การดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยและญาต

 

การปฐมพยาบาลมักจะกระทำโดยคนอื่น เช่น เพื่อน หรือญาติพี่น้องซึ่งถูกบ้างผิดบ้างตามการบอกเล่าต่อกันมาหลักการดุแลเบื้องต้นมีดังนี้

  1. หลังจากถูกงูกัดให้หลีกให้พ้นตัวงูโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันการถูกกัดซ้ำ ระยะที่ปลอดภัยประมาณระยะทางยาวเท่ากับตัวงู
  2. อย่าตกใจกลัว ดิ้นรน โวยวาย เพราะจะทำให้อาการจากพิษของงูรุนแรงและรวดเร็วขึ้นไปอีก
  3. ถอดเครื่องตกแต่งบริเวณที่ถูกกัด เช่น แหวน
  4. หากมีเลือดออกให้ปล่อยให้เลือดออก เพื่อให้พิษออกให้มากที่สุด
  5. พยายามให้บริเวณที่ถูกงูกัดเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
  6. ล้างแผลด้วยนํ้าสะอาดห้ามกรีดแผล ใช้ไฟจี้ ใส่ยา พอกยา หรือพอกน้ำแข็งที่แผลเป็นอันขาดเพราะจะทำให้แผลหายช้าและติดเชื้อแบคทีเรีย
  7. อย่าให้ผู้ป่วยดื่มสุรา หรือยาที่มีสุราเจือปนอยู่
  8. อย่าให้ยาระงับประสาท,ยาที่ออกฤทธิ์ต่อประสาท ยาแก้ปวดจำพวก morphine และยาแก้ปวดพวก aspirin เพราะจะไปเสริมฤทธิ์กับพิษงู hemotoxin
  9. เคลื่อนไหวผู้ป่วยให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ควรจะให้นอนพักและรีบหามผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลไม่ควรนั่งเพราะจะทำให้ผู้ป่วยปวดศีรษะ หากผู้ป่วยอยู่นิ่งพิษจะดูดซึมช้า เนื่องจากพิษจะถูกดูดซึมผ่านทางระบบน้ำเหลือง
  10. จัดตำแหน่งอวัยวะส่วนที่ถูกงูกัดอยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ
  11. ให้นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลก่อนที่จะพบตัวงู หากไม่พบต้องจำสี ลักษณะพิเศษของง ถ้าเป็นไปได้ ญาติควรพยายามหางูตัวนั้นให้พบ โดยตีที่คอแล้วนำซากงูไปโรงพยาบาล
  12. การรัดด้วย touniquet จะทำการรัดด้วยเชือก ไม่จำเป็นต้องเป็นเชือกกล้วย เข็มขัด สายยาง หรือผ้าผูกคอ วิธีการมีดังนี้
  • รัดให้หลวมๆโดยสามารถสอดนิ้วเข้าไปได้หนึ่งนิ้ว หากรัดแน่นเกินไปจะมีการดูดซึมพิษในหลอดเลือดดำใต้ผิวหนัง และเมื่อปล่อยสายรัดพิษจะกลับเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว
  • ตำแหน่งที่เหมาะสมคืออยู่เหนือแผล 2-4 นิ้ว
  • ใช้เชือก หรือผ้า รัดเหนือแผลที่ถูกกัดแน่นพอควร ให้สอดนิ้วมือได้ 1 นิ้ว
    และทุก 15-20 นาที ควรคลายเชือกหรือสายรัดออกประมาณ 1 นาที จนกว่าจะถึง
    โรงพยาบาล การรัดแน่นเกินไปอาจทําให้บวมและเนื้อตายมากขึ้น หากผู้ป่วยสามารถไปถึง
    โรงพยาบาลได้ภายในครึ่งชั่วโมง อาจไม่จําเป็นต้องใช้เชือกหรือผ้ารัด ี
  • ถ้าแผลบวมมากก็เลื่อนสายรัดขึ้นไปได้ หรือปลอดออก
  • ถ้าถูกงูกัดมาแล้วเกิน 30 นาทีการใช้สายรัดได้ประโยชน์น้อยมาก
  1. ทำความสะอาดแผลที่ถูกงูกัดด้วยยาฆ่าเชื้อเช่น แอลกอฮอล์หรือทิงเจอร์ไอโอดีน
  2. ไม่ควรเอาใบไม้ รากไม้ หรือสมุนไพรต่าง ๆ มาใส่แผล เพราะจะทำให้แผลสกปรก เกิดการติดเชื้อ และอาจเป็นบาดทะยักได้
  3. ตำแหน่งขาหรือแขนที่ถูกกัดควรให้เคลื่อนไหวน้อยที่สุด โดยใช้ไม้กระดานหรือกระดาษแข็งๆ รองหรือดามไว้
  4. ห้ามดื่มของมึนเมาหรือกินยากลางบ้าน เนื่องจากอาจเกิดการสำลักและอาเจียน หรือปิดบังอาการหรืออาการแสดงที่เกิดจากพิษงูได้
  5. อย่าตื่นตกใจเกินไป ต้องพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยที่ใกล้ที่สุด โดยนำเอาซากงูที่กัดไปด้วย (ถ้ามี) เพื่อความถูกต้องในการรักษา

   การรักษาแผลที่ถูกงูกัดให้ปฏิบัติเหมือนกับการรักษาแผลติดเชื้อทั่วไป เนื่องจากอาจมีเชื้อปนเปื้อนเข้าสู่บาดแผลได้จากผู้ป่วยนำเอาสมุนไพรใส่แผลหรือได้รับเชื้อจากปากงูก็ได้ จากการศึกษาโดยการเพาะเชื้อจากปากงูและน้ำพิษงูกะปะที่กัดผู้ป่วย พบว่ามีทั้งเชื้อ gram negative rods (เช่น Enterobacter, Serratia, Pseudomonas, Aeromonas) และ Gram positive rods (เช่น Clostridium) และ Gram positive cocci (เช่น Staphylococcus epidermidis) ดังนั้นภายหลังทำความสะอาดแผล อาจต้องพิจารณาให้ยาฆ่าเชื้อเช่น benzylpenicillin ร่วมกับ gentamicin โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีแผลเน่าร่วมกับให้ tetanus toxoid ด้วย 

การป้องกันการถูกงูกัด 
การป้องกันไม่ให้ถูกงูกัดทำได้ แต่จะได้ผลมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ และโอกาส โดยปกติแล้วนิสัยของงูจะไม่เลื้อยมากัดหรือทำร้ายมนุษย์โดยตรง พิษของงูมีไว้เพื่อจับสัตว์เป็นอาหาร นิสัยของงูจะกลัวคนเช่นเดียวกันกับคนก็กลัวงู ส่วนใหญ่คนถูกงูกัดจะเป็นไปโดยบังเอิญ เช่น เหยียบงู หรือเข้าใกล้งู โดยธรรมชาติงูกัดคนเป็นการป้องกันตัวเอง (defensive mechanism) ดังนั้นก่อนจะเดินป่าควรระวังและป้องกัน โดยใส่กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว สวมรองเท้าหุ้มส้น ยิ่งเป็นรองเท้าบู๊ทยิ่งดี มือถือไม้แกว่งไปมาระหว่างเดินป่าเพื่อให้เกิดเสียงดังงูจะได้หนีไปก่อน ไม่ควรเดินป่าในเวลากลางคืน มีไฟฉายติดมือไปด้วยจะทำให้การเดินป่าปลอดภัยขึ้น แนะนำให้ชาวสวนยางพาราภาคใต้ หรือชาวสวนผลไม้ภาคตะวันออก ใส่รองเท้าบู๊ทเวลาทำงานจะลดอัตราเสี่ยงต่อการถูกงูกะปะกัด แต่ชาวนาซึ่งต้องทำงานในท้องนาที่เป็นน้ำและโคลน การใส่รองเท้าอาจทำงานไม่สะดวก ควรลดความเสี่ยงโดยวิธีอื่นเช่น พยายามเดินในที่ไม่รก และเวลา เสร็จงานแล้วเดินทางกลับบ้านควรใส่รองเท้าจะช่วยได้บ้าง

ผู้ป่วยถูกงูพิษกัดใช่หรือไม่

         ผู้ป่วยที่ถูกงูกัดใช่ว่าจะเป็นงูพิษกัดทุกราย ถ้าหากผู้ป่วยนำซากงูที่กัดมาด้วย และแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ผู้รักษารู้ว่าเป็นงูพิษชนิดอะไรกัด จะทำให้การรักษาง่ายขึ้น หลักในการแยกชนิดของงูพิษ (ตารางที่ 1) ถ้าแน่ใจว่าเป็นงูไม่มีพิษ ก็อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ ทำความสะอาดแผล พิจารณาให้ยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ และหรือฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าเป็นงูมีพิษหรือผู้ป่วยไม่ได้นำซากงูมาหรือไม่เห็นตัวงู ต้องปฏิบัติเหมือนกับผู้ป่วยถูกงูมีพิษกัดทุกราย โดยรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล และให้การเฝ้าระวังดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อดูหลักฐานอื่นว่าผู้ป่วยถูกงูพิษกัดจริง ถ้าผู้ป่วยไม่นำซากงูมา ต้องอาศัยหลักฐานทางระบาดวิทยา (clinical epidemiology) และอาการทางคลินิก (clinical evidence) มาประกอบว่าน่าจะเป็นงูชนิดอะไรกัด จากข้อมูลทั้งด้านประวัติ อาชีพ สถานที่ถูกกัด อาการและอาการแสดงที่เกิดขึ้นภายหลังถูกงูกัดมาประกอบ เมื่อนำหลักฐานต่างๆมาวิเคราะห์ร่วมกันทั้งหมด แล้วอาจคาดคะเนว่าน่าจะเป็นงูพิษชนิดใดกัดได้ เช่น ภายหลังถูกงูกัดแล้ว ผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงของการได้รับพิษงูเข้าสู่ร่างกายเช่น มีหนังตาตก หายใจไม่สะดวก มีการเคลื่อนไหวแขนหรือขาได้น้อย และแผลที่ถูกกัดไม่บวมและไม่มีอาการเจ็บปวด งูที่กัดน่าจะเป็นงูสามเหลี่ยมหรืองูทับสมิงคลา เนื่องจากพิษของงูทั้งสองชนิดนี้ไม่มีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อ (cytotoxic effect) การที่จะแยกว่าน่าจะเป็นงูทับสมิงคลา ก็อาศัยหลักฐานที่งูทับสมิงคลาส่วนใหญ่จะกัดผู้ป่วยในบ้านในเวลากลางคืน เนื่องจากอาหารของงูทับสมิงคลาคือหนู

         ถ้าถูกงูกัดแล้วแผลที่ถูกกัดบวมและผลการตรวจเลือดปกติจับเป็นลิ่มใน 20 นาที งูที่กัดน่าจะเป็นงูเห่าหรืองูจงอาง แยกงูจงอางออกได้เนื่องจากจะพบงูจงอางก็แต่เฉพาะในป่าดงดิบหรือป่าลึก เนื่องจากอาหารของงูจงอางคืองูด้วยกันเอง

         ถ้าถูกงูกัดแล้วแผลที่ถูกกัดบวม และผลการตรวจเลือดพบว่าเลือดผิดปกติคือ ไม่จับเป็นลิ่มในเวลา 20 นาที งูที่กัดน่าจะเป็นงูกะปะ งูแมวเซา หรืองูเขียวหางไหม้ (ดูตามแผนภูมิงูกัด) ซึ่งต้องแยกชนิดของงูโดยประวัติการถูกกัดและตำแหน่งที่ถูกกัด เช่น ชาวนาอยู่ภาคกลางถูกงูกัดที่เท้าขณะเกี่ยวข้าว ตรวจพบสิ่งผิดปกติในปัสสาวะ หรือการทำงานของไตเสื่อมก็น่าจะเป็นงูแมวเซา ถ้าเป็นชาวสวนยางภาคใต้ถูกงูกัดแต่เช้ามืดขณะกรีดยาง ก็น่าจะเป็นงูกะปะ ถ้าถูกกัดที่มือหรือส่วนบนของร่างกายขณะที่ยืนหรือตัดต้นไม้ ก็น่าจะเป็นงูเขียวหางไหม้ เป็นต้น

เพิ่มเพื่อน

หน้าหลัก ชนิดของู พิษของงู การดูแลเบื้องต้น การประเมินความรุนแรง การรักษา การให้เซรุ่ม งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูกะปะ งูแมวเซา งูเขียวหางไหม้ รายละเอียดงูพิษกัด