบ
  • ตับอักเสบ

ลำไส้อักเสบ

การใช้ยาปฏิชีวนะอาจจะทำให้เกิดลำไส้อักเสบที่เรียกว่า Pseudomembranous Colitis ซึ่งจะมีอาการถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นเลือด

สรุป

ยาปฏิชีวนะ Ciprofloxcin ซิโพรฟอกซาซิน ใช้รักษาการอักเสบระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบทางเดินหายใจ การใช้ยาจะต้องใช้ให้ถูกวิธี ควรจะแจ้งแพทย์ถึงโรคประจำตัวหรือประวัติแพ้ยา หรือเกิดอาการระหว่างใช้ยาต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ ยานี้ไม่ควรใช้ร่วมกับยาแก้ปวดข้อเพราะอาจจะทำให้เอ็นอักเสบ

ทบทวนวันที่ 15/1/2566

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

 

 

Google
 

เพิ่มเพื่อน