อาหารทะเลดีต่อสุขภาพของท่าน

ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้มีรายงานถึงผลดีของไขมัน omega3 ต่อสุขภาพของคนจึงทำให้หลายประเทศได้แนะนำ ให้ประชาชนหันมาบริโภคเนื้อปลาให้มากขึ้น เพื่อปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ทั้งนี้เนื่องจากอาหารทะเลจะมีปริมาณแคลอรี่ต่ำ [calory] ไขมันอิ่มตัวต่ำ (saturated fat ไขมันอิ่มตัวจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงแข็ง และเกิดโรคหัวใจ) และมีไขมัน omega 3 สูง

อาหารทะเลและโรคหัวใจ

ชาวEskimos และชาวญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดโรคหัวใจ และอัตราการตายจากโรคหัวใจต่ำกว่าประเทศทางตะวันตก จากการวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานปลา 2 มื้อต่อสัปดาห์ จะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานปลา 42%

นอกจากนั้นยังได้มีการศึกษาผู้ที่เป็นโรคหัวใจ และให้รับประทานปลาที่มีไขมันสูง เช่นปลา mackerel, salmon, sardines, และปลา  trout โดยให้รับประทาน 2 มื้อต่อสัปดาห์พบว่าจะสามารถลดอัตราการตายลงได้ร้อยละ 37การศึกษานี้ศึกษาในคนอายุมากกว่า 50 ปี แสดงว่าการเริ่มรับประทานอาหารทะเล จะให้ประโยชน์แม้ว่าจะเริ่มขณะอายุมากหรือมีโรคแล้วก็ตาม

หอยแมงภู่ หอยกาบ หรือหอยนางรมเมื่อรับประทานสดหรือไม่สุขจะเสี่ยงต่อการเกิดอาหารเป็นพิษ คนที่ตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ หรือเด็กไม่ควรรับประทานอาหารทะเลสดๆหรือไม่สุก

การเลือกซื้อและการถนอมอาหารทะเล

  • เลือกซื้ออาหารจากแหล่งที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงดี
  • ให้เลือกซื้อจากร้านที่อาหารแช่ในตู้เย็นหรือใส่น้ำแข็งแช่เย็น
  • หลังจากซื้อแล้วรีบเก็บในตู้เย็นในที่เก็บเนื้อสัตว์
  • เพื่อความสดของอาหารให้ใช้ให้หมดใน 3 วัน
  • หากซื้ออาหารสดมีชีวิตให้ทิ้งกุ้ง ปูหรือหอยต่างๆเช่นหอยกาบ หอยแมลงภู่ที่ตาย อย่าเก็บในถุงเพราะสัตว์จะหายใจไม่ออก ให้เก็บสัตว์ไว้โดยคลุมด้วยผ้าเปียก เมื่อจะนำมาปรุงตัวที่ตายให้ทิ้ง
  • เมื่อจะนำอาหารมาปรุงให้ละลายน้ำแข็งในตู้เย็นหรือให้น้ำเย็นไหลผ่าน ไม่ควรตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง
  • การหมักอาหารทะเลให้หมักในตู้เย็น และน้ำหมักให้เททิ้ง
  • อย่าให้อาหารทะเลที่ปรุงแล้วมาปนเปื้อนกับอาหารที่ยังไม่ได้ปรุง
  • ผู้ที่ไม่แน่ใจสภาพภูมิคุ้มกันของตัวเองหรือมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอเช่นโรคตับ โรคไต โรคเอดส์ ให้รับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น
  • อาหารสลัดควรเก็บในตู้เย็นก่อนที่เสริพให้รับประทาน

การปรุงอาหารทะเล

การปรุงเนื้อปลาจะใช้หลักปรุง 10 นาทีไม่ว่าจะเป็นการทอด ย่าง นึ่ง อบ โดยใช้เนื้อปลาหนาหนึ่งนิ้ว เมื่อเวลาผ่านไป 5 นาทีให้พลิกปลา หากเป็นปลาที่เอาออกจากช่องแช่แข็งให้ใช้เวลา 20 นาที

  • ล้างมือก่อนหรือหลังปรุงอาหารทะเล
  • อย่างให้น้ำหรือของเหลวจากอาหารทะเลไปปนเปลื้อนอาหารที่ปรุงแล้ว
  • แยกจานระหว่าอาหารสด และที่ปรุงเสร็จแล้ว

รับประทานปลาดิบหรือกุ้งดิบเป็นอันตรายหรือไม่

หลายคนที่นิยมรับประทานอาหารดิบเช่น หอยนางรม ปลาดิบ sushi, sashimi หากมีการเก็บรักษาหรือปรุงอย่างถูกหลักก็ไม่ทำให้เกิดโรคท้องร่วงหรือโรคติดต่อ แต่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอไม่ควรรับประทานอาหารดิบๆกลุ่มคนเหล่านี้ได้แก่

  • โรคตับ เช่นตับแข็งจากสุรา ไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น
  • โรคเบาหวาน
  • โรคมะเร็ง
  • โรคที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเช่นโรคเอดส์
  • ผู้ที่ใช้ยา steroid เป็นเวลานาน

แนะนำให้รับประทานเนื้อปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 มื้อเป็นอย่างน้อย

ปลาที่มีสารตะกั่ว อาหารสุขภาพ

อาหารเพื่อสุขภาพ น้ำมันปลา